1. อย่าปล่อยให้เด็กรู้สึกกังวลหรือว้าวุ่น
2. พยายามให้การศึกษาแก่เด็กอย่างดีที่สุด
3. พยายามเล่นกับเด็กๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และให้ความสนใจแก่พวกเขาอย่างเต็มที่
4. ถ้าผู้ปกครองสนใจลูกหลาน บ้านจะเป็นสถานที่ที่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง
5. หลีกเลี่ยงการทำอะไรลามกอนาจารต่อหน้าลูกๆ ของพวกคุณ
ข้อความข้างต้นคือคำแนะนำ 5 ข้อจากชายคนหนึ่งที่ได้เขียนลงไปในหนังสือชีวประวัติของตัวเอง โดยมุ่งหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่สังคมเพื่อช่วยให้เด็กๆ ไม่เติบโตมาเป็น ‘ฆาตกร’
เขาหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะได้รับการเผยแพร่ออกไปสู่สังคมญี่ปุ่นวงกว้าง แต่กลับไม่มีสำนักพิมพ์ใดในยุคนั้นยอมตีพิมพ์ ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีต่อมาหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้วถึงจะสมหวัง
สาเหตุหลักก็เพราะว่ามันคำแนะนำจากฆาตกรต่อเนื่องสุดวิปลาส ที่ก่อเหตุข่มขืนผู้หญิงร่วมร้อยคนและสังหารหญิงสาวไปอีกจำนวนหนึ่ง โดยเด็กหญิงที่ถูกข่มขืนอายุน้อยสุดเพียง 4 ขวบเท่านั้น เขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งในญี่ปุ่นเมื่อเกือบร้อยปีก่อน
นี่คือเรื่องราวของ ซาทาโร ฟูกิอาเกะ (Sataro Fukiage) ชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของประเทศญี่ปุ่น
วัยเด็กที่หล่อหลอมฆาตกร
ซาทาโรเกิดที่เมืองเกียวโต ปี 1888 ในยุคสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมจิ ซึ่งนับเป็นยุครุ่งโรจน์ของญี่ปุ่น ประเทศกำลังพัฒนารุดหน้าไปตามสังคมตะวันตก อย่างไรก็ดี การพัฒนาทางอุตสาหกรรมทำให้คนยากจนอีกจำนวนมากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะวิ่งไล่ตามความเจริญรุ่งเรืองไม่ทัน
ซาทาโรเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวทอผ้าอันแสนลำเค็ญ แม่ของซาทาโรต้องทนกับสามีที่ติดเหล้าและเจ้าชู้ แต่เธอก็พยายามดูแลลูกๆ อย่างดีที่สุด แม้ต้องพบกับความลำบากยากแค้น บ่อยครั้งเด็กชายซาทาโรหลับไปขณะที่ท้องยังหิวโซ
ห้องเล็กๆ ที่ต้องนอนเบียดกันทั้งครอบครัว หลายครั้งซาทาโรรับรู้ว่าพ่อกับแม่ของเขา ‘มีอะไรกัน’ กลายเป็นจุดหล่อหลอมตัวเขา ความอภิรมย์ที่ได้รับรู้เรื่องนี้ทำให้เขาถึงกับเคยใช้นิ้วล้วงเข้าไปยังตรงนั้นของน้องสาวที่นอนติดกันด้วย
ครั้นอายุได้ 9 ขวบ ซาทาโรถูกส่งไปเป็นคนรับใช้ของครอบครัวนักธุรกิจทอผ้าผู้ร่ำรวยเพื่อหาเงินส่งที่บ้าน ที่นั่นเขาได้รับอาหารครบ 3 มื้อ แต่ก็ต้องแลกกับการทำงานถึงวันละ 18 ชั่วโมง และหากอู้งานก็จะถูกตี ต่อมาซาทาโรถูกไล่ออกเพราะขโมยเงินของนายจ้าง หลังจากนั้นซาทาโรถูกส่งไปเป็นคนรับใช้บ้านต่างๆ
อายุได้ 13 ปี ซาทาโรติดคุกครั้งแรกหลังไปขโมยเงินนายจ้างคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตในเรือนจำกลับกลายเป็นดี เพื่อนร่วมห้องขังสอนเลขและภาษาญี่ปุ่นให้กับเขา ผู้คุมดูแลดีมาก ที่นี่เขากินอาหารครบ 3 มื้อ หลังได้รับการปล่อยตัวออกมา ซาทาโรเดินทางไปหางานทำที่เมืองโอซาก้า ก่อนทราบข่าวร้ายว่าครอบครัวของเขาถูกไล่ออกจากที่ดิน ต้องกลายเป็นครอบครัวเร่ร่อนกลางถนน
ถึงตรงนี้ ซาทาโรพบว่าโลกภายนอกไม่เหมาะกับเขาเหมือนโลกในตะราง ที่นั่นเพื่อนนักโทษและผู้คุมดูแลเขาอย่างอบอุ่น ส่งผลให้ชายหนุ่มตัดสินใจทำผิดอีกเพื่อหวังจะกลับไปติดคุกอีกครั้ง ด้วยการเข้าไปสั่งอาหารแล้วชักดาบ และตำรวจก็ได้จับเขาส่งเข้าเรือนจำสมใจ
การติดคุกหนสองนี้ ซาทาโรก็ไม่ผิดหวัง เพราะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ‘วิชาโจร’ มากมายที่จะสามารถนำไปต่อยอดในทางมิจฉาชีพได้ในอนาคต
ฆาตกรถือกำเนิด
ระหว่างใช้ชีวิตในเรือนจำครั้งนี้ ซาทาโรได้รับการดูแลจากกลุ่มยากูซ่าซึ่งเป็นขาใหญ่ พวกเขาเห็นแววของเด็กใหม่คนนี้ว่าน่าจะเอาดีทางโจรได้ จึงถ่ายทอดวิชาการล้วงกระเป๋า ต้มตุ๋น และอื่นๆ อีกสารพัดที่จะนำไปใช้ประกอบอาชีพย่องเบาได้ หลังออกจากคุก ซาทาโรจึงได้ใช้ความรู้นี้ทำงานอย่างสนุกมือ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ซาทาโรก่อเหตุย่องเบา ล้วงกระเป๋า และต้มตุ๋นเหยื่อ หวังเก็บเงินไว้ซื้อบ้านให้ครอบครัว ถึงขั้นเอาเงินจากการกระทำผิดกฎหมายไปซื้ออุปกรณ์ทำมาหากินให้พ่อด้วยซ้ำไป นอกจากนี้เขาก็เพิ่มทักษะอันชั่วช้าให้กับตัวเองด้วยการข่มขืนหญิงสาว
ด้วยความเป็นหนุ่ม ซาทาโรมีโอกาสหลับนอนกับหญิงสาวเป็นจำนวนมาก หลายครั้งยินยอมพร้อมใจ แต่หลายครั้งมันคือการบังคับขืนใจ ระหว่างที่ซาทาโรอยู่กินกับหญิงสาวอายุห้าสิบ ตอนนั้นเองเขาลงมือข่มขืนลูกสาวของฝ่ายหญิงวัยเพียง 11 ขวบ ทั้งยังไปข่มขืนลูกสาวเพื่อนบ้านอีกด้วย ทำให้เขาถูกขับไล่ออกมาจากบ้านทันที
จุดนี้เองซาทาโรเขียนในหนังสือชีวประวัติตัวเองว่าเขามี 2 บุคลิกในร่าง ร่างแรกคือคนทั่วไป อีกร่างเป็นร่างของปีศาจร้าย ในช่วงที่เดินสายก่อเหตุย่องเบา เขาก็ข่มขืนผู้หญิงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุได้ 17 ปี เขาล่อลวงเด็กหญิงวัย 11 ขวบขึ้นไปบนภูเขา โดยอ้างว่าจะพาไปจับตั๊กแตน ซาทาโรข่มขืนเด็กหญิงและรัดคอเธอด้วยผ้า เขาให้การในเวลาต่อมาว่าสาเหตุที่ต้องฆ่าเพราะเด็กหญิงรู้จักเขาและจำหน้าเขาได้ เขาจำต้องฆ่าเพื่อปิดปากเหยื่อ
แม้จะพยายามหลบหนี แต่ตำรวจก็แกะรอยจนจับกุมเขาได้และส่งเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้เขาติดคุกนานถึง 15 ปี ก่อนจะพ้นโทษออกมาในปี 1922 ซึ่งในช่วงที่ติดคุกนั้น ซาทาโรอ่านหนังสือมากมายหลายเล่ม ศึกษาเรื่องปรัชญา ศาสนา และวิชาความรู้ต่างๆ เขาอยากกลับตัวกลับใจทำงานปกติเหมือนคนอื่น แต่เพราะประวัติอาชญากรรมและประวัติการข่มขืนเด็กผู้หญิงทำให้เขาหางานไม่ได้ ถึงจะได้เข้าทำงาน แต่พอนายจ้างรู้เรื่องความผิดในอดีต สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออก ว่ากันว่าช่วงนั้นเขาก่อเหตุข่มขืนเด็กหญิงวัย 4 ขวบ แต่หลักฐานในคดีนี้มีน้อยเกินไปจนไม่สามารถนำมาฟ้องต่อศาลได้
ช่วงที่ตกงานในปี 1923 หรือ 1 ปีหลังออกจากคุก ซาทาโรได้กลายสภาพเป็นฆาตกรฆ่าข่มขืน ระยะเวลา 10 เดือน เขาก่อเหตุฆ่าเหยื่อไป 5 ศพ ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 12-16 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าเหยื่อทั้งหมดถูกก่อเหตุในลักษณะใกล้เคียงกัน จนโยงได้ว่ากระทำโดยคนร้ายคนเดียวกัน ถึงขั้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องลงพื้นที่มาสืบสวนเพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ จึงทุ่มเททำงานเพื่อหวังจับคนร้ายให้ได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงนั้นเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น อาคารบ้านเรือนถูกทำลาย ทำให้ตำรวจต้องละทิ้งการสืบสวนเพื่อไปช่วยเหลือประชาชนก่อน ซาทาโรจึงลอยนวลต่อไป และยังคงก่อเหตุข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งก็ฆ่าเหยื่อด้วย โดยพื้นที่ก่อเหตุคือเมืองโตเกียวและโยโกฮามา
อันที่จริงทางการเกือบจับซาทาโรได้ หลังจากเขาพยายามจะบุกบ้านไปข่มขืนลูกสาวของเจ้าของร้านขายข้าวซึ่งเขาทำงานให้ พอถูกจับได้ ซาทาโรถูกรุมประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งซาทาโรให้น้องชายร่วมยืนยันว่าจะไม่ก่อเหตุแบบนี้อีก คำสัญญานี้ทำให้ไม่มีใครเอาเรื่อง นับเป็นการปล่อยปีศาจออกจากมือกฎหมายอย่างหวุดหวิด ซาทาโรยังคงก่อเหตุไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสถานการณ์แผ่นดินไหวทุเลาลง ตำรวจกลับมาสนใจคดีข่มขืนนี้อีกครั้ง มีพยานเห็นว่าคนร้ายที่ก่อเหตุหน้าตาใกล้เคียงกับซาทาโร จากหลักฐานนี้ทำให้ภาพวาดของฆาตกรต่อเนื่องถูกกระจายไปทั่วประเทศ
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเคยจับกุมซาทาโรครั้งก่อนพอเห็นภาพนี้ จึงเดินทางไปหาน้องชายซาทาโรเพื่อคาดคั้นถึงที่อยู่ ก่อนนำกำลังไล่ล่าฆาตกรจอมข่มขืนรายนี้โดยด่วน
ในที่สุดเพียงไม่นาน ซาทาโรก็ถูกจับกุม เขาถูกส่งตัวไปยังโตเกียว ทีแรกชายหนุ่มวัย 36 ปี บอกว่าได้ก่อเหตุข่มขืนผู้หญิงไปกว่า 100 คน โดยได้ฆ่าหญิงสาวไปถึง 13 คน ก่อนสุดท้ายจะกลับคำให้การบอกว่าได้ฆ่าไปเพียง 6 คนเท่านั้น ตำรวจมีหลักฐานว่าเขาข่มขืนผู้หญิงเพียง 3 คดี และฆาตกรรมหญิงสาวจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอให้ศาลพิพากษาประหารชีวิต
ระหว่างรอวันเวลาประหารชีวิต ซาทาโรได้เขียนหนังสือบอกเล่าชีวิตตัวเองตามคำแนะนำของทนายความ ทำให้โลกได้รับรู้คำแนะนำ 5 ข้อจากปลายปากกาของฆาตกรจอมข่มขืนคนนี้ในเวลาต่อมา
ซาทาโรถือเป็นฆาตกรต่อเนื่องและฆาตกรข่มขืนคนแรกของญี่ปุ่นเท่าที่มีการบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ ตอนที่โดนจับกุม เขาบอกตำรวจว่า
“ผมไม่เคยรู้สึกพอใจอะไรเลยตลอดชีวิต มันมีแต่ความมืดมน และผมได้ทำสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในการลบความจำนี้ออกไปได้”
ปลายปากกาของฆาตกร
หนังสือชีวประวัติของซาทาโรมีความหนากว่า 3 พันหน้า นอกจากเรื่องราวชีวิตเจ้าตัวแล้ว ยังมีมุมมองความเห็นต่อสังคม รวมถึงคำแนะนำแก่ผู้ปกครองเรื่องการเลี้ยงบุตรหลาน หนังสือถูกตั้งชื่อว่า ถนนสายนี้ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลังซาทาโรเสียชีวิต แต่ก็ถูกแบนจากการขายทันที
ในเวลาต่อมา นักวิชาการที่ศึกษาชีวิตซาทาโรเผยว่า ชายคนนี้มีโลกที่ซับซ้อนมาก ความยากจนผลักดันให้เขาต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวเพื่อให้หลุดจากความยากลำบาก แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็ก่อเหตุฆ่าข่มขืนหญิงสาวจำนวนมาก แม้จะมีสมองที่เฉียบแหลม สนใจวรรณกรรม และให้คำแนะนำการเลี้ยงดูบุตรหลานไว้ในหนังสือ แต่เขากลับล่อลวงหญิงสาวจำนวนมาก ข้ออ้างว่าความยากจนอาจผลักดันให้เขาต้องสู้และหล่อหลอมให้ซาทาโรกลายเป็นปีศาจร้ายนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวของตัวเราจะมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ต้องกระทำเลวร้ายแบบนี้กับคนอื่น
นี่คือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นปีศาจร้าย เป็นคนรักครอบครัว เป็นคนฉลาด เป็นนักเขียน โดยคำแนะนำสำคัญอีกข้อที่เขาบอกกับผู้ปกครองเพื่อมุ่งหวังให้ดูแลบุตรหลานเป็นอย่างดีเพื่อที่จะได้เติบโตมาไม่เป็นอย่างเขา ซึ่งซาทาโรเน้นย้ำไว้ในหนังสือของตัวเองซึ่งอาจสรุปภาพรวมของปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ว่า
“ขอแค่ใช้เงิน 1 เยนไปซื้ออาหารบำรุงแก่เด็กๆ ย่อมดีกว่าหาเงิน 1 เยนไปซื้อยารักษาพยาบาลให้พวกเขา”
อ้างอิง
https://murderpedia.org/male.F/f/fukiage-sataro.htm
http://yabusaka.moo.jp/satarou.htm
Tags: ฆาตกรต่อเนื่อง, Haunted History, ซาทาโร ฟูกิอาเกะ, ญี่ปุ่น