1.

จอห์น เซนต์ จอห์น (John St. John) เป็นตำนานยอดนักสืบแห่งเมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ตำรวจนายนี้ไขคดีจับคนร้ายได้กว่า 1,500 คดี โดยตลอดชีวิตเขาไม่เคยยิงปืนแม้แต่นัดเดียว จอห์นได้รับการยกย่อง โดยอธิบดีกรมฯ มอบตราตำรวจหมายเลข 1 แสดงถึงการให้เกียรติในฐานะนักสืบสมองเพชรของเมืองอย่างแท้จริง

วิธีการสืบสวนของจอห์น ได้รับการเชิดชูจากตำรวจนักสืบรุ่นหลัง โดยเขาจะตรวจสอบเอกสาร สอบปากคำพยานอย่างละเอียด ลงพื้นที่ไปดูจุดเกิดเหตุอย่างเข้มข้น และหมกมุ่นดูข้อมูลทุกอย่าง

ตำรวจรุ่นน้องตั้งฉายาให้เขาว่า จิ๊กซอว์ จอห์น จาก 2 สาเหตุด้วยกัน คือ 1. เขาโชว์ความสามารถจับกุมคนร้ายที่ฆ่าหั่นศพเหยื่อที่สวนสาธารณะ โดยการรวบรวมชิ้นส่วนศพ จนนำไปสู่การไขคดีนี้ได้ และ 2.เขาใช้เทคนิคการสืบสวนแบบหาหลักฐานมาประกบเข้าด้วยกัน คล้ายการต่อจิ๊กซอว์ จนนำไปสู่การจับกุมฆาตกรได้หลายคดี

นั่นคือคุณสมบัติเด่นที่ทำให้จอห์นได้ฉายานี้ และกลายเป็นตำนานจนถึงปัจจุบัน

จอห์นบอกกับนักข่าวว่า “คุณต้องสอบปากคำผู้เสียหายต่อหน้า ไปดูที่เกิดเหตุ ต้องไปดูหน้าผู้เสียชีวิต เพื่อให้เข้าถึงความเจ็บปวดทรมาน”

เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจเห็นได้จากการดูโทรทัศน์อย่างแน่นอน

2.

สำหรับคดีที่โดดเด่นจนเป็นตำนานของจิ๊กซอว์ จอห์น คือการตามล่าหาฆาตกรต่อเนื่องที่ชื่อว่า นักฆ่าฟรีเวย์ (The Freeway Killer) โดยในช่วงยุค 80 ปรากฏฆาตกรสุดโหดที่ขับรถไปตามถนนฟรีเวย์และถนนในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ก่อนสังหารเด็กหนุ่มจำนวนมากและนำร่างไปทิ้งไว้ข้างทาง 

ในยุคที่กล้องวงจรปิดและดีเอ็นเอยังมาไม่ถึง จิ๊กซอว์ จอห์น ลงพื้นที่สืบสวนจุดเกิดเหตุโดยละเอียด รวมถึงเข้าร่วมการชันสูตร จนเขาพบว่าฆาตกรรายนี้มีพฤตกรรมการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ส่วนใหญ่จะใช้เชือดรัดคอเหยื่อ แต่เหยื่อบางรายถูกใช้มีดกระหน่ำแทง บางคนโดนไปกว่า 47 แผล โดยนักฆ่าคนนี้เลือกสังหารเฉพาะผู้ชายอายุน้อย ประมาณ 14-19 ปี นั่นจึงนำไปสู่การวางแผนสืบคดี และสั่งการให้สายตรวจ รวมไปถึงเหล่านักสืบซุ่มดูความเคลื่อนไหวของคนร้าย เพราะจอห์นคาดการณ์รูปแบบการก่อเหตุว่า จะมีการก่อเหตุขึ้นในบริเวณที่เขาคาดการณ์

ทั้งนี้ นักสืบจอห์นต้องแยกแยะว่าศพไหนเข้าข่ายเป็นผลงานนักฆ่าฟรีเวย์ และศพไหนไม่ใช่ เขาต้องตรวจสอบภูมิหลังของเหยื่อ จนพบว่าผู้เสียชีวิตวัยรุ่นชายหลายคน ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น แต่กลับมาจบชีวิตอย่างทารุณ และถูกทิ้งที่ถนนทอดยาวสายนี้

เขาเชื่อว่าฆาตกรคนนี้น่าจะขับรถตระเวนไปตามถนนฟรีเวย์ และเลือกเหยื่อจากคนที่โบกรถ ซึ่งเป็นที่นิยมกันในยุคนั้นมาก เมื่อตรวจสอบศพอย่างละเอียด ก็พบการละเมิดทางเพศ จึงเชื่อว่าวายร้ายคนนี้น่าจะเป็นเกย์ จอห์นค่อยๆ รวบรวมจิ๊กซอว์เพื่อไขปริศนาโหด ทีละนิด ทีละหน่อย

โดยระหว่างนั้น เขายังไขคดีอื่นๆ ที่เข้ามาอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่หนัก แต่ก็มุ่งมั่นจัดการปิดคดีให้ได้ แต่บางครั้งเรื่องจริงก็ไม่ได้เป็นไปแบบในหนัง เพราะกว่าจะได้เบาะแสต้องใช้เวลา และฆาตกรก็ไม่ได้ขับรถออกมาก่อเหตุทุกวัน 

ดังที่นักสืบมักจะหล่นวาทะทองไว้ว่า คนร้ายจะต้องใช้โชคทุกครั้งในการก่อเหตุ แต่ตำรวจขอแค่โชคดีเพียงครั้งเดียวก็จับกุมคนร้ายได้

แต่กว่าจอห์นจะหารูปแบบวิธีการฆ่า ในยุคที่คำว่าฆาตกรต่อเนื่องยังไม่ปรากฏในสารบบการสืบสวนนั้น จอห์นก็ใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานกว่า 8 ปี ทีเดียว

“บางคืนช่วงตี 3 ผมก็ตื่นมานั่งอ่านหลักฐานทั้งหมด แล้วครุ่นคิดไขคดีนี้”

ความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อสืบสวนคดีนี้สัมฤทธิ์ผล เมื่อจอห์นพร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สอบปากคำพยานในบริเวณถนนฟรีเวย์ ทั้งกลุ่มวัยรุ่นไร้บ้าน และกลุ่มชายรักชาย นั่นทำให้พวกเขาได้เบาะแสของชายคนหนึ่ง ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายฆาตกรต่อเนื่อง โดยเกย์วัยรุ่นคนหนึ่งเล่าว่า ได้ยินชายคนนี้พูดว่าเคยก่อเหตุสังหารเด็กผู้ชาย และเขาเคยนั่งรถไปตอนนาทีสังหารด้วย แต่ไม่กล้าปลีกตัวออกมา เพราะกลัวจะถูกฆ่าปิดปาก จนสบโอกาสเผลอ จึงหนีออกมาแล้วบอกเล่าความจริง 

ข้อมูลตรงนี้ทำให้ตำรวจนำกำลังสอดแนม ลอบดูพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยรายนี้

จากนั้นกินเวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ตะครุบตัวชายคนหนึ่ง หลังเขาก่อเหตุเข้าทำร้ายวัยรุ่นชายที่ถนนฟรีเวย์ และพยายามลากขึ้นรถตู้ ตำรวจจึงแสดงตัวและเข้าจับกุม เมื่อค้นรถตู้ ก็พบเชือกไนล่อน สายไฟ ยางรถ พร้อมกับมีด 3 เล่ม เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวไปสอบปากคำทันที

นั่นทำให้จอห์นพิชิตคดี จับกุมวิลเลียม โบนิน (William Bonin) อดีตทหารผ่านศึกเวียดนามได้สำเร็จ ฐานเป็นนักฆ่าฟรีเวย์

3.

โบนิน เคยไปรบในเวียดนาม เขาเกิดในครอบครัวที่พ่อกับแม่ติดเหล้า โดยตัวพ่อพ่วงการติดพนันเข้ามาด้วย และชอบทำร้ายลูกๆ หลายครั้งก็ทิ้งโบนิน ต่อมาโบนินถูกส่งไปอยู่กับตาที่มีพฤติกรรมใคร่เด็ก และเชื่อว่าเคยคุกคามทางเพศแม่ของเขาเองด้วย

ต่อมาเขาถูกทิ้งให้อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่ซึ่งเขาถูกซ้อม ถูกเพื่อนแกล้ง และโดนข่มขืนโดยรุ่นพี่ผู้ชาย นอกจากนี้เขายังถูกเจ้าหน้าที่ลงโทษ ฐานทำผิดกฎข้อบังคับ สารพัดความเลวร้ายที่กระหน่ำใส่โบนินอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเบ้าหลอมให้เด็กคนนี้ เบนสู่เส้นทางแห่งความหฤโหดในเวลาต่อมา

เมื่อโตเป็นหนุ่ม เขาแต่งงานกับหญิงที่แม่หมั้นหมายให้ แต่โบนินรู้ตัวแล้วว่า เขาชอบเพศเดียวกัน มันจึงนำไปสู่การหย่าร้าง และทำให้ชายคนนี้หลงใหลในเด็กหนุ่ม กินเวลาไม่นานหลังเรียนจบ เขาถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามเวียดนาม ได้รับเหรียญกล้าหาญ หลังทำหน้าที่พลปืนในเฮลิคอปเตอร์ แล้วเสี่ยงชีวิตช่วยเพื่อนร่วมรบ 

อย่างไรก็ดีเขากลับถูกปลดอย่างไร้เกียรติ หลังไปทำร้ายและทะเลาะกับเพื่อนทหาร จนต้องกลับมาอยู่กับแม่ที่บ้าน

ความรุนแรงเป็นสิ่งที่โบนินได้รับตลอดชีวิต นั่นทำให้พอกลับมาอเมริกา เขาจึงกลายเป็นนักฆ่าที่เชี่ยวชาญ เนื่องจากได้รับการฝึกฝนในกองทัพ พอถึงปี 1968 โบนินซึ่งอายุได้ 21 ปี ก็ได้จับเด็กผู้ชายมามัดและทรมานอย่างโหดเหี้ยม ก่อนรัดคอจนเสียชีวิต แล้วนำศพไปโยนทิ้งที่ถนนฟรีเวย์

นี่จะเป็นรูปแบบวงจรอุบาทว์ที่โบนินใช้ก่อเหตุฆ่าคน จนถึงวันที่จอห์นจับกุมเขาไว้ได้

4.

เมื่อโบนินถูกจับ จอห์นได้เค้นสอบปากคำ นักฆ่ารายนี้ก็ได้รับสารภาพฆ่าเด็กไปกว่า 14 ศพ แต่เชื่อว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้ เขาถูกนำตัวขึ้นศาล ตำรวจชี้ชัดว่า ชายคนนี้ไม่ได้อยากฆ่าเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลในวัยเด็กเท่านั้น

แต่เขายังชอบและสนุกกับการได้ทรมานเหยื่อ ไม่มีความเสียใจขณะฆาตกรรมแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้ทำให้ศาลตัดสินประหารชีวิต โดยการรมแก๊สโบนิน ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 1996

ปิดตำนานสุดเหี้ยม

คำพูดสุดท้ายของโบนินบนโลกใบนี้ คือประโยคที่ว่า “ผมขอแนะนำ สำหรับใครที่คิดจะฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ไปหาที่เงียบๆ แล้วคิดให้ดี ก่อนจะลงมือทำอะไรอย่างนี้”

การปิดคดีนี้ได้ ทำให้จอห์นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขาได้ออกทีวี ให้สัมภาษณ์กับสื่อ บางครั้งเมื่อไปเคาะประตูที่บ้านพยาน พลันที่อีกฝ่ายเปิดประตูออกมา ก็เรียกเขาว่า “ว่าไงครับ คุณจิ๊กซอว์ จอห์น”

ว่ากันว่าสาเหตุที่จอห์นเป็นนักสืบที่เก่งกาจ ไขคดีไปหลายพัน นั่นเพราะตอนเขาเป็นตำรวจใหม่ ก็บรรจุในตำแหน่งสายตรวจเดินเท้า และผ่านงานผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาทุกตำแหน่ง 

“นั่นอาจทำให้ผมมีความกล้า และเก๋ามากกว่าใคร”

แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้จอห์นถูกหล่อหลอมเป็นนักสืบมากฝีมือนั้น เกิดจากตอนเป็นตำรวจใหม่ๆ เขาเคยถูกผู้ต้องหาเด็กเอาเหล็กฟาดที่หัว นั่นส่งผลให้ตาข้างหนึ่งของเขามองเห็นไม่ชัดและเกือบบอด 

สิ่งนี้ทำให้จอห์นเห็นใจเหยื่อ และเข้าใจว่าเมื่อถูกอาชญากรทำร้ายทารุณ มันเจ็บปวดแค่ไหน สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าถึงความทุกข์ของผู้เสียหายมากกว่าตำรวจคนไหนในกรมตำรวจแอลเอ

วิธีการสอบปากคำของจอห์นนั้น เขาไม่ใช้วิธีการซ้อมรีดทรมานผู้ต้องหา เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับอาชญากร เขาจะใช้เวลาเท่าที่มีคุยสอบถาม จะ 10 นาที หรือ 10 ชั่วโมง เขารับมือกับวายร้ายตัวเอ้ได้เสมอ เขามีความอดทนที่มากพอ และในที่สุด ผู้ต้องหาก็จะต้องให้คำตอบในสิ่งที่จอห์นค้นหามาโดยตลอด

มันเลยนำทางไปสู่คำรับสารภาพ ในเวลาต่อมา ซึ่งนำไปสู่การคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ

อย่างไรก็ดี อย่าคิดว่าจอห์นจะเป็นเหมือนตำรวจในทีวี ที่ร่างปราดเปรียว มีเสน่ห์ ตัวจริงเขาอ้วน เคลื่อนไหวและพูดช้า ใส่ฟันทองไว้ที่ปาก ดูไม่มีสง่าราศี แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอก เขาซ่อนความเก่งกาจไว้ภายใน เขาสืบสวนคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชนิดที่ว่าใครก็ต้องซูฮกชายคนนี้

อย่างไรก็ดี มีคดีที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยไขมันได้สำเร็จ

หนึ่งในนั้น คือ คดีปริศนาดอกรักเร่สีดำ (Black Dahlia)

5.

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1947 ตำรวจพบศพหญิงสาวคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างทารุณโหดเหี้ยม ศพเธอถูกนำมาทิ้งไว้ในสภาพเปลือยเปล่า ร่างถูกหั่นเป็น 2 ท่อน ยังไม่นับความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ เพราะก่อนเสียชีวิต คนร้ายได้ยัดของบางอย่างเข้าไปในช่องคลอดของเธออีกด้วย สื่อตั้งฉายาให้เธอจากรูปถ่ายก่อนตายที่ชอบทาลิปสติกสีดำ นำไปสู่การขนานนามผู้ตายว่า ดอกรักเร่สีดำ

จอห์นเข้าร่วมทีมไขคดีนี้ในปี 1948 แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่อาจไขคดีได้ว่าใครคือฆาตกร สำหรับปริศนาดอกรักเร่สีดำนี้ กลายเป็นคดีที่ยังไร้คำตอบและคนยังสนใจกันถึงทุกวันนี้ 

แม้กระทั่งยอดนักสืบอย่าง จิ๊กซอว์ จอห์น ก็ไม่อาจล่าตัวมือสังหารมาได้ ยิ่งเสริมให้คดีนี้มากมนต์ขลังแห่งคำถามที่ไร้คำตอบจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีอีกคดี คือกรณีหญิงชราใจดีถูกคนร้ายก่อเหตุฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จากการถูกกระหน่ำฟาดด้วยเชิงเทียน จอห์นลงไปสืบสวนคดีนี้ และเดินทางไปบ้านผู้เสียชีวิตทุกเดือน เพื่อหวังจะได้พบหลักฐานเพิ่มเติม โดยเขาบอกว่า แม้แต่ยุงกัด ผู้ตายก็ยังไม่คิดจะฆ่ามันเลย

แต่เธอก็ต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแบบนี้ และเขาไม่อาจรู้ได้ว่าฆาตกรคือใคร การไขคดีไม่สำเร็จนั้นเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องประจำที่นักสืบทุกคนจะต้องพบเจอในชีวิต แม้ว่าคุณจะไขคดีจับฆาตกรมากแค่ไหน มันก็จะมีคดีส่วนหนึ่งที่เราปิดไม่ได้

“เมื่อคุณไขคดีไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าใครฆ่า ชีวิตของเหยื่อก็ยังเว้าแหว่ง พวกเขาจะหลอกหลอนเราอย่างไม่ลดละ”

อย่างไรก็ดี แม้จิ๊กซอว์ จอห์น จะมีคดีที่ค้างคา แต่ผลงานของเขาตลอดชีวิต ก็ได้รับการยกย่องอย่างมาก เพื่อนร่วมงานบอกว่า หากเขาไปฆ่าใคร ขออย่างเดียวอย่าให้จอห์นสืบคดี เพราะสุดท้ายเขาต้องจับคุณได้แน่

ด้วยความสามารถแบบนี้ ทำให้จอห์น ได้ทำงานในอาชีพตำรวจ จนถึงอายุ 75 ปี เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กว่า 50 ปี จนในปี 1993 ชายคนนี้จึงได้ฤกษ์เกษียณอายุราชการ เพราะคิดว่าถึงแก่เวลาแล้ว ท่ามกลางการยกย่องของตำรวจรุ่นหลัง กลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงทุกวัน

หลังจากนั้นในปี 1995 ชายคนนี้ก็จากโลกไป แต่จิ๊กซอว์ จอห์น ได้ทิ้งเรื่องราวอันน่ายกย่องแก่โลกใบนี้ และย้ำเตือนว่าตำรวจที่ดีและทุ่มเทนั้นเป็นอย่างไร

ชายผู้มีศักดิ์ศรีอุดมการณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และเชื่อมั่นในความยุติธรรม ตลอดชีวิตการสืบคดี เขาไขคดีได้โดยไม่เคยละเมิดสิทธิผู้ต้องหา ดังที่ตำรวจรุ่นหลังยกย่องว่า

“จอห์น เป็นตำรวจที่หายาก เขาเชื่อในกฎหมาย และทุ่มเทให้กับงาน แต่เขาก็เชื่อว่าผู้ต้องหาก็ต้องได้รับสิทธิด้วย 

“ดังนั้นตลอดชีวิตของจอห์น ไม่เคยมีผู้ต้องหาแม้แต่คนเดียว ที่โดนเขารังแก”

ข้อมูลอ้างอิง

  1. https://www.latimes.com/local/california/la-me-freeway-killer-bonin-execution-19960223-snap-htmlstory.html

  2. https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1993-03-08-me-1646-story.html

  3. https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1995-05-04-mn-62350-story.html

  4. https://apnews.com/article/8ae4a2d28b3c315c30b7837f0cf57d74

Tags: ,