1.

“ผมดีใจมากๆ ที่ไม่ได้ปล่อยเขาไป”

ชาร์ลี แฮงเกอร์ (Charlie Hanger) เป็นตำรวจตงฉิน แห่งรัฐโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เขาคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ยึดในกฎหมายตรงตามบรรทัด ว่ากันว่าหากคุณไปขึ้นศาลในรัฐนี้ แล้วมีโอกาสเผชิญหน้ากับลูกขุน 12 คน จะมีถึง 10 รายซึ่งเคยโดนแฮงเกอร์ออกใบสั่ง

ในเวลาต่อมา แฮงเกอร์จะได้รับการยกย่องจากคนโอกลาโฮมาว่าเป็นวีรบุรุษของเมืองนี้ แม้เจ้าตัวจะอยากจะอยู่เงียบๆ แต่วีรกรรมที่เขาสร้างไว้ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะเลี่ยงยกย่องชายคนนี้ได้

ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1995 เมื่อมีผู้ขับรถซุกซ่อนระเบิด 2.1 ตัน เข้าไปในที่ทำการรัฐบาล ก่อนตั้งเวลาแล้วเดินจากมา แรงระเบิดในเวลา 09.02 น. ของวันที่ 19 เมษายน จะถล่มทลายตึกรัฐบาลกลางลงในชั่วพริบตา มีผู้เสียชีวิต 168 ราย มีเด็ก 19 รายตาย โดยมีทารก อายุน้อยสุดคือ 4 เดือนจากโลกนี้ไป เพราะในตึกดังกล่าว มีสถานดูแลเด็กของรัฐบาลตั้งอยู่

มีคนเจ็บจำนวน 850 ราย เป็นเด็กจำนวน 30 คนในเมืองนี้กำพร้าพ่อแม่ในฉับพลัน และประชาชน 462 ราย ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน

เหตุการณ์นี้ คือการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนจะเกิดเหตุเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001

วินาทีที่ระเบิดทำงาน สื่อจำนวนหนึ่งฟันธงในฉับพลัน แบบไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้นว่าผู้ก่อการร้าย ต้องมาจากตะวันออกกลางแน่ๆ

แต่ความจริงไม่ใช่ เมื่อเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ รุดเข้าจุดเกิดเหตุ

กินเวลาไม่นานความจริงก็ปรากฏ

2.

ที่ทำการของเอฟบีไออยู่ไม่ไกลจากตึกแห่งนี้ ชุดสืบสวนเผยว่า พลันที่ได้ยินเสียงระเบิด โต๊ะทำงานของพวกเขาถึงกับสั่น พร้อมกับได้ยินเสียงดังราวสวรรค์ถล่ม

นักสืบเอฟบีไอรุดเข้าจุดเกิดเหตุ ขับรถไปแล้ววิ่งสวนกับประชาชนที่กรีดร้องออกมา ทีแรกมีรายงานว่าเป็นเหตุแก๊สระเบิด

“ตอนที่เห็นควันพวยพุ่ง และเสียงดังแบบนั้น มันไม่ใช่เหตุแก๊สบึ้มแน่ๆ แต่คือการลอบวางระเบิดต่างหาก”

ทางการระดมกำลังอย่างรวดเร็ว มีการตั้งศูนย์รวมหน่วยงานให้เป็นเอกภาพ บูรณาการระหว่างกันอย่างว่องไว กินเวลาไม่นาน เอฟบีไอก็พบรถที่จุดชนวนระเบิด เจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นอย่างละเอียด ก่อนจะพบร่องรอยของสารบึ้ม เมื่อดูอย่างละเอียด ก็เห็นตัวเลขถังรถ จึงมีการจดไว้ แล้วนำไปค้นข้อมูล

พวกเขาพบว่ารถที่ใช้ก่อเหตุนี้ มีการเช่ามาจากเมืองอื่น เจ้าหน้าที่รุดไปยังร้านดังกล่าว ทางเจ้าของจำได้เพียงแค่หน้าตา ชุดสเก็ตช์ภาพลงพื้นที่ ก่อนจะได้ภาพผู้ต้องสงสัยที่เช่ารถคันนี้

ระหว่างนำเสนอผ่านสื่อ เจ้าของโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งแจ้งมาว่า เขาจำภาพนี้ได้ และบุรุษคนนี้เพิ่งจะเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมไป โดยใช้ชื่อว่า ทิโมธี แม็กเวย์ (Timothy McVeigh)

เมื่อเอฟบีไอนำชื่อนี้ไปตรวจสอบในระบบ พวกเขาก็พบเรื่องน่าประหลาดใจ แทนที่จะได้ไปออกล่าปูพรมค้นหาผู้ก่อการร้ายรายนี้

ปรากฏว่าชายคนนี้กลับถูกขังอยู่ในเรือนจำของเมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ

ผลงานทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของวีรบุรุษท้องถิ่น นามว่า เจ้าหน้าที่แฮงเกอร์นั่นเอง

3.

90 นาที หลังตึกระเบิด แฮงเกอร์ถูกสั่งให้ประจำในพื้นที่ หากมีคำสั่งด่วน จะได้เข้าไปช่วยเหลือหน่วยอื่นได้

เช้าวันนั้นอากาศเย็นสบาย ตำรวจนายนี้อยู่ในเมืองซึ่งมีประชากรเพียง 5 พันคน และอยู่ห่างจากตัวเมืองโอกลาโฮมา ซึ่งถูกก่อการร้ายประมาณ 96 กิโลเมตรเท่านั้น

ขณะขับรถออกตรวจและรอคำสั่งอื่นอยู่นั้น สายตาของแฮงเกอร์ หันไปเห็นรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว และไม่ติดป้ายทะเบียน

วิสัยของตำรวจตงฉินทำงาน เขาเรียกให้รถคันดังกล่าวจอดริมทางทันที และนั่นทำให้แฮงเกอร์ คือบุคคลคนแรกของโลก ที่ได้พบกับแม็กเวย์หลังก่อเหตุระเบิดตึกในฉับพลัน

ความผิดของการไม่ติดป้ายทะเบียนนั้น มีโทษแค่ออกใบสั่งเท่านั้น แต่แล้วด้วยไหวพริบของแฮงเกอร์ ประวัติศาสตร์จึงถูกจารึกขึ้น

เพราะขณะที่คนขับหนุ่มผิวขาว กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบใบขับขี่ ชุดของเขาก็ดูรัดตึง แล้วมีอะไรบางอย่างนูนตรงแขนซ้าย

“มีอะไรในนั้น”

“ปืนที่ใส่กระสุนไว้”

แฮงเกอร์เอื้อมมือไปจับอาวุธดังกล่าวทันที

“ฉันยึดมันไว้แล้ว” หลังจากนั้นตำรวจรัฐนายนี้ ก็ควักปืนตัวเองจ่อหัวแม็กเวย์ เพื่อทำการจับกุมในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย

เจ้าตัวเผยกับสื่อหลายปีให้หลังว่า หากเขาไม่สังเกตเห็นสิ่งที่นูนจากเสื้อ ก็คงจะปล่อยชายคนนี้ไป พร้อมใบสั่งแล้ว

ระหว่างนั่งกันมาในรถเจ้าหน้าที่ วิทยุก็รายงานข่าวระเบิดตึกรัฐบาลกลาง แม็กเวย์ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ทำทีเป็นฟังผ่านๆ

แฮงเกอร์โยนชายผิวขาวเข้าห้องขัง เป็นนักโทษ หมายเลข 95-057 ก่อนจะพาเมียไปทานข้าว และติดตามข่าวระเบิดนี้อย่างใกล้ชิด

เดิมนั้นแม็กเวย์จะต้องถูกพาตัวขึ้นศาลในวันถัดมา แต่ผู้พิพากษาติดคดีหย่า จึงขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 21 เมษายนแทน

หากทุกอย่างตรงตามตารางเป๊ะ แม็กเวย์ก็แค่จะโดนโทษเพียงเล็กน้อย และอาจได้ปล่อยตัวไป หลบหนีจากเหตุก่อการร้ายนี้ได้สำเร็จ

แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อถึงวันศุกร์ที่ 21 เมษายน ทางลูกชายผู้พิพากษาคดีแม็กเวย์ ดันพลาดขึ้นรถบัสโรงเรียนไม่ทัน ทำให้พ่อต้องไปส่งแทน ระหว่างที่ชายผิวขาวที่ครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย รอศาลอยู่นั้น

เจ้าหน้าที่เอฟบีไอได้ติดต่อมายังแฮงเกอร์ แล้วบอกว่าให้คุมตัวแม็กเวย์ไว้ก่อน

ทันทีที่ทราบข่าว ทางตัวตำรวจรัฐถึงกับงง เพราะเขาคิดว่าผู้ต้องหาจะยื่นประกันตัวไปแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ทำเช่นนั้น จนเมื่อรู้ความจริงว่าแม็กเวย์เป็นฆาตกรในเหตุการณ์อะไร แฮงเกอร์ก็ถึงกับโล่งอก

“ดีที่ผมไม่ได้ปล่อยเขาไป”

เอฟบีไอเข้าคุมตัวแม็กเวย์ในฐานความผิดวางระเบิดตึกรัฐบาลกลางได้สำเร็จ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะแฮงเกอร์จับชายคนนี้ไว้ได้ ก่อนจะป้อนข้อมูลเลขประกันสังคมของผู้ต้องหาเข้าไปในฐานข้อมูลอาชญากร ทำให้เอฟบีไอรู้ว่าตัวคนก่อเหตุอยู่ที่ไหน

ขณะพาตัวออกจากห้องขัง ฝูงชนที่โกรธแค้นในการก่อเหตุของแม็กเวย์ ต่างรุมด่าสาปแช่ง “ไอ้ฆาตกรฆ่าเด็ก”

ชายหนุ่มมีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อนำตัวไปสอบปากคำ เขาก็รับสารภาพ พร้อมกับเรื่องราวสุดตื่นตะลึง เมื่อค้นประวัติพบว่า แม็กเวย์ เคยรับใช้ชาติ เป็นทหารบกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญ มีประวัติการรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกอย่างดีเยี่ยม แถมเกือบจะได้อยู่หน่วยรบพิเศษ กรีนเบเรต์แล้ว แต่เขาฝึกได้ 3 วันก็รับแรงกดดันไม่ไหว ขอลาออก

โดยรวม ชายคนนี้น่าจะเป็นลูกอเมริกันรักชาติ แต่ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปได้

เมื่อค้นให้ละเอียด เจ้าหน้าที่ก็พบเรื่องสุดตื่นตะลึง

กลายเป็นว่าชายคนนี้ มีความเกลียดชังรัฐบาลกลางอย่างมาก

“เพราะพวกเขาล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน”

4.

“ถ้าคุณพบทิม แม็กเวย์ โดยไม่รู้ประวัติหรือเรื่องราวมาก่อน คุณจะพบว่าเขาเป็นคนใช้ได้ ดูเป็นเด็กหนุ่มที่มีความรู้”

นักข่าวที่เคยไปสัมภาษณ์ชายคนนี้บอกกับสังคม แม็กเวย์ไม่ได้แตกต่างจากเด็กหนุ่มผิวขาวรอบตัว เขาไม่ได้มีแนวโน้มจะเป็นผู้ก่อการร้ายเลย

แต่นั่นคือเบื้องหน้า เพราะภายในชายหนุ่มคนนี้ เขาพกความโกรธความคลั่งในลัทธิยึดถือผิวขาวเป็นใหญ่อย่างมาก

เจ้าตัวเกิดในครอบครัวหย่าร้าง ตอนเรียนโดนกลั่นแกล้งเพราะรูปร่างที่ผอมสูง ช่วงเป็นวัยรุ่นเขาหมกมุ่นกับคอมพิวเตอร์ จนเป็นแฮกเกอร์สมัครเล่นได้ โดยเขาเคยแฮ็กเข้าคอมพิวเตอร์ของกระทรวงกลาโหมด้วย

แต่มีอีกสิ่งที่ชายคนนี้ชอบมากกว่าคอมพิวเตอร์ ก็คือ ปืน

หลังเลิกเรียนมหาวิทยาลัย ไปทำงานร้านฟาสต์ฟู้ด เจ้าตัวก็สมัครไปเป็นทหารบก ทำงานเป็นผู้ชี้เป้าในกองร้อย ผลงานดีเยี่ยม

“เขาเป็นทหารที่เก่งที่สุด เท่าที่ผมเคยพบมา ทุกสิ่งที่เขาปฏิบัตินั้น มันยอดเยี่ยมมาก”

อย่างไรก็ดีชายหนุ่มลาออกจากเส้นทางนักรบ และเริ่มพูดให้คนรู้จักฟังเกี่ยวกับความคิดสุดโต่ง เกลียดชังถึงขั้นต่อต้านรัฐบาล หลังออกจากกองทัพ เขาทำอาชีพซื้อขายปืนเถื่อน มีเพื่อนร่วมงานไม่กี่คน ซึ่งเคยเป็นทหารกองร้อยเดียวกัน

ในฤดูร้อนปี 1992 เอฟบีไอและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย บุกเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งในรัฐเท็กซัส ซึ่งมีการซ่องสุมอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่พยายามรวบตัว แรนดี วีเวอร์ (Randy Weaver) เจ้าพ่อลัทธิประหลาด แต่คนในอาคารต่างต่อต้าน มีการยิงต่อสู้อย่างดุเดือด มีคนเจ็บ และเจ้าหน้าที่เสียชีวิตด้วย

พอถึงวันที่ 19 เมษายน ปี 1993 คนในอาคารทั้งหมดจุดไฟเผา เพื่อฆ่าตัวตายหมู่ เหตุการณ์นี้กระตุ้นเร้าความเกลียดชังรัฐบาลกลางในตัวของแม็กเวย์อย่างมาก

ตัวเขาเอง เคยไปประท้วงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเข้าปิดล้อมอาคารนี้ด้วย หลังจากเหตุการณ์นี้ เจ้าตัวตัดสินใจ จะวางระเบิดอาคารของรัฐบาลสักแห่ง หากจะมีใครตายในนั้น ก็ถือเป็นผลกระทบข้างเคียง ลูกหลง โดยแม็กเวย์มั่นใจอย่างมากว่า การกระทำของเขา จะก่อกำเนิดการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้

แต่เขามีเวลาเพ้อฝันความบ้าคลั่งได้เพียง 90 นาทีหลังเกิดเหตุเท่านั้น ก็ถูกแฮงเกอร์รวบตัวไว้ได้สำเร็จ ในเวลาต่อมา มีคนพบว่า แม็กเวย์ไม่ได้อยากปลิดชีพ เขาอยากโดนจับ อยากเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของตัวเอง ปลูกฝังโฆษณาชวนเชื่อให้กลุ่มคนคลั่งผิวขาวทั้งหลาย ลุกขึ้นมาจับปืนสู้กับรัฐ

ผลที่ได้จากการกระทำนี้ ลูกขุน 12 ราย ตัดสินว่าชายคนนี้มีความผิดฐานก่อการร้าย ผู้พิพากษาตัดสินลงโทษประหารชีวิต

แม็กเวย์ถูกนำตัวไปฉีดยาให้ตาย ในวันที่ 11 มิถุนายน 2001 นักข่าวที่ไปทำข่าวเผยว่า ครอบครัวผู้เสียชีวิตต่างไปยืนดูนาทีมรณะ โดยหวังว่าชายคนนี้จะกล่าวคำขอโทษ

แต่ไม่มีประโยคนั้นหลุดออกมา

พ่อของนักโทษประหารได้เข้าเยี่ยม ก่อนเผยว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องมาดูการปลิดชีพลูกชาย และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมบุตรชายถึงต้องก่อเหตุโหดเหี้ยมนี้ด้วย

เข็มฉีดยาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม็กเวย์ตายในเวลา 07.14 น.

โดยที่ตาเขายังลืมอยู่เลย

5.

เรื่องราวของแม็กเวย์ถูกเล่าขานด้วยความโหดเหี้ยม ขณะที่อีกด้าน เรื่องราวของแฮงเกอร์ ได้รับการยกย่อง รูปภาพเขาถูกติดในร้านอาหาร ได้รับการยกย่องจากคนในชุมชน จากสื่อ จากเจ้าหน้าที่ด้วยกันเอง

หากวันนั้นเขาตัดสินใจปล่อยชายคนนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าแม็กเวย์จะไปก่อเหตุรุนแรงต่อสังคมอีกหรือไม่ แต่เพราะความตงฉิน แฮงเกอร์จับผู้ต้องหายัดเข้าคุก ทำให้เอฟบีไอเข้ารวบตัวได้สำเร็จ

ผลงานทั้งหมดนี้ หากไม่เรียกว่าฮีโร่ ก็ไม่รู้จะใช้คำใดมาเปรียบแล้ว

อย่างไรก็ดีสำหรับตำรวจรัฐนายนี้ เขาไม่อยากให้สัมภาษณ์กับสื่อมาก ไม่อยากดังไปเยอะกว่านี้ ในฐานะชายผู้จับกุมผู้ก่อการร้ายได้

แฮงเกอร์ได้รับเลือกให้นายอำเภอ โดยไม่เอ่ยถึงผลงานการจับกุมชายคลั่งขาวเลยแม้แต่คำเดียว แต่ผลงานย่อมดีกว่าคำพูด ประชาชนแห่เลือกอย่างถล่มทลาย

ชายคนนี้ย้ำว่า สิ่งที่ทำให้จับกุมแม็กเวย์ได้ ก็คือการทำหน้าที่ของตำรวจเท่านั้นเอง เห็นอะไรผิดกฎหมาย ไม่ถูกก็ต้องดำเนินคดีตามขั้นตอน ไม่ใช่ปล่อยผ่าน สมยอม หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

เจ้าตัวยืนยันว่าการจับกุมแม็กเวย์นั้น ไม่เกี่ยวกับฝีมือ “ผมก็แค่อยู่ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้น”

และเมื่อย้อนรำลึกถึงผู้ก่อการร้ายรายนี้ แฮงเกอร์บอกแค่ว่า “ผมจำตาเขาได้ มันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น”

ตำรวจตงฉินบอกกับนักข่าวว่า สิ่งที่สังคมควรให้ความสนใจคือเหยื่อ ไม่ใช่ตนเอง โดยทุกครั้งที่มีการจัดงานรำลึกเหตุการณ์นี้ แฮงเกอร์จะใส่เครื่องแบบไปร่วมด้วยเสมอ

เพื่อนรายหนึ่งได้ให้คำนิยามตัวตนของตำรวจนายนี้ไว้เป็นอย่างดีว่า

“เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมากๆ และไม่ชอบให้ใครมาเรียกเขาว่าฮีโร่”

“แต่นั่น ก็ไม่อาจทำให้ประชาชนหยุดยกย่องเขาได้”

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. https://stories.fbi.gov/oklahoma-bombing/
  2. https://www.latimes.com/archives/la-xpm-2001-jun-10-mn-8792-html
  3. https://edition.cnn.com/2007/US/law/12/17/archive.mcveigh2/index.html
  4. https://edition.cnn.com/CNN/Programs/people/shows/mcveigh/profile.html
  5. https://www.fbi.gov/video-repository/newss-jim-norman-case-agent-oklahoma-city-bombing-investigation/view
  6. https://www.independent.co.uk/news/world/americas/death-penalty-timothy-mcveigh-executions-bhtml
  7. https://www.chicagotribune.com/2001/04/20/mcveigh-and-invictus-a-murderers-last-words/
  8. https://www.latimes.com/nation/la-na-oklahoma-city-bombing-20150419-html

Tags: , , , ,