1
“มีบางคนฆ่าพ่อกับแม่ผม”
ตำรวจโรงพักเบเวอร์ลีฮิลส์ (Beverly Hills) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 1989 ณ แมนชันหรูในย่านไฮโซของเมืองมากสีสันแห่งนี้
บทสนทนาเป็นดังนี้
“สายด่วนฉุกเฉินของเบเวอร์ลีฮิลส์ค่ะ”
“ครับ ได้โปรด”
“เกิดปัญหาอะไรขึ้น”
“มีบางคนฆ่าพ่อแม่ผม!”
“อะไรนะคะ”
“มีคนฆ่าพ่อแม่ผม!”
สายตรวจ นักสืบ เจ้าหน้าที่นิติเวช และทีมนิติวิทยาศาสตร์เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุทันที ย่านนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอื้อฉาว และแทบไม่เคยมีใครฆ่ากันตายมาก่อน
โดยเฉพาะในแมนชันหรูที่ตั้งอยู่ในละแวกนี้
หน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขก เจ้าหน้าที่พบร่างเปื้อนเลือด 2 ศพ ผู้เสียชีวิตคนแรกเป็นชายวัยกลางคนชื่อ โฮเซ เมเนนเดซ (José Menéndez) รายต่อมาเป็นหญิงสาว ภรรยาของโฮเซ ชื่อว่า คิตตี เมเนนเดซ (Kitty Menéndez) ทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองจำนวนหลายนัด คาดว่าคนร้ายลั่นไกจนกระสุนหมด ก่อนโหลดกระสุนใหม่เพื่อใช้สังหารต่อ จากนั้นก็เก็บปลอกกระสุนออกไปจากจุดเกิดเหตุด้วย
ทั้ง 2 ศพถูกยิงจนพรุน นอนตายบนโซฟา โดยที่โทรทัศน์เปิดทิ้งไว้ นักสืบพบร่องรอยแห่งความเกลียดชังของคนร้ายต่อโฮเซและคิตตี เพราะผู้ก่อเหตุกระหน่ำโปรยกระสุนเข้าใส่ร่างจนเละเทะไปหมด ตำรวจพบคนที่โทร.ไปแจ้งเหตุอยู่ภายในบ้าน ชื่อของเขาคือ ไลล์ เมเนนเดซ (Lyle Menéndez) อายุ 20 ปี และเอริก เมเนนเดซ (Erik Menéndez) อายุ 18 ปี ทั้งคู่คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้เสียชีวิต
เมื่อตรวจอย่างละเอียด พวกเขาไม่พบร่องรอยการชิงทรัพย์ เมื่อเช็กอาชีพของโฮเซก็พบว่า เขาคือผู้บริหารที่มีบริษัทสร้างหนัง เน้นไปที่การฉายทางวิดีโอ โดยเจ้าตัวเป็นที่รู้จักของดารานักแสดงในวงการบันเทิงมากมาย
นี่กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นคดีสุดอื้อฉาว นักสืบระดมกำลังเข้ามาล่าหาตัวฆาตกร ทางอัยการลงมาพิจารณาหลักฐานทุกอย่าง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม และโฮเซทำธุรกิจในวงการมายาด้วย จึงมีการสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ฆาตกรน่าจะรับงานมาจากพวกเจ้าพ่อ ซึ่งเป็นคู่แข่งกับผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน
“ตำรวจคาดว่า คนที่ทำเป็นพวกมาเฟีย เหมือนในหนังเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเก็บคราบเขม่าปืนจากมือของลูกผู้ตาย แถมปล่อยให้เด็กๆ เข้าไปยุ่มย่ามหลักฐานในบ้านหลังนั้นด้วย”
ทางไลล์บอกกับนักสืบว่า เขากับน้องออกไปข้างนอก เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นพ่อกับแม่ถูกยิงตายแบบนี้ ด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแจ้งตำรวจให้รีบมาโดยเร็ว
สื่อเล่นข่าว สังคมตั้งข้อสงสัย เจ้าหน้าที่พยายามงมหาว่า เจ้าพ่อคนใดสั่งตาย 2 สามีภรรยาหรือไม่ ระหว่างนั้น นักสืบได้รับเบาะแสสำคัญว่า หลังพ่อกับแม่เสียชีวิต ลูกทั้งสองต่างเอาเงินไปซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ราคาแพง ซื้อทรัพย์สินลงทุนมากมาย ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย
ประเด็นนี้ทำให้ตำรวจค่อยๆ เบนเป้าจากคนร้ายนอกบ้าน มาสู่ผู้ต้องสงสัยในบ้าน ปัญหาคือพวกเขายังไม่พบหลักฐานชัดแจ้ง เนื่องจากไม่มีการตรวจคราบเขม่าปืนจากลูกทั้งสองในวันเกิดเหตุ
อย่างไรก็ดี 6 เดือนหลังการฆาตกรรม ในเดือนมีนาคม 1990 หญิงสาวคนหนึ่งให้เบาะแสกับตำรวจ โดยบอกว่า คนรักเธอเป็นจิตแพทย์ของไลล์และเอริก ระหว่างการเข้าบำบัดทั้งสองรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่าพ่อแม่ของตนเอง
คำพูดทั้งหมดอยู่ในเทปที่บันทึกไว้ในห้องนั้นด้วย
ตำรวจไม่รอช้า เข้าพบจิตแพทย์และขอเทปดังกล่าว แม้ตามหลักเป็นความลับระหว่างคนไข้กับแพทย์ แต่เมื่อมันเป็นสิ่งสำคัญที่อาจนำไปสู่การไขคดี กฎหมายจึงอนุญาตให้เข้าถึงได้
เมื่อนักสืบได้ฟังคำรับสารภาพนี้จบก็รวบรวมหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับไลล์ทันที พาตัวเข้าโรงพัก ส่วนเอริกเมื่อทราบข่าวก็เดินทางมามอบตัว หลังไปตีเทนนิสที่ประเทศอิสราเอลมา ทั้งสองยอมรับว่า เป็นฆาตกรพิฆาตบุพการี
คำสารภาพนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งประเทศ ทุกคนต่างตั้งข้อสงสัย ครอบครัวที่ร่ำรวย สุขสบาย ดูอบอุ่น ทำไมถึงเกิดเรื่องหฤโหดขึ้นได้
ทางอัยการสันนิษฐานว่า ทั้งสองต้องการมรดกของพ่อ ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สร้างทุกอย่างด้วย 2 มือ และเพราะไต่เต้าจนมาถึงวันนี้ ย่อมมีอีโก้และความภาคภูมิใจสูง จึงเคี่ยวเข็ญลูกๆ ให้เป็นเลิศในทุกด้าน
สุดท้ายความกดดันนำไปสู่ความผิดหวัง พ่อต่อว่าเด็กๆ ไม่ยอมมอบเงินที่หามาได้ปรนเปรอลูกของตนเอง ส่วนแม่ก็เห็นด้วยในสิ่งที่พ่อกำหนด จึงนำไปสู่การวางแผนฆาตกรรม
อาวุธปืนลูกซองที่ใช้ฆ่า ไลล์และเอริกซื้อมา 2 วันก่อนเกิดเรื่อง พอยิงเสร็จก็เก็บปลอกกระสุน แล้วทำทีออกไปข้างนอกและกลับเข้ามาก่อนแจ้งตำรวจ จนไม่มีคนสงสัย จากนั้นก็จะได้ถลุงเงินใช้อย่างเต็มที่
ทั้งคู่ถูกจับเข้าคุก กระทั่งในวันที่ 20 กรกฎาคม 1993 มีการขึ้นศาลไต่สวนพิจารณาโทษ ไลล์พยักหน้ายอมรับว่า ร่วมกับน้องฆ่าพ่อแม่จริง
แต่สาเหตุที่เขาหลุดออกมา สร้างความตื่นตะลึงอื้อฉาวมากกว่าเดิม
พลันที่ทนายจำเลยถามถึงว่า ทำไมถึงต้องก่อเหตุแบบนี้ ไลล์เสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ เช่นเดียวกับเอริกที่ให้การในเวลาต่อมาด้วยสีหน้าอารมณ์แบบเดียวกัน ทั้งสองมองไปรอบห้อง กล้องวงจรปิดจับภาพระยะใกล้ไว้ได้ ในจังหวะที่ฆาตกรเผยความจริงบางอย่าง
“ตั้งแต่เด็ก เราถูกพ่อคุกคามทางเพศมาตลอด”
“เขาข่มขืนพวกเรา”
2
ความลับดำมืดที่คนนอกครอบครัวไม่มีใครรู้ บัดนี้ถูกแฉออกมาในชั้นศาล ไลล์เล่าว่า เมื่ออายุได้ 6 ปี พ่อมักคุกคามทางเพศเขา จนอายุ 8 ปี โฮเซจึงหยุดการก่อเหตุ แต่ไปลงกับเอริกแทน สร้างความเลวร้ายให้กับลูกคนเล็ก แม้แม่จะรับรู้ แต่กลับเมินเฉย ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย
ทนายของฆาตกรนำคนรู้จัก เพื่อนข้างบ้าน ลูกพี่ลูกน้องมาพูด สังคมจึงได้รู้เห็นพฤติกรรมประหลาดของบ้านหลังนี้
เพื่อนสนิทของผู้ต้องหาเผยว่า มีอยู่วันหนึ่ง เขามาเล่นที่บ้านหรู โฮเซได้เรียกลูกๆ ไปอาบน้ำด้วยกัน ทั้งที่ไลล์กับเอริกก็โตพอจะอาบน้ำคนเดียวได้แล้ว ระหว่างนั้น คิตตีสั่งห้ามไม่ให้เพื่อนๆ ของลูกออกไปนอกห้องนั่งเล่นหรือใกล้ห้องน้ำเด็ดขาด
ลูกพี่ลูกน้องหญิงของไลล์บอกว่า ตอนเป็นเด็ก ไลล์เคยทำท่าบางอย่าง โดยการกุมอวัยวะเพศ แล้วบอกว่า พ่อมาจับเขาแบบนี้ และเอามือเขาไปจับตรงนั้นของโฮเซด้วย
พยานอีกรายยืนยันว่า บ้านหลังนี้มีความแปลกประหลาด เหมือนอบอุ่นแต่มีความลับซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความเพียบพร้อม และพลันที่เอริกกับไลล์เล่าความจริงว่า พวกเขาถูกย่ำยีทางเพศตั้งแต่เด็ก สังคมก็เริ่มไขว้เขว
ลูกทั้งสองเผยว่า ถึงจุดหนึ่งเอริกอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาขู่ว่าจะแฉเรื่องทั้งหมดแก่สังคมวงกว้าง สร้างความตื่นตกใจให้กับโฮเซและคิตตี จึงมีการนัดเคลียร์กันในวันเกิดเหตุ
ทางพี่น้องปรึกษากันและเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาเผชิญหน้า พ่อต้องฆ่าพวกเขาตายอย่างแน่นอน เพื่อปกปิดความจริงอันดำมืดสุดโหดร้ายนี้ไว้
ดังนั้นไลล์กับเอริกจึงไปซื้อปืน เมื่อไปพบหน้าบุพการีที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ จึงลั่นไกยิงจนกระสุนหมด แล้วโหลดกระสุนใหม่เพื่อกระหน่ำยิงต่อ กระทั่งอีกฝ่ายแน่นิ่ง ร่างพรุนไปด้วยลูกปืน พวกเขาจึงหยุด
ทนายของไลล์และเอริกบอกว่า พวกเขายอมรับผิดว่า เป็นฆาตกร แต่มูลเหตุจูงใจคือเพื่อป้องกันตัว และต้องการหลุดออกจากวงจรอุบาทว์นี้ให้ได้ ดังนั้นหากลูกขุนปรานีและเข้าใจเรื่องทั้งหมด ก็น่าจะพิจารณาโทษให้เบาลง เพราะหากเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ฆาตกรจะต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน
ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้ลูกขุนไม่เห็นด้วยกับข้อหา และลดความผิดเป็นฆ่าคนโดยไม่ได้เจตนา ซึ่งอิงจากคำให้การของไลล์ที่โดนทนายถามว่า
“ทำไมคุณถึงฆ่าพ่อแม่ล่ะ”
ชายหนุ่มวัยต้น 20 ตาละห้อย เสียงสั่นเครือ ก่อนพูดออกไปว่า “เพราะพวกเรากลัวครับ”
อย่างไรก็ดี อัยการที่ทำคดีนี้ย้ำว่า แรงจูงใจของเรื่องนี้อยู่ที่เงิน เพราะทั้งสองอยากได้และใช้มันอย่างหนำใจหลังก่อเหตุเสร็จ ส่วนเรื่องการโดนพ่อข่มขืนคุกคามทางเพศนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่แย่ น่าเจ็บปวด และเศร้าใจยิ่ง
แต่อัยการกลับแย้งทนายจำเลยและย้ำเตือนลูกขุนถึงความสงบเรียบร้อยของสังคมว่า แม้ฆาตกรจะเสนอหลักฐานที่ส่อว่า พ่อคุกคามทางเพศ แต่มันก็ไม่มีพยานแน่ชัดที่เห็นการก่อเหตุ มีเพียงคำพูดเป็นนัยเท่านั้น ดังนั้นหากยึดตามหลักศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย พวกเขาทั้งสองทำผิดจริงอย่างแน่นอน
“แม้พี่น้องทั้งสองอาจโดนย่ำยี แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิไปฆ่าใครโดยเด็ดขาด”
ในที่สุด ลูกขุนลงความเห็นว่า ทั้งคู่ก่อเหตุผิดจริงตามข้อหาฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ทางผู้พิพากษาได้มีคำตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีสิทธิยื่นขอลดโทษอีก นับว่าเป็นความเมตตาที่ให้รอดพ้นจากการประหารชีวิต
ไลล์กับเอริกจึงถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ไร้ซึ่งอิสรภาพจนกว่าชีวิตจะหาไม่
3
หลังคำตัดสินวันนั้น เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม แบ่งข้อสงสัยเป็น 2 ขั้ว มีการตั้งคำถามว่า โทษมันรุนแรงไปไหม เด็กทั้ง 2 คนเป็นเหยื่อถูกก่อเหตุจากพ่อของตนเอง ทำไมถึงต้องติดคุกหนักขนาดนี้ พวกเขาน่าจะถูกตั้งข้อหาเบากว่าเดิมหรือไม่
อย่างไรก็ดี พี่ชายของคิตตีหรือลุงของนักโทษก็ย้ำว่า นี่คือความยุติธรรมที่สุดแล้ว เพราะไม่ว่ายังไง ลูกๆ ก็ไม่ควรมีสิทธิพรากชีวิตแม่ของตนเอง
“เธอเป็นคนสวย เป็นคนดี เป็นที่รักของครอบครัวทุกคน และไม่น่าจะต้องมาถูกก่อเหตุแบบนี้เลย”
ผ่านไปเกือบ 30 ปี อยู่มาวันหนึ่ง หญิงชราส่งหลักฐานให้กับทนายของไลล์กับเอริก มันเป็นจดหมายที่เอริกเขียนขึ้น มีข้อความปรากฏว่า “ฉันพยายามหลีกเลี่ยงพ่อ ถึงวันนี้มันก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอยู่ เพื่อนรัก มันเลวร้ายกับฉันมากเลย ทุกคืนฉันจะสะดุ้งตื่นแล้วคิดว่า เขาอาจโผล่หน้ามา”
เอกสารชิ้นนี้เป็นของเพื่อนสนิทเอริกที่ตายไป แล้วแม่เขาเก็บข้าวของจึงเจอจดหมายดังกล่าว เมื่อมีการตรวจสอบ เอริกบอกว่า เขาน่าจะเขียนก่อนเกิดเหตุ 8 เดือน คือราวเดือนธันวาคม 1988 เท่ากับเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า มีการคุกคามทางเพศจากพ่อของพวกเขาจริง และมีคนภายนอกรับรู้เรื่องราวตรงนี้
ต่อมา มีอดีตนักร้องเด็กคนหนึ่งออกมาพูดว่า เขาถูกโฮเซมอมเหล้าและลากเข้าห้องในโรงแรมไปข่มขืน เหตุเกิดในช่วงยุค 80s โดยเจ้าตัวเขียนจดหมายบอกเล่าพฤติกรรมสุดอื้อฉาวนี้ด้วย
หลักฐานใหม่ตรงนี้ทำให้ทนายความของไลล์กับเอริกออกมาเรียกร้อง ให้มีการพิจารณาคดีใหม่ โดยย้ำเตือนว่า “ข้อมูลที่พบนี้คือสิ่งยืนยันว่า เด็กทั้งสองถูกคุกคามตั้งแต่เด็ก พวกเขาโดนย่ำยีไปทั้งชีวิต และสิ่งที่เกิดขึ้นคือการฆ่าโดยไม่ได้เจตนา ไม่ใช่การวางแผนฆาตกรรม”
ดังนั้นพวกเขาควรถูกดำเนินคดีในโทษที่เบากว่า และตอนนี้ก็จะมีสิทธิพ้นโทษ ออกจากคุกมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางอัยการยังยืนยันคำเดิมว่า แรงจูงใจคือเรื่องเงิน และทั้งสองมีพฤติกรรมวางแผนก่อเหตุชัดเจน นั่นทำให้โทษจำคุกตลอดชีวิตเพียงพอเหมาะสมแล้ว โดยจดหมายที่เอริกเขียนถึงเพื่อนพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดขึ้นก่อนการฆาตกรรม
เพราะคนที่รู้ความจริงคือเพื่อนที่ตายไปแล้ว ซึ่งเอริกก็จะต้องพูดช่วงเวลาให้เกิดประโยชน์ในทางคดี จึงนำมาใช้ไม่ได้
ส่วนเรื่องมีเหยื่อถูกก่อเหตุเพิ่ม เพียงช่วยแฉความเลวร้ายของโฮเซเท่านั้น แต่หากถามว่า กรณีนี้มีผลต่อคดี สามารถเปลี่ยนผิดเป็นถูก ทำให้ไลล์กับเอริกบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ และอัยการไม่เห็นว่ามันจะช่วยกลับคำตัดสินได้เลย
สุดท้ายนี้ ผู้ที่จะพิจารณาหลักฐานใหม่นี้ว่า คดีดังกล่าวควรถูกรื้อฟื้นมาหรือไม่คือผู้พิพากษา ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด และนี่เองทำให้ไลล์กับเอริกมีความหวังขึ้นมา เพราะนั่นเท่ากับว่า พวกเขามีสิทธิได้ออกมาใช้ชีวิตในฐานะคนปกติอีกครั้งหนึ่ง
2 พี่น้องบอกกับนักข่าวผ่านโทรศัพท์ในเรือนจำว่า ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ลูกขุนในปัจจุบันจะเห็นว่า การถูกกลั่นแกล้งคุกคามทางเพศในวัยเด็ก เพียงพอให้คนเราลุกมาก่อเหตุฆาตกรรม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากวงจรเลวร้ายนี้ และนั่นทำให้ข้อหาของพวกเขาจะถูกลด และโทษจะน้อยลงกว่าคำตัดสินเดิม
อีกทั้งทุกวันนี้ไลล์กับเอริกได้กลับตัวกลับใจ ไม่เคยมีพฤติกรรมก่อเรื่องเลวร้ายในเรือนจำเลย โดยตั้งกลุ่มเพื่อรับรู้ปัญหาคุกคามทางเพศของเพื่อนนักโทษด้วยกัน และเป็นที่รักแก่คนในโลกหลังกำแพงสูง ทั้งคู่พยายามเรียนรู้ทุกอย่าง แม้ในยามที่ต้องไร้อิสรภาพ
แต่ก็ไม่เคยหยุดหาความรู้ ความเข้าใจต่อโลกใบนี้
กระนั้นลุงของพวกเขาก็ย้ำเตือนว่า ทั้งสองควรอยู่ในคุกไปตลอดกาล คำตัดสินเดิมนั้นถูกแล้ว “เพราะผมรักน้องสาว และจะปกป้องเธอยามมีชีวิตอยู่ เมื่อเธอตายแล้ว ผมก็จะปกป้องน้องยามไร้ลมหายใจด้วย ดังนั้น ผมจึงอยากให้มันทั้งสองเน่าตายในคุกเก่าๆ โทรมๆ ซะ”
เมื่อไลล์ได้ยินคำให้สัมภาษณ์ของลุง จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมเข้าใจความเจ็บปวดที่ลุงพบ แต่อยากย้ำเตือนว่า ชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ ทุกวันนี้เราได้รับความรัก การสนับสนุน แถมยังได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายด้วย
“ดังนั้นผมจึงขอวิงวอน ไม่อยากให้ใครมาตัดสินพวกเรา โดยดูจากการกระทำในคืนนั้น เพียงแค่คืนเดียว”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.cbsnews.com/news/menendez-brothers-await-decision-they-hope-will-free-them-48-hours/
https://www.cbsnews.com/news/menendez-brothers-inside-the-notorious-case-48-hours/
https://abcnews.go.com/US/photos/menendez-brothers-killed-parents-childhood-murder-trial-44511381
Tags: ฆาตกรรม, ข่มขืน, domestic violence, ความรุนแรงในครอบครัว, Haunted History