1.

“เฮ้ บ็อบ ขึ้นรถมาด้วยกันเถอะ” 

“ไม่อะ ผมจะเดินไป”

“ขึ้นมาบนรถสิ ฉันอยากถามแกเรื่องแร็กเก็ตเทนนิสที่แกซื้อมาเมื่อวานนี้หน่อย ฉันอยากได้สักอันไปให้น้องน่ะ”

คำพูดนี้ทำให้ บ็อบบี้ แฟรงก์ (Bobby Franks) เด็กหนุ่มวัย 14 ปี ลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตนาฬิกาชื่อดังแห่งเมืองชิคาโกตัดสินใจขึ้นรถระหว่างเดินกลับบ้าน เพราะผู้ที่มาชวนขึ้นรถก็เป็นญาติห่างๆ ที่ชื่อว่า ริชาร์ด โลบ (Richard Loeb) บ็อบเปิดประตูขึ้นมานั่งหน้า ข้างคนขับอีกคนที่ชื่อว่า นาธาน ลีโอโปลด์ (Nathan Leopold)

“นายรู้จักลีโอโปลด์ไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“โอเค ไม่ต้องกลัวพวกเรานะ เราจะไปส่งแกที่แยกหน้า”

“ผมไม่ได้กลัว”

บ็อบหันไปคุยกับโลบ จนเมื่อรถแล่นไปจอดตรงทางเปลี่ยว ในเสี้ยววินาทีนั้นเองขณะที่บ็อบมองข้างหน้า โลบเอื้อมมือซ้ายรัดคอบ็อบแล้วปิดปากไม่ให้ส่งเสียง ก่อนใช้สิ่วแทงเข้าที่ท้ายทอยจนเลือดพุ่งกระฉูด แต่เด็กหนุ่มวัย 14 ปีไม่จำนน เขาพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด โลบแทงซ้ำเข้าที่หลังศีรษะอีกแผล แต่บ็อบดิ้นสู้ เขาหันตัวมาเผชิญหน้ากับโลบ ญาติผู้พี่ที่ชวนเขาขึ้นรถ แต่โลบแทงสิ่วเข้าที่หน้าผากอีกแผล แต่บ็อบยังไม่ตาย จึงต้องแทงสิ่วเข้าไปที่หน้าผากซ้ำเป็นแผลที่สี่ บ็อบจึงหยุดชะงักแน่นิ่ง

เลือดสาดกระจายทั่วรถ มันเปื้อนกางเกงของลีโอโปลด์ด้วย

โลบกระชากตัวบ็อบมาเบาะหลัง เอาผ้าขี้ริ้วยัดเข้าไปในคอให้ลึกที่สุด เอาเทปพันปิดปาก ในที่สุดเสียงอู้อี้ครวญครางของบ็อบก็พลันเงียบลง

ทั้งสองลากตัวบ็อบไปทิ้งใกล้ทะเลสาบ หวังว่าจะไม่มีใครพบศพ ส่วนรถคันนั้นก็ได้ทำความสะอาดก่อนไปคืนบริษัทรถเช่า

โลบกับลีโอโปลด์มั่นใจมากกว่าพวกเขาได้ก่อ ‘อาชญากรรมสมบูรณ์แบบ’ แล้ว ไม่มีใครจับเขาได้ มันเป็นความตื่นเต้นสุดแสนวิเศษ เป็นการยกระดับหลังทำการลักขโมยและวางเพลิงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สื่อก็ไม่เคยสนใจ การฆาตกรรมบ็อบนี่แหละที่จะทำให้พวกเขาเป็น ‘ยอดมนุษย์’

แต่สองหนุ่มไม่รู้เลยว่าขณะเคลื่อนย้ายศพไปทิ้ง แว่นตาของลีโอโปลด์ดันร่วงจากเสื้อนอกตกอยู่ข้างศพ มันกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตามรอยเบาะแสไปถึงทั้งคู่

การฆาตกรรมบ็อบบี้ แฟรงก์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1924 ทว่ายังคงเป็นเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงกลัวจนถึงทุกวันนี้

 

2.

นาธาน ลีโอโปลด์ เกิดในครอบครัวชาวยิวร่ำรวย เขาเป็นเด็กอัจฉริยะ อายุเพียง 15 ปี ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยชิคาโกได้สำเร็จ แถมยังเป็นนักดูนกสมัครเล่น เขียนบทความวิชาการลงนิตยสารปักษีวิทยาเป็นประจำ ส่วน ริชาร์ด โลบ ก็เกิดในครอบครัวมั่งคั่งและเป็นอัจฉริยะเช่นกัน เขาเรียนจบ ม.ปลาย ตั้งแต่อายุ 14 ปี และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชิคาโกได้ทันที แต่ต่อมาด้วยความที่อายุน้อยและไปเจอเพื่อนปีหนึ่งที่อายุมากกว่า ทำให้เขาเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้ จนต้องย้ายที่เรียนไปมหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ซึ่งโลบเอาแต่เล่นไพ่ อ่านนิยายสืบสวนสอบสวน ติดเหล้า สำมะเลเทเมา แต่ก็เรียนจบแล้วกลับมาชิคาโก ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองของครอบครัว

ทั้งสองอยู่บ้านใกล้กัน แต่ไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไร กระทั่งโลบเรียนมหาวิทยาลัยจบกลับมา ทั้งคู่ต่างมีเสน่ห์ดึงดูดกันและกัน ในยุคสมัยที่การรักร่วมเพศเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคม ทั้งสองกลายเป็นคู่รักกัน และเพราะการเลี้ยงดูในครอบครัวคนรวยที่ห่างเหินว้าเหว่ กดดัน ทำให้สองหนุ่มต้องการระบายความรุนแรงออกมา ทั้งลักทรัพย์ วางเพลิง พวกเขาทำลงไปเพียงเพื่อต้องการความเพลิดเพลินใจเท่านั้น

ลีโอโปลด์และโลบเชื่อว่าตัวเองคืออัจฉริยะ คือยอดมนุษย์เหนือคนทั่วไป ดังนั้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ในสังคมไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ การก่ออาชญากรรมเพื่อความเพลิดเพลินเป็นสิ่งที่รับได้สำหรับยอดมนุษย์ และทำไมเราไม่คิดจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าล่ะ เช่น… การฆ่าคน

ทั้งสองวางแผนที่จะก่ออาชญากรรมสมบูรณ์แบบขึ้นมา มันจะต้องเป็นการฆาตกรรมไร้ที่ติ ไม่มีใครจับได้ พวกเขาถกเถียงกันก่อนตกลงว่าจะลักพาตัวเด็กสักคนไปฆ่าทิ้งแล้วทำทีเรียกค่าไถ่เพื่อเบี่ยงประเด็น ก่อนจะถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 1924 สองหนุ่มได้วางแผนรายละเอียดทุกขั้นตอนในการฆาตกรรม

เงินค่าไถ่ถูกกำหนดที่หนึ่งหมื่นดอลลาร์ฯ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับคนรวยทั้งสอง พวกเขาวางแผนให้พ่อเด็กที่ถูกลักพาตัวโยนกระเป๋าเงินขณะอยู่บนรถไฟ แล้วทั้งสองจะแอบไปรับก่อนหลบหนีไป หลังจากนั้นจะไม่มีใครพบศพเด็ก ไม่มีใครสืบสวนหาตัวฆาตกรได้ ทุกอย่างจะเป็นปริศนา เป็นฆาตกรรมสมบูรณ์แบบที่ยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล

ในวันเกิดเหตุ โลบกับลีโอโปลด์ขับรถตระเวนหาเหยื่ออยู่นานมาก จนกระทั่งพบบ็อบบี้ แฟรงก์ กำลังเดินกลับบ้าน บ็อบเป็นญาติกับโลบ แถมพ่อของบ็อบเป็นคนรวย มีเงินพอจ่ายค่าไถ่ได้แน่ ดังนั้นโลบซึ่งนั่งเบาะหลังจึงเอื้อมมือไปสะกิดลีโอโปลด์ที่ขับรถเช่ามา

จากนั้นทั้งสองก็ก่อเหตุสะเทือนขวัญขึ้นตามแผนที่วางไว้

3.

ในวันที่บ็อบตาย ครอบครัวได้รับโทรศัพท์จากลีโอโปลด์ที่ปลอมเสียงแจ้งว่าได้ลักพาตัวบ็อบ พร้อมเรียกเงินค่าไถ่หนึ่งหมื่นดอลลาร์ฯ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจให้กับครอบครัวของบ็อบอย่างมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยเหลือทันที นี่เป็นครอบครัวเศรษฐีและการลักพาตัวก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นจดหมายลักพาตัวก็มาถึง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ติดต่อกับโจรลักพาตัว ครอบครัวแฟรงก์ก็ได้รับแจ้งข่าวร้าย มีคนพบศพลูกชายเขาแล้ว

โลบและลีโอโปลด์วางแผนอย่างดี พวกเขาเอาศพไปทิ้งที่ท่อระบายน้ำใกล้ทะเลสาบ เพื่อไม่ให้ใครพบเห็น แต่เผอิญมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายหนึ่งเพิ่งเลิกงานกะดึก เขาเดินลัดเลาะไปตามทะเลสาบเพื่อกลับบ้าน แต่เห็นขาคนโผล่ออกมาจากท่อระบายน้ำ ด้วยความแปลกใจจึงเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะพบว่าเป็นศพ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

ตำรวจไปตรวจที่เกิดเหตุ ศพเด็กหนุ่มถูกสิ่วแทงจนเสียชีวิต  มีผ้าขี้ริ้วยัดปาก มีเทปปิดทับอีกชั้น ร่างกายเปลือยเปล่า มีคนเอาน้ำกรดราดไปที่หน้าและอวัยวะเพศเพื่อไม่ให้ระบุตัวผู้ตายได้ แต่จากตำหนิรูปพรรณอื่นๆ ครอบครัวแฟรงก์ยืนยันว่าร่างนี้คือบ็อบบี้แน่นอน

ตำรวจตรวจที่เกิดเหตุโดยรอบ พวกเขาเจอแว่นสายตาตกอยู่ ด้วยลักษณะแว่นตานั้นพิเศษแปลกประหลาดจากแว่นตาอื่นๆ เจ้าหน้าที่นำไปตรวจโดยละเอียด ก่อนพบว่าตัวบานพับแว่นตามีเอกลักษณ์ พวกเขาเจอร้านที่ติดบานพับแว่นตาในเวลาต่อมา ช่างทำแว่นตาแจ้งว่าเขาขายบานพับแบบนี้ให้ลูกค้าในชิคาโก 3 รายเท่านั้น

เมื่อชุดสืบสวนตรวจใบเสร็จแล้วไปสอบสวนลูกค้า 2 คนแรก ไม่พบความเกี่ยวข้องในคดี จึงไปหาลูกค้ารายที่ 3 – นาธาน ลีโอโปลด์ 

ตำรวจเชิญตัวลีโอโปลด์ไปสอบปากคำ ในยุคนั้นตำรวจสามารถคุมตัวสอบผู้ต้องสงสัยได้อย่างยาวนาน ลีโอโปลด์โดนสอบไป 24 ชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สงสัยเขามาก เพราะนี่คือเด็กหนุ่มวัย 19 ปีที่มาจากครอบครัวฐานะดี รวย และเฉลียวฉลาด ลีโอโปลด์บอกว่าเขาชอบไปดูนกแถวนั้นและคงเผลอทำแว่นตาที่ใส่ในเสื้อนอกหล่นหาย

เจ้าหน้าที่สอบปากคำลีโอโปลต์ต่อ ถามว่าวันเกิดเหตุชายหนุ่มอยู่ไหน ลีโอโปลด์บอกว่าขับรถเล่นกับโลบเพื่อนสนิท พร้อมรับสาวๆ ไปด้วย 

เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังกันสอบปากคำลีโอโปลด์ อีกส่วนไปค้นบ้านของเด็กหนุ่ม คราวนี้ตำรวจเจอจดหมายที่เขียนถึงโลบ เนื้อความบรรยายถ้อยคำความสัมพันธ์ที่มากไปกว่าเพื่อน คราวนี้เจ้าหน้าที่จึงต้องไปเชิญตัวโลบมาสอบปากคำด้วยทันที

ทั้งสองให้การตรงกัน ตามที่ได้เตี๊ยมกันมา ในช่วงเวลานั้นทางครอบครัวของทั้งคู่ไม่ได้ตกใจหรือซีเรียสอะไรกับการที่ลูกโดนสอบปากคำ จึงให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ โลบกับลีโอโปลด์ก็เช่นกัน พวกเขาให้ข้อมูลจนเจ้าหน้าที่แทบจะไม่สงสัยอะไรอีก

อย่างไรก็ดียังมีข้อมูลบางอย่างที่ทั้งสองให้การไม่ตรงกัน แต่มันก็อาจเป็นไปได้ เหตุการณ์ผ่านมาหลายวันแล้ว ใครจะไปจำอะไรได้แม่นขนาดนั้น จนเมื่อตำรวจสอบปากคำคนขับรถประจำของลีโอโปลต์ที่ยืนยันว่า วันดังกล่าวลีโอโปลต์จะขับรถไปกับโลบและรับสาวๆ ได้อย่างไร ในเมื่อรถก็จอดในโรงรถตลอดเวลา

ตำรวจพบข้อพิรุธนี้ จึงเรียกตัวสองเด็กหนุ่มอัจฉริยะมาสอบปากคำอีกครั้ง ครั้งนี้เข้มงวดกว่าเดิม ใครคือสาวๆ ที่ทั้งสองไปเที่ยวด้วย ชื่ออะไร อยู่ไหน แล้วในวันเกิดเหตุเอารถใครไปเที่ยว ทำไมไม่ใช้รถของตัวเอง

นี่คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทั้งสอง การกดดันการสอบปากคำอย่างยาวนาน รูปแบบการสอบสวนเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ทำให้โลบเกิดสติแตกรับสารภาพว่ามีส่วนในการก่อเหตุฆ่าบ็อบ พอโลบรับสารภาพ ตำรวจก็ไปเค้นคำให้การของลีโอโปลด์ ไม่นานอีกฝ่ายก็สารภาพ ถึงตรงนี้ทั้งสองโยนกันไปมาว่าอีกฝ่ายเป็นคนใช้สิ่วแทงบ็อบ

คำรับสารภาพปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ กลายเป็นเหตุการณ์ช็อกชิคาโก ทั้งสองถูกควบคุมตัว ทางครอบครัวต่างเสียใจกับการกระทำของลูกชายและได้จ้างทนายฝีมือดีที่ไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิตมาสู้คดี ขณะที่ฝ่ายรัฐและอัยการยืนยันว่าการกระทำสุดโหดนี้เพียงพอจะทำให้ทั้งคู่ต้องโทษประหารชีวิตได้เลย

ตำรวจแกะรอยพบรถที่บ็อบนั่งไปและถูกฆ่า แม้จะมีความพยายามล้างคราบเลือด แต่ก็ไม่หมด พวกเขางมพบเครื่องพิมพ์ดีดที่ลีโอโปลด์พิมพ์จดหมายเรียกค่าไถ่ปลอม คดีนี้รายละเอียดครบถ้วน แถมมีคำรับสารภาพของทั้งสองด้วย

อย่างไรก็ตาม เหมือนกับว่าการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

4.

การต่อสู้คดีในชั้นศาลได้รับการถ่ายทอดสดผ่านทางวิทยุ มันถูกเรียกว่า ‘คดีแห่งศตวรรษที่ 20’ อัยการเสนอหลักฐานยืนยันให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ขณะที่ทนายความของผู้ต้องหายืนยันว่าจะประหารชีวิตทั้งคู่ไม่ได้ พร้อมนำนักจิตวิทยามายืนยันว่าโลบกับลีโอโปลด์มีอาการป่วยทางจิต ถือเป็นคนไข้ต้องส่งตัวไปรักษามากกว่า นั่นทำให้ทางอัยการต้องเบิกตัวนักจิตวิทยามาเสนอหลักฐานแย้งว่าทั้งสองไม่ได้ป่วยทางจิต แต่ก่อเหตุด้วยสามัญสำนึกรู้ดี

นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้นักจิตวิทยาเข้ามาโน้มน้าวในชั้นศาล ทนายจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโลบกับลีโอโปลด์ไม่ผิด เขายืนยันว่าทั้งสองผิดแน่ แต่เพราะความเชื่อว่าโทษประหารชีวิตคือสิ่งที่ป่าเถื่อนล้าสมัยมาก เขาจึงรับว่าความ และด้วยความสามารถทางกฎหมายและวาทศิลป์ในการพูด หากเรื่องนักจิตวิทยายังใหม่ไปในตอนนั้น ทนายจำเลยก็ใช้หลักการว่าทั้งสองอายุไม่ถึงเกณฑ์ผู้ใหญ่ ดังนั้นจะใช้โทษประหารชีวิตแบบผู้ใหญ่ไม่ได้เด็ดขาด

ทางอัยการก็พยายามต่อสู้ บอกว่าใครก่อเหตุอาชญากรรมก็ต้องได้รับโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง จะได้ไม่มีใครก่อเหตุซ้ำอีก 

สุดท้ายลูกขุนตัดสินว่าโลบกับลีโอโปลด์ผิดจริงฐานฆาตกรรมบ็อบบี้ การกำหนดโทษตกเป็นภาระของผู้พิพากษา และศาลก็ตัดสินให้โลบและลีโอโปลด์ติดคุกตลอดชีวิต พวกเขาไม่ต้องถูกประหารชีวิต ศาลตัดเรื่องป่วยทางจิตออกไปโดยย้ำว่าทั้งสองไม่ใช่ผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะ จะไปรับโทษแบบผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ได้เด็ดขาด

นี่คือชัยชนะของจำเลย และเป็นความพ่ายแพ้ของทางการ อนาคตโลบและลีโอโปลด์มีโอกาสจะออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเยี่ยงเสรีชนได้อีกแน่นอน

แต่แล้วในปี 1936 โลบในวัย 30 ปีถูกนักโทษด้วยกันรุมใช้ของมีคมแทงตายขณะอาบน้ำ แม้แพทย์ของเรือนจำจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตอัจฉริยะคนนี้ได้ คาดกันว่าสาเหตุที่เขาถูกแทงตายก็เพราะพฤติกรรมรักร่วมเพศ

ด้านลีโอโปลด์โชคดีกว่า เขาติดคุกอย่างยาวนานถึงปี 1958 จากเด็กหนุ่มอัจฉริยะก่อนเข้าคุก เขากลายเป็นชายวัย 50 กว่าปี ตอนติดคุกเขาได้ร่วมก่อตั้งห้องสมุดในเรือนจำ ศึกษาประวัติตัวอักษรอียิปต์อย่างจริงจัง พร้อมสอนหนังสือเพื่อนนักโทษคนอื่น และทำตัวเป็นนักโทษชั้นดี จนได้รับการลดหย่อนโทษถึง 5 ครั้งกว่าจะได้รับอิสรภาพ

วันเวลาในเรือนจำทำให้เขาได้ค้นพบความจริงแล้วว่า ยอดมนุษย์นั้นเป็นเพียงคำนิยามที่ไม่เป็นจริง ตัวเขาเองก็เป็นแค่มนุษย์เหมือนคนอื่นๆ เท่านั้น

อดีตนักโทษย้ายไปใช้ชีวิตที่เปอร์โตริโก ช่วยงานโบสถ์ ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อน เรียนจบมหาวิทยาลัย ช่วยสอนเลขให้กับนักศึกษาและคนทั่วไป ก่อนจะแต่งงานกับแม่ม่ายและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ในปี 1971 ลีโอโปลด์จากโลกนี้ด้วยอาการหัวใจวาย

โลบและลีโอโปลด์กลายมาเป็นต้นแบบฆาตกรสุดโหด ชายผิวขาวสองคนที่ก่อเหตุสยองสะเทือนขวัญผ่านทางนิยายและ ภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก พวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจอื้อฉาวที่ได้รับการเล่าขานในโลกสื่อมวลชนจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ตลอดชีวิตนับตั้งแต่รับสารภาพกับตำรวจ ตัวลีโอโปลด์ไม่เคยพูดถึงคดีฆาตกรรมอีกเลย แม้จะมีสื่อมวลชนจำนวนมากอยากสัมภาษณ์เขาถึงเบื้องหลังการฆาตกรรมเพื่อสนองสิ่งที่เขาคิดว่าตัวเองคือยอดมนุษย์ แต่ลีโอโปลด์ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ทั้งหมด 

มีคนเคยถามเขาว่าทำไมไม่ออกสื่อ ทำไมไม่เล่าความผิดพลาดของตัวเอง ทำไมไม่เล่าความหลังเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมฟัง ตัวลีโอโปลด์ได้ตอบคำถามนี้ไว้ก่อนตายว่า

“ผมไม่อยากเทศนาใครผ่านทางทีวีหรือวิทยุ หรือหากินกับเรื่องเลวร้ายนี้ สิ่งที่ผมต้องการทั้งหมดคือ ถ้าโชคดีได้รับอิสรภาพอีกครั้ง ผมจะพยายามอยู่เงียบๆ และไม่ขอมีปากมีเสียงในสังคมอีก”

ข้อมูลอ้างอิง

https://medium.com/the-true-crime-edition/richard-loeb-and-nathan-leopolds-perfect-murder-e9b758f89ed3

http://crimemagazine.com/leopold-and-loebs-perfect-crime-0

https://www.smithsonianmag.com/history/leopold-and-loebs-criminal-minds-996498/

https://www.nytimes.com/1971/08/31/archives/1vathan-f-leopold-of-1924-murder-case-is-dead.html

https://www.nytimes.com/2010/07/04/weekinreview/04roberts.html

Tags: , , , , , , ,