1

เขาสังเกตเห็นนักโทษผิวดำอีกครั้ง หลังพบกันครั้งแรกเมื่อปี 1989 ตอนเจอกันทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะวิวาทเรื่องโทรทัศน์ จำได้ว่า ตัวเขาเบาเสียงเพลงในทีวี แต่อีกฝ่ายกลับเดินมาเร่งเสียง

ด้วยความไม่พอใจและต่างอยู่ในอารมณ์เร่าร้อน จึงปะทะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ จนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ต้องมาแยกตัวออกไป

ผ่านไป 13 ปี หลังจากย้ายเรือนจำหลายครั้ง เขากับนักโทษผิวดำคนนี้ก็พบกันอีกครา คราวนี้ไม่เหมือนครั้งแรก เขาเอ่ยปากทักก่อนพร้อมขอโทษที่ทะเลาะกันเรื่องโทรทัศน์ อีกฝ่ายไม่ซีเรียสไม่คิดอะไร จากนั้นเขาจึงพูดออกมาว่า

“นายยังยืนกรานว่าตัวเองไม่ผิดอยู่”

“ใช่ ตามนั้น”

“นายเคร่งศาสนาไหม”

“ไม่หรอก ฉันไม่ชอบเข้าโบสถ์ ถามทำไมหรือ”

“เอ่อ… ฉันเข้ารีตกลายเป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ดีแล้ว”

“ยินดีด้วยนะ”

การสนทนาแสนสั้น แต่นั่นทำให้เขาแน่ใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เช้าวันต่อมา ชายคนนี้ตัดสินใจสารภาพบางอย่างกับบาทหลวง

หลังจากนั้นนักโทษผิวดำจึงถูกตามตัวจากห้องขังให้ไปที่โบสถ์ ทีแรกชายคนนี้หวั่นใจ หรือมีคนในครอบครัวเราตายอีกเหรอ หลังก่อนหน้านี้พี่ของเขาถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม

แต่แล้วเมื่อ คอรีย์ ไวส์ (Korey Wise) ชายผิวดำที่ต้องโทษตลอดชีวิตตั้งแต่อายุ 16 ปีเจอกับบาทหลวงที่ยื่นโทรศัพท์ให้ สิ่งที่เขาหวาดหวั่นก็จางหายไป

เพราะปลายสายคือแม่ที่พูดด้วยน้ำเสียงรัวๆ แต่เปี่ยมด้วยความสุขว่า “แม่ไม่รู้ว่าลูกคุยกับใคร แต่คนนั้นแหละ ทำให้ลูกได้รับอิสรภาพ”

ไวส์ฉงนและยังงงว่า เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งแม่พูดทุกอย่างออกไป เขาจึงเข้าใจในบัดดล 13 ปีที่ต้องอยู่ในคุก ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกประณาม ถูกกลั่นแกล้งจากผู้คุม ยอมโดนขังเดี่ยว เพราะไม่อยากเสี่ยงถูกเพื่อนนักโทษรุมประชาทัณฑ์

บัดนี้สิ่งที่เขายืนยันมาตลอดเป็นจริง นั่นก็คือ เขาเป็นแพะถูกยัดคดีจนติดคุก

และแล้วปีศาจร้ายตัวจริงก็เผยโฉม ทำให้ไวส์พร้อมเพื่อนอีก 4 ราย กลายเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง

2

เวลาตี 1 ครึ่ง ของวันที่ 20 เมษายน 1989 ตำรวจรับแจ้งเหตุหญิงสาวที่ออกไปวิ่ง ถูกข่มขืนและโดนทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ภายในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กอันใหญ่โตของเมืองนิวยอร์ก ร่างเธอถูกทิ้งอยู่หลายชั่วโมงตั้งแต่คืนวันที่ 19 เมษายน จนมีพลเมืองดีไปพบ

นับเป็นคดีสุดสะพรึง ผู้ก่อเหตุเหี้ยมโหดเกินมนุษย์ ทำให้อัยการและนักสืบระดมกำลังเพื่อล่าตัวอสุรกายนี้มาให้ได้

สภาพของหญิงสาวถูกของแข็งตี ถูกย่ำยีทางเพศ เสื้อที่ใช้วิ่งเต็มไปด้วยคราบเลือดและโคลน ทำให้นักสืบคิดว่า คนก่อเหตุน่าจะมีมากกว่า 1 รายเป็นลักษณะการรุมโทรม

ทางสายตรวจแจ้งว่า ช่วงค่ำวานนี้ มีรายงานพบเห็นเด็กผิวดำจำนวน 30 กว่าคน เข้าไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ มีคนถูกทำร้าย ถูกปล้น และมีการจับกุมขาโจ๋เหล่านี้ด้วย

นี่เองทำให้อัยการกับตำรวจจับมือกัน เพื่อสอบปากคำพยาน และควานหาตัวกลุ่มวัยรุ่นที่เข้าไปวิ่งเล่น จนสามารถพาตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 รายมาโรงพักเพื่อคุยเข้ม ประกอบด้วยเด็กหนุ่มผิวดำ เรย์มอนด์ ซานทานา (Raymond Santana) อายุ 14 ปี, เควิน ริชาร์ดสัน (Kevin Richardson) อายุ 14 ปี และอันตรอน แม็กเครย์ (Antron Mccray) อายุ 15 ปี

รวมถึงเด็กหนุ่มเชื้อสายฮิสแปนิก ยูเซฟ ซาลาม (Yusef Salaam) อายุ 15 ปี และไวส์ อายุ 16 ปี ซึ่งถือเป็นผู้ใหญ่ในตอนนั้น และเขาไม่ได้ถูกพาตัวมาสอบ แค่ตามยูเซฟมาเป็นเพื่อน เลยโดนตำรวจเรียกไปคุยด้วย

วิธีการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างฉ้อฉล พวกเขาไม่จัดหาทนายให้ 5 ผู้ต้องสงสัย ไม่ให้นอน ไม่ให้กินข้าว ตะคอก ทำร้ายร่างกาย ขู่และปลอบ กดดันสารพัด โดยบอกให้เด็กๆ รับสารภาพว่า ก่อเหตุข่มขืนผู้หญิงจริง หรือไม่ก็โยนกล่าวหาใครสักคน เพื่อจะได้กลับบ้าน

เดิมผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 ไม่ได้รู้จักกันดีมาก แต่นักสืบบีบบังคับให้พูดพาดพิงกันไปมาว่า ร่วมกันก่อเหตุอาชญากรรม โดยสัญญาว่าจะได้รับการปล่อยตัว

ทีแรกอัยการและตำรวจส่ายหน้า การกล่าวหากันไปมาไม่ทำให้คดีมีน้ำหนักได้ จนกระทั่งพวกเขาบีบให้ไวส์ขู่ว่า จะพาเข้าคุกผู้ใหญ่ หากไม่บอกว่าตัวเองร่วมกันข่มขืน และยืนยันพฤติกรรมอีก 4 คนที่เหลือว่า ทำอะไรบ้าง

เด็กหนุ่มวัยแค่ 16 ปีอย่างไวส์หวาดกลัวมาก เขาโดนทำร้ายร่างกายจนต้องยอมพูดทุกอย่างตามที่เจ้าหน้าที่ต้องการ และถูกพาตัวไปถ่ายวิดีโอยืนยันคำรับสารภาพ

หลังจากนั้นแทนที่จะได้รับการปล่อยตัว ทั้ง 5 คนถูกโยนเข้าคุก แม้ต่อมาจะมีการสู้คดี และทนายจำเลยย้ำว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่รู้เห็นในเรื่องการข่มขืน แม้ข้อมูลการได้มาซึ่งหลักฐานของตำรวจจะมั่วแค่ไหน แต่เพราะเทปคำรับสารภาพที่อัดไว้ ทำให้ลูกขุนตัดสินใจให้จำเลยทั้ง 5 คนผิดตามข้อหาและต้องติดคุก

ยกเว้นไวส์ ผู้ต้องหาที่เหลือถูกส่งไปสถานพินิจในฐานะเยาวชน มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ต้องติดคุกผู้ใหญ่อย่างเจ็บปวด เด็กหนุ่มวัย 16 ปีถูกกระทืบและโดนแทงจนเจ็บสาหัสในเรือนจำจากเพื่อนนักโทษ ที่มีผู้คุมรู้เห็นเป็นใจ แถมต้องอยู่ในนั้นหลายปี ขณะที่เพื่อนร่วมคดีโดนปล่อยตัวออกมาแล้ว

กระนั้นอิสรภาพของทั้ง 4 คนต่อโลกภายนอกก็ไม่ได้ราบรื่น ทุกคนต้องลงทะเบียนว่า เคยกระทำผิดทางเพศ ต้องแจ้งแก่ที่ทำงานว่าติดคุกอะไรมา ต้องไปพบเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ บางรายต้องใส่กำไลอีเอ็ม หางานทำไม่ได้ และเลิกฝันที่จะทำงานเป็นครู เป็นเจ้าหน้าที่เพราะความผิดที่เขาก่อเหตุ จึงต้องไปทำงานเงินเดือนน้อย ซาลามถึงขั้นต้องไปขายยาเสพติดจนโดนจับติดคุก

ทุกคนลำบาก แต่ไม่มีใครเลยจะก้มหน้ารับชะตากรรม ยอมรับว่ากระทำผิดจริง พวกเขาบอกต่อสังคมและโลกว่า พวกเขาคือผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น

ดังนั้นเมื่อนักโทษชายคนหนึ่งตัดสินใจพูดบางอย่างกับบาทหลวงว่า ตนคือผู้ก่อเหตุข่มขืนหญิงสาวในสวนสาธารณะจริง มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะโบสถ์ส่งข้อมูลแก่กรมราชทัณฑ์ ที่แจ้งต่ออัยการจนมีการมาสอบปากคำชายคนนี้ในคุกด้วย

ข้อมูลที่หลุดจากปากนักโทษรายนี้สร้างความตกตะลึงอย่างยิ่ง นักสืบที่ทำคดีเผชิญหน้ากับคนร้ายมามากมายยังสั่นไหว เพราะเสียงที่เล่า เรื่องราวที่พูด มันราบเรียบแต่เหี้ยมโหดอย่างมาก

สิ่งที่นักโทษคนนี้บอกคือ เขาเห็นเหยื่อวิ่งออกกำลังกาย จึงสะกดรอยตาม จากนั้นเมื่อสบโอกาสจึงเอาของแข็งตีเข้าด้านหลัง แล้วลากเธอเข้าไปในพุ่มไม้ ก่อนลงมือข่มขืน ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง จากนั้นเอาหินทุบหน้าหลายที จนได้ยินเสียงกระดูกหัก แล้วปล่อยร่างนั้นไว้ เพราะคิดว่าไม่นานคงจะตาย

รายละเอียดบางอย่างมีแค่ชุดสืบสวนในจุดเกิดเหตุเท่านั้นถึงจะรู้ เขาเล่ามันอย่างชำนาญ จำได้แบบแม่นยำ จนนำไปสู่การขอตรวจดีเอ็นเอ

แล้วทางการก็พบว่า เลือดของชายคนนี้ตรงกับเลือดที่พบในเสื้อผ้าเหยื่อ น้ำอสุจิก็ตรงกัน แม้ทางตำรวจและอัยการที่ทำคดีจับแพะจะยืนยันว่า ชายคนนี้อาจเป็นผู้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนก็ตาม

อย่างไรก็ดี ชายที่รับสารภาพยืนยันอีกครั้งว่า เขาก่อเหตุเพียงคนเดียว ไม่มีใครร่วมด้วยทั้งสิ้น

ต่อมาทางทีมสอบสวนชุดใหม่ตรวจรายละเอียดในคดีนี้ทั้งหมด พวกเขาเล็งเห็นว่า การไต่สวนครั้งก่อน เจ้าหน้าที่รัฐมีช่องโหว่ในการเอาผิดเด็กๆ อย่างมาก มีแค่เทปคำรับสารภาพ ซึ่งรายละเอียดก็ขัดแย้งกัน เมื่อนำดีเอ็นเอซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสืบสวนที่แม่นยำกว่ามาใช้ ก็ยืนยันได้ว่า คนร้ายในคดีนี้มีแค่คนเดียวและไม่มีดีเอ็นเอของแก๊ง 5 คนนี้เลย

นี่จึงนำไปสู่การปล่อยตัวไวส์ในที่สุด พร้อมยกเลิกความผิดที่แพะถูกดำเนินคดีจนเสียอนาคตไปหลายปี และเมื่อทางไวส์ออกจากคุก เขาก็รู้เรื่องราวทั้งหมด

ผู้ก่อเหตุตัวจริง คือคนที่เคยทะเลาะกับเขาเมื่อหลายปีก่อน คือชายที่มาขอโทษ แล้วพูดดีกับไวส์ เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีชื่อว่า มาติอัส เรเยส (Matias Reyes) เจ้าของฉายาสุดสะพรึง

‘จอมเชือดแห่งอีสไซด์’

3

เรเยสเป็นคนเปอร์โตริโก เขาอ้างว่า ตัวเองเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากเด็กที่โตกว่า แล้วเอาไปโยนทิ้งน้ำ ก่อนย้ายมาอยู่สหรัฐฯ ชีวิตเด็กหนุ่มเป็นไปอย่างลำบาก เจ้าตัวอ้างอีกว่าถูกคนในครอบครัวย่ำยีและมีพฤติกรรมแบบต่อต้านสังคม รวมถึงมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว

เพราะชีวิตที่ลำบาก ไอคิวต่ำ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ก่อนจะเริ่มเบนเข็มไปสู่เส้นทางอาชญากรรม

“ภายนอกเขาเหมือนคนปกตินะ แต่พอสัมผัสจริงๆ จะรู้ว่าไม่ใช่เลย”

เมื่อเด็กหนุ่มอายุได้ 17 ปี เขาเอามีดจี้หญิงสาววัย 27 ปี พยายามจะข่มขืน ดีที่อีกฝ่ายร้องขอชีวิต จึงได้แค่หยิบทรัพย์สินไป แต่นั่นเท่ากับเปิดประตูเข้าสู่โลกแห่งปีศาจแล้ว

2 วันก่อนจะเกิดเหตุที่สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ก เขาก็ใช้มีดจี้ย่ำยีเหยื่อเป็นครั้งแรก ซึ่งมีการแจ้งความ และตำรวจฟังรูปพรรณผู้ก่อเหตุก็เห็นว่า น่าจะเป็นเรเยส เมื่อเกิดเหตุกับนักวิ่งสาว เจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลชายคนนี้ แต่ไม่มีการสืบสวน อัยการกับนักสืบอีกชุดวุ่นแต่กับการจับกุมเด็กผิวดำทั้ง 5 คนแทน

ในเวลาต่อมาเขาข่มขืนเหยื่อหลายคน เคยบุกเข้าหอพักหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ แล้วกระหน่ำแทงจนอีกฝ่ายตาย ในขณะที่ลูกของเธอทั้ง 3 คนอยู่กันอีกห้อง ได้แต่นอนฟังเสียงอย่างสลด

“จะให้กูควักตา หรือฆ่าลูกมึงล่ะ”

นี่คือพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง แต่เมื่อไม่โดนจับ เรเยสก็ก่อเหตุไปเรื่อย อย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งวันที่ 5 สิงหาคม 1989 เจ้าตัวข่มขืนทำร้ายหญิงสาวในย่านอีสไซด์ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ คลานลงบันได แล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ จนมีพลเมืองดีเข้าปิดล้อมตึก แล้วจับกุมเรเยสไว้ได้ ก่อนส่งมอบให้กับตำรวจ

เมื่อนักสืบสอบปากคำ ชายคนนี้ยังบอกอย่างระรื่นว่า ไม่ได้ก่อเหตุ แค่ร่วมรักกันเท่านั้น ทำเอานักสืบอาชญากรรมที่ประมือกับผู้ต้องหาสุดเหี้ยมมากมาย ถึงกับพูดออกมาว่า

“ไอ้นี่โรคจิตชัดๆ”

6 ชั่วโมงหลังสอบปากคำ เรเยสก็รับสารภาพว่า ฆ่าไป 1 ศพ ข่มขืนไป 6 ครั้ง พยายามย่ำยีครั้งหนึ่ง และพยายามฆ่าไป 1 ครั้ง

การที่เจ้าตัวยอมเผยข้อมูลก็เพื่อเลี่ยงโทษประหารชีวิต แต่ก็ทำให้ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และมีสิทธิยื่นขอทัณฑ์บน เมื่อต้องโทษไปแล้ว 33 ปี 6 เดือน

พฤติกรรมความอันตรายของเรเยสยังเป็นที่เลื่องลือ เมื่อเขาทำร้ายทนายที่มาว่าความให้ถึง 2 คน ขณะอยู่ในเรือนจำก็มีเรื่องไปทั่ว ทั้งวางเพลิง ทำร้ายร่างกาย และความผิดมากมายก่ายกอง

กระนั้นในสถานที่ไร้อิสรภาพ จอมโหดรายนี้กลับผันตัวเองเข้าสู่ศาสนาคริสต์ ถึงขั้นบอกว่า ได้พบพระเยซูอีกด้วย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลศาสนา ความเปลี่ยวเหงา หรืออาจจะเริ่มสำนึกผิด ในที่สุดก็ทำให้สุดโหดคนนี้ค่อยๆ ตกผลึกทางความคิด เริ่มเข้าใจว่า ทำไมตัวเองต้องมาไร้อิสรภาพอย่างนี้ นั่นก็เพราะเขาเป็นฆาตกรเหี้ยมนี่เอง

จนเมื่อทราบข่าวว่า คดีที่เขาทำกับนักวิ่งหญิง ทำให้เยาวชน 5 คนต้องติดคุกไปฟรีๆ ชายหนุ่มก็คิดได้ว่าอตัวเองต้องทำอะไรบางอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยมาก่อน

นั่นก็คือการทำอะไรที่ถูกต้องสักครั้ง

และนี่เองอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรเยส จอมเชือดแห่งอีสไซด์ ตัดสินใจไปขอโทษไวส์ และรับสารภาพเพิ่ม แม้จะไม่นำไปสู่การรื้อฟื้นคดีเพราะหมดอายุความไปแล้ว แต่หลักฐานตรงนี้ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทั้ง 5 คนพ้นมลทินทันที

มีนักข่าวไปถามฆาตกรโหดรายนี้ว่า ทำไมต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะกล้าสารภาพ และทำให้แพะได้รับการปล่อยตัวออกมา ชายหนุ่มคนนี้คิดไปสักพักก่อนพูดว่า

“ผมก็รู้นะว่า มีคนยากจะเข้าใจ และสงสัยว่าหลังจากเกิดเรื่องมาหลายปี ทำไมถึงออกมารับสารภาพ รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งผมก็ถามตัวเองเหมือนกัน โดยตอนแรกก็ยอมรับว่ากลัว แต่ในที่สุดก็เข้าใจและรู้ว่า นี่คือสิ่งถูกต้องที่ควรจะทำ เพื่อให้ท้ายที่สุด ผมสามารถกล่าวถึงเหยื่อทุกรายที่ถูกทำร้าย ด้วยคำพูดที่ว่า

“ผมขอโทษครับ”

4

หลังได้ลิ้มรสอิสรภาพ แบบไร้ซึ่งรอยด่างพร้อยสักพัก อดีตจำเลยทั้ง 5 คนจึงตัดสินใจยื่นฟ้องเมืองนิวยอร์ก ที่ยัดพวกเขาเข้าคุกดำเนินคดี จนส่งผลหายนะแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ไวส์หูขวาได้ยินไม่ชัด ยังฝันร้ายถึงการถูกรุมทำร้ายในคุก และทุกคนต่างโหยหาวัยเด็กที่หายไป เพราะต้องถูกคุมขัง ต้องเสียอนาคต ในที่สุดทางนิวยอร์กยอมจ่ายเงินมหาศาลให้ทั้ง 5 คน เป็นวงเงินถึง 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

ปัจจุบัน อดีตแพะทุกคนยังคงเดินสาย เพื่อพูดและก่อตั้งกองทุนช่วยเหลือนักโทษที่ถูกยัดข้อหา โดนดำเนินคดีแบบไม่เป็นธรรม โดยบอกเล่าความหลังประวัติศาสตร์บาดแผล ที่พวกเขาโดนในปี 1989 และยังเจ็บปวดถึงปัจจุบัน

ส่วนเรเยสยังโดนคุมขัง การทำดีเพียงครั้งเดียวไม่อาจกลบความเลวที่ก่อมาทั้งชีวิตได้ กระนั้นเขาก็ยังยืนยันว่า คำรับสารภาพนี้เป็นสิ่งที่เจ้าตัวพอใจอย่างมาก แม้จะใช้เวลานานสักหน่อย

อย่างไรก็ดีเมื่อมีนักข่าวไปสัมภาษณ์อดีตแพะทั้งหมด ถึงการทำความดีของเรเยส ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต่างย้ำกับสื่อว่า พวกเขายืนยันเสมอว่า ไม่เคยกระทำผิดและถูกบีบให้รับสารภาพ

ที่สำคัญ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ความจริงตรงนี้ก็ต้องปรากฏ และศักดิ์ศรีพวกเขาทุกรายจะได้รับการรื้อฟื้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งจอมเชือดแห่งอีสไซด์เลย

ดังนั้นการที่มักจะมีคนมาถามถึงการทำความดีของฆาตกรโหดอย่างเรเยสในครั้งนี้ ทางหนึ่งในอดีตแพะได้บอกกับนักข่าว เพื่อย้ำเตือนความเลวร้ายที่ชายคนนี้เคยทำในอดีต ไม่ให้สังคมลืมเลือนไปว่า

“เขาเป็นจอมข่มขืน ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ พวกเราไม่ขอพูดถึง และไม่มีวันให้ค่าชายคนนี้อย่างแน่นอน”

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.nytimes.com/2002/12/07/nyregion/suspect-in-rape-absorbed-pain-and-inflicted-it.html

https://www.highbrowmagazine.com/2406-central-park-five-s-korey-wise-discusses-wrongful-conviction

https://www.oxygen.com/martinis-murder/who-was-actually-guilty-rape-central-park-jogger-matias-reyes

https://www.nydailynews.com/2018/08/18/crisis-of-conscience-matias-reyes-took-sole-responsibility-for-central-park-jogger-rape-because-it-was-the-right-thing-to-do-recording/

https://www.nytimes.com/2019/05/30/arts/television/when-they-see-us-real-story.html

https://www.goodhousekeeping.com/life/entertainment/a28038525/matias-reyes-central-park-five-jogger/

https://www.nytimes.com/2002/09/06/nyregion/dna-in-central-park-jogger-case-spurs-call-for-new-review.html

https://allthatsinteresting.com/matias-reyes

 

Tags: , , ,