“เชื่อสิ ว่าผมไม่ได้ป่วย บางทีผมก็แค่อยากสนุกเท่านั้น”
1.
เยอรมนีพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบอบจักรพรรดิล่มสลาย นักการเมืองร่วมกันก่อตั้งสาธารณรัฐ เขียนรัฐธรรมนูญที่เมืองไวมาร์ จนนำไปสู่การเรียกประเทศนี้แบบเล่นๆ ว่า ‘สาธารณรัฐไวมาร์’ (Weimar Republic)
ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพย่อยยับ ทรัพยากรขาดแคลน ความพยายามฝ่าแนวรบบุกไปยังฝรั่งเศสล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นั่นทำให้ขุนศึกนายพลทั้งหลาย แอบหลิ่วตาให้กับนักการเมือง ยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อยุติมหาสงครามที่ผลาญชีวิตคนนับล้าน
แต่คนเยอรมันจำนวนหนึ่งช็อก พวกเขาไม่คิดว่ากองทัพที่ยิ่งใหญ่จะย่อยยับ และลงนามสงบศึก นำไปสู่การเจรจาในสนธิสัญญาแวร์ซาย ที่มีข้อเรียกร้องบีบคั้นเยอรมนีอย่างถึงที่สุด
และแล้วข้อมูลเท็จก็ปลิวว่อนในสังคม พวกเราไม่ได้แพ้ ทหารไม่ได้พ่ายศึก แต่เป็นเพราะไอ้พวกนักการเมืองนี่แหละ ที่ปลิ้นปล้อน อาศัยช่องโหว่ นำประเทศยอมแพ้ต่างหาก
สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ตำนานการลอบแทงข้างหลัง’ มันแพร่ระบาดในกลุ่มฝ่ายขวาจัด แม้เยอรมนีจะก่อกำเนิดระบอบประชาธิปไตยแห่งสาธารณรัฐ ตามที่กฎหมายสูงสุดของประเทศบอกไว้
แต่ฝ่ายขวาจัด และชนชั้นนำระดับสูง ไม่เคยศรัทธาในระบอบนี้ พวกเขาเชื่อมั่นการฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิ ชิงชังระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ไม่ให้ค่าประธานาธิบดี ประมุขของรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง
ความพยายามบั่นทอนเกิดขึ้นไปทีละนิด ทีละหน่อย สุดท้ายฝันของพวกเขาเป็นจริง ไวมาร์ถูกกดขี่จากประเทศใกล้เคียง ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามด้วยราคาสูงลิ่ว สูญเสียดินแดน เศรษฐกิจล้มเหลว ผู้คนสิ้นหวัง
ในความตกต่ำของชาติ เกิดการก่อกำเนิดของพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ที่หยิบยืมแนวคิดคลั่งเชื้อชาติ ที่ปรากฏในสังคมเยอรมนีมายาวนาน
ฝ่ายขวาคลั่งสร้างความเกลียดชัง ด้วยชุดข้อมูล นักการเมืองคือความอัปยศ ทำให้ชาติตกต่ำ ระบอบเศรษฐกิจถูกยึดครองโดยคนยิว เชื้อชาติที่ถูกเปรียบเหมือนปลิง คอยดูดเลือดคนเยอรมัน
แนวคิดเหล่านี้รวมตัว ถูกผลักดัน ก่อกำเนิดเป็นพรรคนาซี สุดท้ายระบอบประชาธิปไตยถูกทำลาย ล่มสลาย ด้วยฝีมืออันโหดเหี้ยมของพวกเขา นำโดยชายที่ชื่อว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
ที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์อื้อฉาว ที่นำพาเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนนับล้านสูญสิ้นชีวิต คนยิวโดนกวาดล้างอย่างเลวร้าย
ช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนนี้ ถือเป็นฝันร้ายของคนเยอรมันอย่างแท้จริง ก่อนที่มันจะเป็นหายนะของทั้งโลกในเวลาต่อมา
ระหว่างทางแห่งความเจ็บปวด สาธารณรัฐไวมาร์ต้องเผชิญกับปีศาจที่หลอกหลอน โหดเหี้ยม ก่อนพรรคนาซีเถลิงอำนาจ มันคือฆาตกรต่อเนื่อง ที่อาศัยความวายป่วงของประเทศ ใช้ช่องโหว่นี้ไล่ฆ่าคนอย่างเมามันส์ เป็นผลสะเทือนจากวิกฤตที่ไวมาร์ประสบพบเจอ
ก่อนการมาถึงของพรรคนาซี เกิดฝันร้ายสุดหลอนครองความสยองขวัญในไวมาร์ โดยพฤติกรรมของมนุษย์คนนี้
ฟริตซ์ ฮาร์มันน์ (Fritz Haarmann) ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด เจ้าของฉายาสุดสะพรึง
แวมไพร์แห่งเมืองฮันโนเวอร์
2.
10 ปีก่อนที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะเกิดในประเทศออสเตรีย วันที่ 25 ตุลาคม 1879 ทารกฟริตซ์ ฮาร์มันน์ ถือกำเนิดขึ้น เขาเป็นลูกคนเล็กจากพี่น้อง 6 คน ในครอบครัวยากจน ที่เมืองฮันโนเวอร์ (Hanover)
วัยเด็ก ฮาร์มันน์ชอบเล่นตุ๊กตากับน้องผู้หญิง และหลีกเลี่ยงที่จะพบปะกับเด็กผู้ชาย ในยุคดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ พ่อของฟริตซ์จึงส่งลูกชายเข้าโรงเรียนทหาร
เยอรมนียุคนั้นสืบทอดธรรมเนียมจากอาณาจักรปรัสเซียสุดยิ่งใหญ่ กองทัพแทรกซึมไปทุกอณูของสังคม ผู้ชายต้องเรียนทหาร ขุนศึกอยู่ในทุกระนาบของชนชั้นนำ ขณะที่ทหารประทวนทำงานใช้แรงงาน คุ้นเคยกันในฐานะชนชั้นล่าง
นี่คือกองทัพที่มีประเทศ ไม่ใช่ประเทศที่มีกองทัพ
ฟริตซ์สืบทอดมรดกของชายชาวเยอรมัน ประเทศที่เพิ่งถือกำเนิดมาใหม่ และกำลังฝันถึงมหาอำนาจของโลก อย่างไรก็ดีแม้เด็กคนนี้จะมีความสุขกับชีวิตทหาร และกำลังไปได้ดี
แต่เพียงไม่กี่เดือน เขาก็ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู นั่นทำให้เส้นทางวิชาชีพทหารจบลงอย่างอดสู เมื่อโดนให้ออกจากโรงเรียนทหาร เขาไปทำงานโรงงานซิการ์ร่วมกับพ่อ
ที่นี่ฟริตซ์เริ่มก่อเหตุอาชญากรรมเป็นครั้งแรก โดยการล่อลวงเด็กชายไปล่วงละเมิดทางเพศ ครั้งนี้ทำให้เขาโดนจับ แต่ถูกตัดสินใจว่าป่วยทางจิต จึงถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้า แต่หนุ่มน้อยอยู่ที่นั่นได้เพียง 6 เดือน ก็หนีออกมา แล้วข้ามไปหลบที่สวิตเซอร์แลนด์
จากนั้นฟริตซ์แต่งงานกับหญิงสาว เมื่อเธอตั้งท้อง เขาก็ทิ้งภรรยา แล้วหวนสู่เส้นทางกองทัพ โดยกลับมาเยอรมนีในปี 1900 ฉลองศตวรรษใหม่ ชายคนนี้ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ประเทศชาติต้องการกำลังพล ไม่สนใจคดีเล็กๆ น้อย แต่เพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย จึงต้องพักรักษาตัวโรงพยาบาลอยู่ตลอดการฝึก กองทัพจึงเห็นว่าเขาไม่เหมาะสมจะเป็นนักรบ จึงปลดออกมา
ฟริตซ์กลายเป็นชายอ่อนแอคนหนึ่งในประเทศที่มีความเชื่อว่า การเป็นทหารคือสิ่งสำคัญของเพศชาย ตอนนี้เขาไม่แตกต่างจากคนป่วย ที่ไม่คู่ควรในการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ และเพราะพฤติกรรมดูตุ้งติ้ง ทำให้พ่อพยายามยัดเขาเข้าไปอยู่โรงพยาบาลบ้า แต่ชายหนุ่มดื้อรั้น
และเลือกหนทางเป็นอาชญากร ทั้งย่องเบา หลอกลวงคนอื่น จนสุดท้ายโดนจับติดคุก
ก่อนที่มหาสงครามโลกครั้งที่ 1 จะระเบิดขึ้น เพราะความตึงเครียดระหว่างประเทศ เยอรมันต้องการขยายอิทธิพล ซึ่งจะทำได้พวกเขาต้องการเปลี่ยนระเบียบโลกเดิม ที่ถูกขีดบังคับไว้โดยอังกฤษ ฝรั่งเศส เหล่านายพลต่างมั่นใจว่ากองทัพตัวเองจะชนะอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วในเวลา 2-3 เดือน
แต่พวกเขาคาดการณ์ผิด สุดท้ายจึงนำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อหลายปี สูญชีวิตมนุษย์มากมาย
ช่วงเวลานั้น ฮิตเลอร์ หนุ่มออสเตรีย รักชาติเยอรมนีอย่างสุดขีด จึงไปสมัครทหาร จนได้รับเหรียญกล้าหาญ บาดเจ็บจากสงคราม แต่รอดตาย
ส่วนฟริตซ์ เขาถูกจับติดคุก 5 ปี ทำให้รอดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปได้อย่างปลอดภัย
แต่ ณ สถานที่แห่งนี้ เขาได้พบกับคู่ขาวัย 24 ปี โสเภณีหนุ่ม ทั้งสองก่อกำเนิดความรักขึ้นมา ในโลกหลังกำแพงสูง ทั้งสองจะร่วมกันก่อเหตุสะเทือนขวัญประเทศ หลังได้รับอิสรภาพ
นั่นก็คือการฆ่าคน
3.
ในปี 1918 จักรวรรดิเยอรมันล่มสลาย ฟริตซ์ถูกปล่อยตัวออกมา และเริ่มทำงาน ในยุคยากเข็ญ ลำบาก เศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อพุ่งสูง ผู้คนสิ้นหวัง ชายคนนี้ร่วมค้าของเถื่อน บังหน้าด้วยการขายเนื้อ ซึ่งทำให้เขามีรายได้มากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ประวัติอาชญากรของเขาถูกลบล้าง สาธารณรัฐไวมาร์ ให้โอกาสชายคนนี้ในการสร้างตัว ท่ามกลางความทุกข์ตรมของคนทั้งประเทศ
ในที่สุดฟริตซ์ก็ใช้โอกาสไวมาร์ เยอรมนียุคใหม่ สร้างฐานะตัวเอง เป็นตำนานฆาตกรต่อเนื่องจนได้
ที่แม่น้ำแห่งหนึ่งในเมืองฮันโนเวอร์ ตำรวจรับแจ้งพบกะโหลกคนโผล่ขึ้นมา ชาวบ้านตื่นกลัว แต่เจ้าหน้าที่ยังคิดว่า อาจจะเป็นพวกนักศึกษาแพทย์แกล้งเอากะโหลกที่ใช้เรียนมาทิ้งแบบสนุกๆ
อย่างไรก็ดี ต่อมากะโหลกและชิ้นส่วนกระดูกคนกลับโผล่มามากขึ้นกว่า 500 ชิ้น ณ แม่น้ำสายนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการแกล้งกันของนักศึกษาอีกแล้ว แต่มีฆาตกรสุดโหดซ่อนตัวอยู่ในเมืองฮันโนเวอร์อยู่แน่นอน
ทุกคนหวาดผวา ตำรวจเร่งไล่ล่า แต่การฆ่าไม่ยอมหยุด นั่นทำให้สังคมสยองและตกตะลึง ผู้คนต่างเรียกขานฆาตกรคนนี้ว่า ‘ปีศาจแห่งฮันโนเวอร์’ และฝันร้ายนี้ได้เกาะกุมหัวใจของคนทั้งประเทศในเวลาต่อมา
4.
เมื่อฟริตซ์ออกจากคุก เขาใช้ชีวิตได้อย่างร่ำรวย มีฐานะ ท่ามกลางคนอดอยากทั่วทั้งชาติ ชายคนนี้นิสัยดี ไว้หนวดกระจุ๋มกระจิ๋ม เสียงพูดเหมือนผู้หญิงแก่ แม้หลายคนจะมองว่าเขามีพฤติกรรมเพี้ยนๆ แต่ฟริตซ์เป็นที่นับหน้าถือตาจากคนในชุมชน เพราะเขาหาสินค้าหรูดีให้กับคนเยอรมันได้ จากการลอบนำเข้าของเถื่อน จึงมีรายได้งาม
ในเวลานั้น ตำรวจและทางการหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์อย่างมาก สาธารณรัฐไวมาร์ที่น่าจะดูงอกงาม และผลักดันประคับประคองระบอบประชาธิปไตยไปให้ได้ แต่ดูเหมือนการเมืองจะเป็นเวทีสุดโหด
การลอบฆ่านักการเมืองเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะพวกซ้ายจัด และพวกที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยจะถูกลอบสังหารบ่อยมาก หลายครั้งเกิดจากพวกทหารเก่า ที่ถูกปลดแล้วมารวมตัวก่อตั้งเป็นกองกำลังฝ่ายขวาคลั่ง และหลายคราเกิดจากเจ้าหน้าที่เอง
ข้อมูลทั้งหมดที่นำไปสู่การฆ่านี้เกิดจากสายข่าวในพื้นที่ และตำรวจรู้ดีว่าฟริตซ์รู้จักพวกขนของเถื่อน พวกเขาจึงมอบหมายให้ชายคนนี้เป็นสายข่าวคอยส่งข้อมูลว่า ใครเป็นพวกคอมมิวนิสต์ พวกแดงกันบ้าง
หน้าที่ลับๆ นี้เองทำให้ตำรวจเพิกเฉยข้อเรียกร้องจากชาวบ้านบางส่วนว่า เขามีพฤติกรรมชอบล่อลวงเด็กหนุ่มผู้ชายไปที่ห้อง บางคนก็หายสาบสูญไป
สายข่าวรายนี้อยู่กับโสเภณีชาย ในยุคที่การรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่สังคมยุคนั้นก็พร้อมหลิ่วตา ไม่ได้กำจัดกวาดล้าง แต่สำหรับพวกฝ่ายขวา พวกเขาชิงชังพวกรักร่วมเพศมาก แต่ไม่มีโอกาสจะจัดการได้อย่างถูกกฎหมาย เพราะพวกเขาไร้อำนาจ
นี่คือสิ่งหนึ่งที่พวกนาซี หมายมั่นปั้นมือ ถ้ามีอำนาจรัฐเมื่อไร พวกเขาจะจัดการไอ้พวกนี้เอง
5.
เดือนกันยายน 1918 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี หนีออกจากบ้าน แล้วหายตัวไป ทางพ่อของเขาได้ออกตามหา จนได้ข้อมูลว่าลูกสนิทกับฟริตซ์ จึงแจ้งตำรวจให้ไปสอบสวน
แต่เพราะว่าอีกฝ่ายคือสายข่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ลังเลจะจัดการ เพราะไม่อยากทำลายคนที่ให้ข้อมูลลับในการจัดการพวกคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อพ่อของเด็ก อ้อนวอน และขอร้องให้ตำรวจทำหน้าที่ตัวเอง เจ้าหน้าที่จึงบุกไปห้องพักของฟริตซ์ แล้วพบเขาอยู่กับเด็กหนุ่มอีกราย ที่อายุเพียง 13 ปี
ตำรวจตรวจค้นของในห้องอย่างขอไปที ก่อนจะแจ้งว่าไม่พบร่องรอยอะไรที่เกี่ยวข้องกับเด็กหายแม้แต่น้อย
จึงเดินทางกลับไป
หลายปีต่อมา ฟริตซ์จะสารภาพว่า หากตำรวจตรวจดูให้ละเอียด พวกเขาจะพบหัวของเด็กหนุ่มที่หายตัวไป วางไว้ในเตาอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่เอะใจ ไม่สงสัย ไม่เปิดดู หากพวกเขาละเอียด บางทีตำนานฆาตกรต่อเนื่องคงจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว และคงจะไม่มีเหยื่อเป็นจำนวนมากแบบนี้
ปีศาจตัวนี้ฆ่าคนอย่างสนุกมือ กินเวลาถึงปี 1924 สร้างความผวาให้คนทั้งเมือง เป็นข่าวใหญ่ระดับชาติ ทางเบอร์ลินเมืองหลวงจึงส่งนักสืบฝีมือดี 2 ราย มาสอบสวน
นักสืบที่ถูกส่งมาได้เบาะแสว่า ตัวฟริตซ์มีประวัติอาชญากรรมทางเพศ และมีคนเล่าลือว่า เขาชอบออกไปหาเด็กหนุ่มตามสถานีรถไฟ จูงใจว่าจะให้อาหาร ให้ที่พัก ตอนนั้นคนตกงานมีหลายล้าน ชีวิตลำบาก เด็กๆ หลายคนต้องไร้บ้าน หนีออกมาเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า
บางคนไปได้ดี แต่บางคนกลายเป็นเหยื่อของนักฆ่ารายนี้
เจ้าหน้าที่ใช้เวลารวบรวมหลักฐาน จนเมื่อมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทะเลาะโวยวายหาว่าฟริตซ์จะล่อลวงเขาไปที่พัก เกิดการทำร้ายร่างกายเด็กคนนี้ จนฟริตซ์ติดคุก
ข้อมูลตรงนี้ทำให้นักสืบจากเบอร์ลินลองค้นห้องพักเขาดู ที่นั่นเจ้าหน้าที่ได้พบว่า ผนังและกำแพงห้องเปื้อนคราบเลือด
ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังพบชิ้นส่วนเสื้อผ้านับร้อย นั่นทำให้เจ้าหน้าที่สอบปากคำฟริตซ์ทันที
ในที่สุด ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ก็สารภาพด้วยความยินดี ว่าตัวเองคือคนที่ฆ่าและเอากระโหลก ชิ้นส่วนร่างคนโยนทิ้งแม่น้ำ หลายคราก็เอาไปทำเป็นไส้กรอก ขายให้กับลูกค้า ในราคาที่ถูกมาก ช่างเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและสยดสยองอย่างมาก
เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่า เขาฆ่าไปกี่ราย ชายคนนี้ตอบว่า “30 หรือ 40 ศพมั้ง ผมไม่รู้สิ บางทีก็อาจจะ 50 หรือ 70 ราย”
นี่จึงทำให้ฟริตซ์กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดในยุคสาธารณรัฐไวมาร์ทันที
วิธีการฆ่าของเขา คือการลวงเด็กมาที่ห้อง ก่อนจะอาศัยจังหวะเผลอ กัดคอเหยื่อ นั่นทำให้เขาได้ฉายาว่าผีดูดเลือดแห่งฮันโนเวอร์ด้วย จากนั้นเขาจะหั่นศพเพื่อทำลายร่าง บิดพลิ้วหลักฐาน โดยมีคู่ขาหนุ่มของเขาร่วมก่อเหตุด้วย
ศาลตัดสินประหารชีวิตฟริตซ์ทันที ด้วยการใช้กิโยตินบั่นคอ ส่วนคู่ขาต้องโทษติดคุกอย่างยาวนาน เพราะถือว่ารู้เห็นเป็นใจในการก่อเหตุด้วย ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมา และเสียชีวิตในปี 1975 คาดกันว่า ฟริตซ์น่าจะสังหารเหยื่อผู้ชายไปหลายร้อยราย แต่ตำรวจมีหลักฐานเอาผิดเพียง 27 รายเท่านั้น
สำหรับข่าวการตัดสินนี้ถูกกลบไป ไม่มีคนสนใจ เพราะตอนนั้นกำลังจะมีการเลือกตั้งในปี 1925 สังคมใจจดใจจ่อกับข่าวการเมือง ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายที่สาธารณรัฐไวมาร์จะเดินตามระบอบรัฐธรรมนูญ เพราะหลังจากนั้นชนชั้นนำและฝ่ายขวาบั่นทอนทำลายประเทศอย่างย่อยยับ ปูทางสู่การขึ้นสู่อำนาจของเผด็จการนาซี
ดังนั้น ปี 1925 จึงถือเป็นปีแห่งการเลือกตั้งประวัติศาสตร์ และเป็นการอำลาระบอบประชาธิปไตยในทันที
ช่างเป็นความประจวบเหมาะ ที่ฝันร้ายหนึ่งจบไป แล้วถูกจุดขึ้นใหม่ด้วยฝันร้ายอีกชุดหนึ่ง
6.
หัวของนักฆ่ารายนี้หลังถูกตัด ก็ถูกนำไปเก็บไว้เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาความวิปริตในตัวฟริตซ์ ข่าวคราวความอื้อฉาวของเขาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ มีการเขียนหนังสือมากมายถึงชายคนนี้
ขณะที่พฤติกรรมรักร่วมเพศที่สื่อนำเสนอทำให้กลุ่มขวาจัด โดยเฉพาะพรรคนาซี ซึ่งเข้าสู่การเลือกตั้งในปีที่ฟริตซ์ขึ้นศาล ใช้เรื่องราวของปีศาจตนนี้ สัญญาลวงหลอกในหลายปีต่อมาว่า เมื่อได้อำนาจรัฐและครองตนเป็นผู้เผด็จการเมื่อใด นอกจากปิดฉากสาธารณรัฐไวมาร์เข้าสู่รัฐนาซีเบ็ดเสร็จแล้ว
ฮิตเลอร์จะกวางล้างผู้รักร่วมเพศในเยอรมนีโดยสิ้นซากโหดเหี้ยม ซึ่งกลายเป็นความจริงสุดสะเทือนขวัญ ก่อนที่พวกเขาจะก่อสงครามโลกในเวลาต่อมา
สุดท้ายนี้ไม่มีใครรู้ว่าฟริตซ์ลงมือฆ่าสังหารเหยื่อเด็กชายไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่เขาเคยให้การไว้อย่างเหี้ยมเกรียมว่า ผมเกลียดที่ต้องหั่นศพนะ แต่ช่วยไม่ได้ ความปรารถนาในการฆ่ามันทรงพลังกว่าความกลัว
“ผมเสียใจในเรื่องทั้งหมดนะ แต่ไม่กลัวที่จะตาย”
“ดังนั้น รีบตัดหัวเถอะ ผมจะได้ไปสู่สุคติเสียที”
อ้างอิง
https://allthatsinteresting.com/fritz-haarmann
https://murderpedia.org/male.H/h/haarmann.htm
https://criminalminds.fandom.com/wiki/Fritz_Haarmann
Tags: Serial Killer, เยอรมนี, นาซี, ฆาตกรต่อเนื่อง, Haunted History