1.
“แทนที่จะแบ่งเงินกัน 4-5 แสนดอลลาร์ฯ แค่เอากระสุนยัดหัว ก็จบ”
เรื่องราวต่อจากนี้คงจะไม่เกิดขึ้น หาก หลุยส์ เวอร์เนอร์ (Louis Werner) หัวหน้างานดูแลคาร์โกของสายการบินลุฟท์ฮันซา นครนิวยอร์ก ไม่ติดหนี้พนันกว่า 2 หมื่นดอลลาร์ฯ
แต่เมื่อแก้ไขไม่ได้ และมีเส้นตายให้หลุยส์ต้องจ่ายหนี้คืน ทำให้เขาได้ไอเดียประหลาด คือไปติดต่อเจ้าของร้านขายวิกผมแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นคนตามเก็บหนี้พนัน เสนอให้มีการรวมตัวไปปล้นคาร์โกของสายการบินที่หลุยส์ทำงาน ซึ่งภายในนั้นมักจะมีการขนทรัพย์สินมีค่าจากเยอรมันมาเก็บไว้ชั่วคราวที่สนามบินเจเอฟเค นครนิวยอร์ก
เมื่อเจ้าของวิกรู้ถึงไอเดียนี้ เขาก็ยกเลิกหนี้ให้หลุยส์ทันที พร้อมส่งต่อไอเดียไปยังเจ้าพ่อมาเฟียตระกูลหนึ่ง พลันที่เหล่าวายร้ายในคราบชายใส่สูทรู้แผนการณ์ พวกเขาก็ตอบตกลง หลังจากนั้นปฏิบัติการปล้นแสนสะท้านจึงเกิดขึ้น
วันที่ 11 ธันวาคม 1978 ชายใส่หน้ากาก 6 รายพร้อมอาวุธครบมือ ได้บุกเข้าไปในคาร์โกของสายการบินลุฟท์ฮันซา และใช้เวลาเพียง 64 นาที จี้จับพนักงานที่เฝ้าดูแลทรัพย์สินดังกล่าว หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายได้กวาดของมีค่าออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
เอาเข้าจริงกลุ่ม 6 ชายฉกรรจ์ ไม่ได้ลั่นปืนแม้แต่นัดเดียว เพียงแค่ขนของขึ้นรถบรรทุก แล้วก็ขับออกไป
พลันที่สื่อทราบข่าว มันก็กลายเป็นข่าวใหญ่สะท้านโลก เพราะการก่อเหตุครั้งนี้กวาดทรัพย์ไปถึง 5.8 ล้านดอลลาร์ฯ มีทั้งเงินสดและอัญมณีล้ำค่า กลายเป็นการปล้นที่มีทรัพย์สินมากสุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมของอเมริกา ณ เวลานั้นทันที
หากเทียบมูลค่าของที่ถูกปล้นไปกับค่าเงินในปัจจุบัน จะมีมูลค่าสูงถึง 25 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 879 ล้านบาท)
ตำรวจพยายามตามหา แต่สุดท้ายพวกเขาจับมือใครดมไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ดี อย่าคิดว่าเหล่าวายร้ายจะได้ลอยนวลใช้เงินอย่างสุขสบาย
เพราะดังคำโบราณที่ว่า โจรจะสามัคคีกันตอนปล้น แต่จะฆ่ากันเองหลังก่อเหตุเสร็จ เรื่องราวต่อจากนี้ก็คือ แม้ทางการจะจับใครไม่ได้ แต่มีซากศพ คนถูกยิงตายและถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเป็นจำนวนหลายราย ชนิดที่ว่าไม่ต้องหาของกลางที่หายไป แต่ตำรวจต้องไปตามสืบคดีฆาตกรรมที่โยงไปถึงการปล้นครั้งอื้อฉาวแทน
นี่คือเรื่องราวที่สะท้อนสันดานมาเฟียและอาชญากรเป็นอย่างดี เมื่อความกลัวถึงขีดสุด เมื่อความระแวงกระซิบบอกว่า พวกเขากำลังจะโดนตำรวจไล่ล่า
สิ่งที่เหล่าร้ายทำเป็นอันดับแรก แทนที่จะหลบหนีเข้ากลีบเมฆ พวกเขากลับเลือกฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้ตำรวจตามจับได้
และผลของมันก็สำเร็จเป็นอย่างดี
ดังที่เรียนไปแล้ว ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นเลย หากหลุยส์ไม่ติดหนี้การพนัน
2.
แท้ที่จริงแล้ว เมื่อเหล่ามาเฟียได้ฟังไอเดียนี้ พวกเขาก็ไม่อยากทำเท่าไร เพราะจะทำให้ตำรวจและสังคมหันมาสนใจพวกเขา แต่เมื่อหัวหน้าใหญ่สูญเสียโคเคนที่ถูกทางการยึดไป ลูกน้องจึงได้รับไฟเขียว ให้ลุยตามแผนที่หลุยส์เสนอทันที
เดิมนั้นจะต้องไม่มีใครรู้เห็นเบื้องลึกของการปล้นดังกล่าว และไม่ทราบเกี่ยวกับการฆ่าปิดปาก แต่กลับมีลูกน้องในครอบครัวมาเฟียนิวยอร์ก ผันตัวเองมามอบตัวและให้การกับตำรวจ จนต้องย้ายที่อยู่เพื่อปกป้องพยาน ต่อมาเขาได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวชีวิตด้านมืดของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในเรื่องราวแห่งความโหดเหี้ยมนี้ ดันมีเรื่องการปล้นที่คาร์โกลุฟท์ฮันซาพ่วงมาด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง โลกจึงได้รับรู้ถึงความอื้อฉาวของเรื่องราวดังกล่าว
เรื่องราวนี้ถูกนำไปเล่าในภาพยนตร์สุดคลาสสิกเรื่อง Goodfellas หรือชื่อไทย คนดีเหยียบฟ้า ด้วยจังหวะจะโคนของหนังช่างดูดุเดือดเลือดพล่านยิ่งนัก
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันกลับรุนแรงยิ่งกว่า
หลุยส์ คนริเริ่มแผนเหี้ยมนี้ แจ้งกลุ่มมาเฟียว่า จะมีการขนเงินสดมาไว้ที่คาร์โก ในวันที่ 9 ธันวาคม และทรัพย์สินมีค่านี้จะอยู่ที่นั่นไปตลอดช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะถูกส่งย้ายไปยังธนาคารโดยรถหุ้มเกราะ ดังนั้นถ้าอยากปล้น ก็ต้องทำก่อนวันที่ 12 ธันวาคม
เหล่าอาชญากรรับทราบ และวางแผนจัดแจงหาทีมงานในทันที เมื่อถึงเวลาตี 3 ของวันที่ 11 ธันวาคม กลุ่มชายฉกรรจ์ 6 คนขับรถตู้สีดำไปยังคาร์โกดังกล่าว พวกเขาใช้เครื่องตัดกลอนหั่นกุญแจออก จากนั้นหนึ่งในทีมงานได้เข้าไปในโกดังเก็บของมีค่า แล้วตรงไปเอาปืนจี้หัวหน้ายามกะดึก ให้ปิดสัญญาณเตือนภัย พร้อมเปิดประตูนิรภัยล็อก 2 ชั้น ซึ่งป้องกันการปล้นได้แน่
ยกเว้นว่าจะมีพรายกระซิบบอกวิธีการเปิดให้
หลังจากนั้นทีมปล้นก็กวาดของอย่างเพลิดเพลิน แล้วขนออกไปตอนเวลา 04.21 นาฬิกา พนักงานที่มีหน้าที่เฝ้าของ ต่างถูกสั่งให้เงียบปิดปาก จนกว่าจะถึงเวลาตี 4 ครึ่ง จึงค่อยโทรแจ้งตำรวจ
กลุ่มชายฉกรรจ์ทยอยถ่ายของในรถบรรทุก 2 คัน ซึ่งมีสมาชิกมาเฟียเป็นเจ้าของ โดยเขาได้เช่าโกดังเก็บทรัพย์สินที่ก่อเหตุไว้ ซึ่งเดิมนั้นหน้าที่ของโกดังแห่งนี้ คือที่เก็บของที่กลุ่มมาเฟียไปดักปล้นรถบรรทุกขนมาอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุเลย
หลังขนทรัพย์สินมีค่าลงรถเสร็จ ก็ได้มีคำสั่งให้เอารถตู้ไปทำลายที่โรงเก็บขยะ ย่านชานเมือง ซึ่งมีพวกมาเฟียเป็นเจ้าของ
แผนการดำเนินไปเกือบสมบูรณ์
ยกเว้นเสียอย่างเดียว คือคนที่ต้องเอารถตู้ไปทำลาย ดันไม่ทำตามแผน
3.
2 วันหลังการปล้น ตำรวจได้ข้อมูลจากพนักงานที่เฝ้าโกดัง พวกเขาให้รูปพรรณรถตู้สีดำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไปพบมันจอดนิ่งสงบที่ริมทางเท้า ใกล้กับหัวดับเพลิง ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนที่เหล่ามาเฟียขีดเส้นไว้แม้แต่น้อย
สาเหตุที่ไม่ได้เอารถไปทำลายที่โรงเก็บขยะ เพราะรถใหญ่เกินกว่าจะเข้าเครื่องบดขยะได้ เลยจอดทิ้งไว้เฉยๆ เสียอย่างงั้น
พลันที่เหล่ามาเฟียทราบเรื่อง พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่ได้ประมาท แต่ก็ไม่ได้หนีทันทีภายใน 48 ชั่วโมงหลังการก่อเหตุสะท้านฟ้า เหล่านักฆ่าได้รับคำสั่งง่ายๆ ให้ไปสังหารคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
ศพแรกเกิดขึ้นในเวลาไม่นานหลังตำรวจพบรถตู้ หากนักฆ่าทำอะไรช้าไปเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะปะติดต่อได้ว่า จุดที่รถไปจอดนั้นมีอาชญากรรายใดคุมพื้นที่อยู่ แต่เหล่าวายร้ายก็นำหน้าไป 1 ขั้น พวกเขาเดินหมากเร็ว รู้ว่าใครคุมพื้นที่ก่อน จึงส่งทีมเก็บกวาดเชือดอาชญากรคนนี้ให้จากโลกไปเสีย
เหล่านักฆ่ามากประสบการณ์บุกยิงขาใหญ่ที่คุมพื้นที่จุดซึ่งรถตู้ไปจอด โดยการลั่นไกสังหารขณะอีกฝ่ายกำลังนั่งกินอาหารมื้อเย็น
กระสุนซัดกระหน่ำ โดยที่คนตายยังมีไก่คาปากอยู่เลย
การฆาตกรรมครั้งนี้ ทำเอาทีมปล้นทั้งหมดปิดปากเงียบ
อย่างไรก็ดี ดังที่ว่าสามัคคีปล้น แต่หลังจากนั้นก็ค่อยทรยศ สัจจะในหมู่โจรไม่มีจริง กลุ่มมาเฟียที่จัดแจงนำทีมก่อเหตุ เริ่มไม่พอใจในส่วนแบ่งที่ได้รับไม่เท่ากัน ทำให้มีการกระซิบกระซาบต่อรอง สร้างความไม่พอใจกันอยู่มาก
เริ่มที่เจ้าของร้านวิกผม ซึ่งคาบไอเดียของหลุยส์ไปให้กลุ่มมาเฟีย เริ่มอยากได้ส่วนแบ่ง เขาเรียกร้องมากยิ่งขึ้น เข้าไปคุยกับบุรุษสวมสูทใจทมิฬทั้งหลาย ขู่ว่าถ้าไม่ให้ จะบอกตำรวจ
ในที่สุดการอ้อนวอนก็สำเร็จ เหล่าอาชญากรจึงจัดให้เจ้าของวิก แต่ไม่ใช่จัดเงินให้ กลับเป็นการถวายความตายให้อย่างโหดเหี้ยมต่างหาก
1 เดือนหลังการปล้น เจ้าของร้านวิกโดนฆาตกรรม ศพถูกชำแหละ จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าร่างของเขาอยู่ที่ไหนในโลกกลมๆ ใบนี้
2 เดือนถัดจากการก่อเหตุ หลุยส์ก็โดนตำรวจรวบ เพราะมีการตรวจสอบประวัติคนในสายการบิน แล้วเจอว่าเขาติดหนี้พนัน คาดว่าน่าจะมีส่วนในการส่งข้อมูลลับแก่ทีมปล้น แน่นอนว่าหลุยส์ไม่เคยให้การซัดทอด ไม่เคยยอมรับในคดีนี้ แต่ตำรวจก็ส่งเขาเข้าคุกไปได้ เพราะมีหลักฐานชี้ชัดว่า เขาเอี่ยวกับการก่อเหตุสุดตะลึงโลกนี้
เมื่อข่าวแพร่ออกไป เหล่ามาเฟียต่างนั่งกันไม่ติด พวกเขาผวาอย่างหนัก กลัวจะมีตำรวจมาเคาะประตูที่บ้าน แล้วลากพวกเขาใส่กุญแจมือส่งเข้าคุก
ประกาศิตจากเจ้าพ่อจึงถูกเกิดขึ้น
“ฆ่าคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ให้หมด”
เหล่าทีมสังหารรับทราบ ตระกูลมาเฟียแบบอิตาลี มีระบบโครงสร้างที่ชัดเจน ทุกคนมีหน้าที่ จะไต่เต้าเป็นใหญ่ได้ คุณต้องเริ่มจากตำแหน่งมือปืนเสียก่อน
เพื่อจะได้ไต่ชีวิตให้รุ่งเรืองในตระกูลอาชญากร พวกเขารับคำสั่งและจัดการตามที่นายบอก
เป้าหมายต่อมา คือเหล่าผู้มีส่วนในการก่อเหตุ แม้พวกเขาจะปิดปากเงียบ แต่การกระทำกลับแสดงออกอย่างชัดเจน คือเอาเงินส่วนแบ่งไปซื้อของดีราคาแพง อวดร่ำอวดรวยผิดปกติ ทั้งที่ควรจะทำตัวนิ่งๆ ไม่ให้ตำรวจรู้เรื่องหรือผิดสังเกต เพราะแน่นอนว่าหลังการปล้นสะท้านฟ้านี้ ทางการก็มีเป้าและคาดว่าเหล่ามาเฟียน่าจะรู้เห็นเป็นใจ เพราะลักษณะการปล้นที่อื้อฉาวใหญ่โต เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าพ่อในนิวยอร์กจะไม่รู้เห็นด้วย
9 ศพถูกฆ่าตามมา บางรายถูกสังหารแล้วเอาไปศพไปไว้ในรถห้องเย็น บางคนหายไปจากโลกพร้อมกับครอบครัว ขณะที่กลุ่มคนซึ่งทำหน้าที่ฟอกเงินให้กับการปล้นก็โดนฆ่าปิดปากอย่างโหดเหี้ยม แม้จะอยู่ไกลถึงรัฐฟลอริดา ก็ไม่พ้นคมกระสุน แน่นอนว่าลูกน้องที่เอารถตู้ไปจอดริมทางเท้าก็โดนเก็บไปด้วย ฐานทำงานชุ่ย
คนที่รู้เห็นการฆ่าปิดปากคนหนึ่งเล่าถึงวิธีการแสนเหี้ยมนี้ตามสไตล์มาเฟียอิตาลีว่า
คืนหนึ่ง ทีมสังหารเรียกเป้าหมายไปนั่งกินข้าวเย็น กินกุ้งกันเพลินๆ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู โดยลูกน้องทีมฆ่าแจ้งว่าขุดหลุมไว้รอแล้ว จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น เหยื่อถูกยิงทิ้ง ก่อนจะลากร่างไปฝัง สร้างความสะพรึงให้กับคนที่อยู่ในวงข้าวอย่างมาก
พยานคนหนึ่งเผยอย่างหวาดกลัวว่า
“ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่กินกุ้งอีกเลย”
ฟากตำรวจก็ทำงานอย่างหนักหน่วง พวกเขาแกะรอยสืบสวนจนตะครุบโจรที่ก่อเหตุบางคนได้ ทางการพยายามเสนอให้รับสารภาพ แต่เหล่าโจรก็ไม่ยินยอม แม้เจ้าหน้าที่จะเสนอว่าหากให้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าพ่อนิวยอร์ก ก็จะได้กันเป็นพยานและไม่ต้องรับโทษ เพราะทางการมองเป้าสูง พวกเขาเห็นว่าการปล้นสะท้านฟ้าเป็นเรื่องเล็กมาก หากเทียบกับการกวาดล้างเหล่ามาเฟียพวกนี้
แต่สุดท้ายลูกน้องที่ไปปล้นก็ยังมีคุณธรรม กฎแห่งการเงียบที่ใช้กันในอาชญากรเชื้อสายอิตาเลียน เมื่อโดนจับ คุณจะต้องเงียบ ไม่ขายเพื่อน ไม่บอกเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นแก่ตำรวจ
เหล่าโจรกระจอกทำตามกฎดังกล่าว แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นการตอบแทน คือถูกยิงทิ้งอย่างน่าอนาถยิ่งกว่าหมาข้างถนนด้วยซ้ำ
การฆ่าตัดตอน ปิดปากกันเป็นทอดๆ นี้ สร้างความหวาดระแวงให้เหล่ามาเฟียทั้งหลาย ในที่สุดก็ทำให้หนึ่งในสมาชิกแก๊งโผเข้าหาตำรวจ เพื่อเข้าโครงการคุ้มครองพยาน แลกกับการมอบข้อมูลมีค่าเกี่ยวกับมาเฟียนิวยอร์กทั้งหมด
กินเวลาไม่นานการกวาดล้างเจ้าพ่อก็เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ไม่มีใครกล้ากล่าวถึงการปล้นคาร์โกของลุฟท์ฮันซา แม้แต่ประโยคเดียว
4.
เจ้าหน้าที่นำข้อมูลเด็ดจากคนวงในแก๊งอาชญากร กวาดล้างเจ้าพ่อในนิวยอร์ก พวกเขามีความผิดฐานสั่งฆ่าคน ฟอกเงิน ยาเสพติด สารพัดความรุนแรงที่กฎหมายไม่อนุญาต เหล่ามาเฟียนิวยอร์กสูญพันธุ์สิ้น แต่คำถามว่าพวกเขามีเอี่ยวกับการปล้นครั้งนี้หรือไม่นั้น ยังคงเป็นปริศนา
มีเพียงเสียงร่ำลือและหนังสือที่คนวงในเอามาเขียนแฉเท่านั้นที่ชี้ว่า เหล่ามาเฟียนิวยอร์กคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล้น
จวบจนถึงปี 2015 ทางการจึงรวบรวมหลักฐานแล้วชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่คนกลุ่มนี้จะอยู่เบื้องหลังการปล้นสุดสะท้าน แต่ก็ไม่มีใครหาเงินสด อัญมณีล้ำค่าจากการก่อเหตุเจอ จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่หลงเหลือไว้นอกจากการปล้นสุดอื้อฉาวนี้ คือกฎความเงียบที่แม้จะเปิดปากทรยศกันเอง แต่ในหมู่โจรกลับใจที่กลายเป็นพยาน หรือเหล่ามาเฟียที่กลายเป็นนักโทษ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการปล้นครั้งนี้
ทิ้งไว้เพียงตำนานและสัจธรรม ‘ไม่มีสัจจะในหมู่โจร’
หนึ่งในผู้หักหลังมาเฟีย เปิดใจกับนักข่าวหลังเหตุการณ์ปล้นที่จบด้วยการฆ่าตัดตอนผ่านไปกว่า 30 กว่าปี ถึงสาเหตุที่ทำไม เขาถึงต้องออกมาแฉพวกเดียวกันเองว่า
“เพราะมันเริ่มมีคนโดนฆ่าปิดปาก มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง ผมเริ่มตระหนักแล้วว่า
ตัวเองอาจเป็นศพรายต่อไป”
ข้อมูลอ้างอิง
-
https://discover.hubpages.com/politics/The-Lufthansa-Heist-The-American-Mafias-Greatest-Heist
-
https://www.history.com/news/1978-lufthansa-heist-jfk-henry-hill-goodfellas