ตอนที่พันตำรวจโท อเล็กซานเดอร์ ซานาซอฟสกี (Lt. Col. Alexander Zanasovsky) นักสืบหนุ่มแห่งสหภาพโซเวียตกลับไปที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งเคยเป็นจุดเกิดเหตุคนร้ายล่อลวงเด็กหญิงเข้าไปในป่า ก่อนจะข่มขืนแล้วฆ่าอย่างทารุณ เขาพบเจอชายแก่คนหนึ่งกำลังคุยกับเด็กผู้หญิงในจุดเกิดเหตุ นักสืบเห็นเขาทำแบบนี้มาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน จึงเข้าไปเผชิญหน้ากับชายคนดังกล่าวทันทีแล้วสอบถามว่าคุยกับเด็กผู้หญิงไปทำไม

“แก้เบื่อน่ะครับ แถมผมเคยเป็นครูมาก่อน จึงชอบคุยกับเด็ก”

นี่คือคำตอบที่ อังเดร ชิคาทิโล (Andrei Chikatilo) บอก แม้อเล็กซานเดอร์จะสงสัย แต่การคุยกับเด็กไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย จึงต้องปล่อยชายคนดังกล่าวไป และอยู่ดูแลเด็กผู้หญิงขึ้นรถเมล์ เพราะขณะนั้น มีรายงานการพบศพเด็กทั้งชายและหญิงถูกฆ่าหมกในป่าไม่น้อยกว่า 15 ศพแล้ว แต่ละศพถูกข่มขืน ถูกทรมาน ถูกเฉือนอวัยวะเพศ บางคนโดนควักลูกตาออก อเล็กซานเดอร์วาดทฤษฎีคร่าวๆ ไว้ว่า คนก่อเหตุมักจะกลับไปที่เกิดเหตุเสมอ ซึ่งคดีนี้ ที่เกิดเหตุหลายครั้งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ย่านชานเมือง นักสืบคาดว่าฆาตกรมักจะกลับไปดู สวดมนต์ หรือจ้องมองผู้คนแถวนั้นจนเบื่อ

อังเดร ชิคาทิโลเดินจากไป ในเวลาต่อมา นักสืบเขียนในรายงานว่าเขาได้เจอกับชายคนนี้อีก 2 ครั้ง ที่ป้ายรถเมล์ในตอนนั้นคือการพบเจอกันครั้งแรกในฐานะชายต้องสงสัย ครั้งที่ 2 ในฐานะผู้ต้องสงสัย และครั้งที่ 3 ในฐานะฆาตกรต่อเนื่อง

พื้นเพของฆาตกรต่อเนื่อง

อังเดร ชิคาทิโล เกิดที่ยูเครน ในปี 1936 ในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสม์ (ก่อนจะล่มสลายในปี 1990 กลายสภาพมาเป็นรัสเซียในปัจจุบัน) ช่วงเวลาที่เขาเกิดเป็นยุคแห่งความอดอยาก ภายใต้การปกครองของโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ผู้นำสุดโหดเหี้ยม ครอบครัวของชิคาทิโลทำงานระบบนารวม ไม่ได้เงินค่าจ้าง แต่ได้ผลผลิตที่รัฐแบ่งให้พร้อมที่ดินเล็กๆ ผลผลิตที่ได้ทั้งหมดถูกส่งไปเลี้ยงคนในเมือง ทิ้งให้คนผลิตต้องอยู่อย่างแร้นแค้น

ความอดอยากเป็นเรื่องปกติในยุคนั้น ครอบครัวของเขาถึงขั้นต้องกินหญ้าประทังชีวิตเหมือนวัวควาย แม่ของเขาพร่ำบอกว่า ที่จริงแล้วอังเดรมีพี่ชาย 1 คน แต่ถูกเพื่อนบ้านลักพาตัวไปฆ่าเพื่อกินเนื้อประทังชีวิต เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเยอรมันบุกสหภาพโซเวียต พ่อของอังเดรไปรบแล้วตกเป็นเชลย เพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด ยอมให้ข้าศึกจับได้ ช่วงเวลานั้น แม่ของอังเดรตั้งท้องกำเนิดน้องสาวมาอีกคน ทั้งที่สามีของเธอโดนจับไปแล้ว สันนิษฐานว่าหญิงสาวตั้งท้องเพราะถูกรุมข่มขืนโดยทหารนาซี และอังเดรได้เห็นแม่ถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหดในอาชญากรรมครั้งนี้ด้วย

ตัวอังเดรเองมีอาการป่วย คือมีน้ำหล่อเลี้ยงในสมองมากไป จึงมีปัญหาการพูด การเดิน แต่ที่สำคัญคือ เขาควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ หลายครั้งเขาฉี่รดที่นอนเป็นประจำ จนโดนแม่ดุด่าและลงมือตบตีลูกชายเสมอ ด้วยรูปร่างบอบบาง ไปเรียนหนังสือก็เหม่อลอยเป็นลมง่ายเพราะท้องไม่เคยอิ่ม โดนแกล้งจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ แต่อังเดรกลับหัวดี เรียนเก่ง เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 ปี เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ มีส่วนในการรณรงค์เดินสวนสนาม ตอนนั้นพ่อกลับมาจากสงครามโลก แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาตัวเอง แต่เขาก็ยอมรับและดูแลลูกๆ ทั้งอังเดรและน้องสาวอย่างดีที่สุด แม้คนละแวกบ้านจะด่าพ่อว่าเป็นไอ้ขี้ขลาดอยู่เสมอก็ตาม

เมื่ออายุ 15 ปี เขามีประวัติว่าจับเด็กผู้หญิงเพื่อดูเธอดิ้นรน อังเดรมีความสุขมากตอนทำแบบนั้น ทั้งนี้ แม้จะเป็นคนเรียนเก่ง แต่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยมอสโกไม่ได้ดังใจฝัน เลยไปรับราชการเป็นทหาร ช่วงนั้นน้องสาวพยายามหาหญิงสาวให้พี่ที่ดูอ่อนแอและไม่มีสาวคนไหนสนใจ สุดท้ายอังเดรแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง มีลูกด้วยกัน 2 คน ครอบครัวดูอบอุ่น ลูกของเขาจะมีหลาน ทำให้อังเดรกลายเป็นปู่ ชีวิตดูสมบูรณ์ 

ภรรยาของอังเดรเล่าว่า ตัวสามีเป็นคนอ่อนแอ ดูขี้ขลาด ไม่กล้าขึ้นเสียงกับเธอ ไม่แม้แต่จะขยันมีเซ็กซ์บนเตียงเท่าไร โดยรวมเขาเป็นคนที่ธรรมดามาก จนไม่น่าเชื่อว่าจะไปทำอะไรใครได้

แต่เธอก็เคยเห็นเขากลับมาบ้านพร้อมคราบเลือดและเสื้อผ้าเปื้อนดินโคลนในช่วงดึก โดยสามีจะบอกว่ามันเกิดจากอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน

เมื่อออกจากกองทัพ อังเดรเริ่มงานเป็นครู ก่อนย้ายไปทำงานเป็นเสมียนในโรงงานเหมือง ซึ่งต้องเดินทางไปทั่วประเทศ 2 อาชีพนี้เอง ที่ทำให้อังเดรกลายสภาพจากคนอ่อนแอดูไม่มีอะไร กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเหี้ยมในเวลาต่อมาได้

การเผชิญหน้าครั้งที่ 2 ระหว่างนักสืบกับผู้ต้องสงสัย

วันที่ 22 ธันวาคม 1978 อังเดรในวัย 42 ปี ก่อเหตุฆ่าคนเป็นศพแรก เขาล่อลวงเด็กหญิงวัย 9 ขวบ จากป้ายรถเมล์ไปฆ่าหมกป่า ศพของเด็กถูกพบในอีก 2 วันต่อมา มีพยานยืนยันว่าอังเดรอยู่กับเด็กเป็นคนสุดท้ายก่อนหายตัวไป ตำรวจคุมตัวอังเดรไปทันที แม้หลักฐานพยานจะชัดเจน แต่ตำรวจกลับไม่สนใจอังเดรมากนัก เพราะเขาไม่มีประวัติการก่อเหตุมาก่อน 

เจ้าหน้าที่ปล่อยเขาไป และอุ้มชายคนหนึ่งซึ่งมีประวัติข่มขืนมาก่อนไปสอบแทน ตำรวจสอบปากคำทั้งขู่ทั้งซ้อมชายคนดังกล่าว จนต้องยอมรับสารภาพว่าได้ฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 9 ขวบจริง ศาลตัดสินจำคุกสูงสุด 15 ปี แต่เพราะแรงกดดันทางสังคม จึงเปลี่ยนคำตัดสินให้ประหารชีวิตชายคนดังกล่าวเสีย

ชายคนดังกล่าวอาจจะเลวจริง แต่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้อย่างชัดเจน

เมื่อศพแรกผ่านไปได้โดยไม่โดนจับ อังเดรก็เริ่มฆ่าเหยื่อรายอื่นๆ ด้วยความชำนาญมากขึ้น เหยื่อไม่เพียงแต่เป็นเด็กผู้หญิงเท่านั้น เด็กผู้ชาย วัยรุ่นชายหญิง หญิงสาวในวัยผู้ใหญ่ ต่างถูกเขาลวงมาฆ่าหมด ตำรวจพบคราบน้ำอสุจิตกในจุดเกิดเหตุ หลายครั้งพบเชือก พบการใช้มีดทำลายศพ อวัยวะบางส่วนโดนตัด ลูกตาเหยื่อบางรายโดนควักออกมา สันนิษฐานว่าฆาตกรกินมันลงไป ด้วยความเชื่อว่าคนตายจะจำหน้าคนก่อเหตุไม่ได้

เมื่อสถิติตัวเลขผู้เสียชีวิตถูกลวงไปฆ่าหมกป่าสูงขึ้น เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ระดับเบื้องบนก็ไม่อาจอยู่เฉยได้

เดิมที สหภาพโซเวียตพร่ำบอกว่า ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสม์ ไม่มีทางที่จะเกิดฆาตกรต่อเนื่องมาได้ ในช่วงเวลานั้น ระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมจ๋าอย่างสหรัฐอเมริกา คู่ขัดแย้งในสงครามเย็น มีฆาตกรต่อเนื่องหลายคดี โซเวียตจึงได้ทีข่มขวัญ แต่พอมีรายงานเหตุการณ์ลวงเด็กไปฆ่ามากขึ้น ความเชื่อนี้ก็สั่นคลอน

สิ่งแรกที่โซเวียตทำคือปิดข่าว ไม่ให้สังคมรู้ว่ามีฆาตกรสุดอันตรายอยู่ปะปนกับคนทั่วไปในสังคม และย้ำให้ตำรวจจับกุมคนร้ายมาให้ได้ เจ้าหน้าที่ในแต่ละโรงพักไม่มีข้อมูลโยงว่าฆาตกรที่ก่อเหตุเป็นคนเดียวกัน จึงเน้นจับกุมคนที่มีประวัติคดีล่วงละเมิดทางเพศ ประเมินกันว่าตลอดเวลาที่อังเดรไล่ฆ่าคนนั้น มีตำรวจจับผู้ต้องหาที่อาจมีประวัติข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศจริง แต่ก็เป็นแพะในคดีอังเดรเพิ่มสูงอย่างมาก 

อีกด้านหนึ่ง ตำรวจถูกกดดันให้ต้องขยันไขคดีทางเพศอื่นๆ ด้วย ทำให้มีคดีข่มขืนกว่า 245 คดีที่ถูกไข มีผู้ก่อเหตุฆาตกรรมโดนจับไป 95 ราย แต่มันก็ไม่อาจหยุดการตายของเด็กที่ป้ายรถเมล์ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย ทางพรรคคอมมิวนิสต์จึงต้องยอมรับความจริงว่า มีฆาตกรต่อเนื่องในประเทศกำลังไล่ฆ่าคนอยู่ แล้วตั้งทีมเฉพาะกิจไขคดีทำงานร่วมกับนักจิตวิทยา 

อย่างไรก็ดี ตำรวจโซเวียตยังทำงานหละหลวม พวกเขามองว่าคนก่อเหตุมีอาการทางจิต อาจเป็นไบเซ็กชวล ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ทำให้ละเลยอังเดรที่เป็นชายวัยกลางคน ทีมงานเฉพาะกิจทำงานถี่ถ้วน พวกเขาพบขนสีเทาบนตัวศพ เมื่อเอาสารคัดหลั่งมาตรวจแอนติเจนเพื่อหากรุ๊ปเลือด จึงพบว่าฆาตกรมีกรุ๊ปเลือด AB นี่เป็นวิธีการที่ปัจจุบันไม่มีใครใช้แล้ว แต่สมัยนั้นถือเป็นเรื่องที่ก้าวหน้ามาก ดังนั้นหากจับผู้ต้องสงสัยแล้วตรวจหากรุ๊ปเลือดตรงกับ AB ก็เอาไปสอบปากคำแบบโซเวียตก็น่าจะไขคดีได้

เมื่อถึงปี 1984 มีพยานเห็นว่าอังเดรอยู่กับเด็กชายวัย 10 ขวบ เป็นคนสุดท้ายที่ป้ายรถเมล์ ก่อนจะพบศพเด็กคนดังกล่าวถูกฆ่าหมกป่าในเวลาต่อมา ตำรวจคุมตัวอังเดรแล้วตรวจเลือด พวกเขาพบว่าเลือดของอังเดรเป็นกรุ๊ป A ไม่ตรงกับข้อมูลของฆาตกรต่อเนื่อง จึงปล่อยอังเดรไปอย่างง่ายดาย โดยไม่สนพยานบุคคลเป็นครั้งที่ 2

ในเวลาต่อมา พวกเขาพบว่า อังเดรเป็นคนส่วนน้อยในโลกที่มีแอนติเจนในเลือดไม่ตรงกับแอนติเจนในสารคัดหลั่ง น้ำลาย เหงื่อ หรือน้ำย่อยในร่างกาย ซึ่งคนปกติจะไม่เป็นแบบนั้น เมื่อผลไม่ตรงกับหลักฐานที่ได้มาจากนิติวิทยาศาสตร์ยุคนั้น ก็ไม่อาจตั้งข้อหาอังเดรได้

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในความทรงจำของพันตำรวจโทอเล็กซานเดอร์ นี่คือการเผชิญหน้าครั้งที่ 2 ระหว่างเขากับอังเดร ซึ่งขยับฐานะจากชายต้องสงสัยเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถปิดคดีนี้ลงได้ ยุคนั้นยังไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ ทำให้ไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิดอังเดรได้นอกจากกรุ๊ปเลือด เมื่อไม่ตรง ทุกอย่างก็จบ แต่ตำรวจพบว่าตัวอังเดรมีความผิดเล็กๆ น้อยๆ ประเภทคุกคามทางเพศ จึงโดนจำคุกไป 3 เดือน แล้วก็ปล่อยตัวออกมาฆ่าคนต่อ

การเผชิญหน้าครั้งที่ 3 พวกเราแทบเป็นบ้า!

หลายครั้งที่อังเดรหยุดฆ่า เขาจะทำตัวเงียบๆ บางครั้งเมื่อเดินทางไปต่างเมือง เขาจะลงมือฆ่า มันสร้างความสับสนให้เจ้าหน้าที่อย่างมาก เพราะกะระยะเวลาไม่ถูก เขาฆ่าคนไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 1990 อังเดรสังหารหญิงสาววัย 22 ปี ถึงตอนนั้น รัฐบาลเน้นย้ำว่าข้ารัฐการประเทศนี้ต้องทำงานโปร่งใส ในช่วงที่สหภาพโซเวียตใกล้ล่มสลาย วันที่เขาก่อเหตุ ตำรวจคนหนึ่งเห็นอังเดรอยู่ในจุดเกิดเหตุที่ป้ายรถเมล์ด้วยท่าทางน่าสงสัย เขามีรอยข่วนที่หน้า คราบเลือดที่คาง ศอกและหัวเข่าเปื้อน จึงขอดูบัตรประชาชนแล้วจดชื่อ ก่อนจะแจ้งข้อมูลไป เมื่อมีการพบศพหญิงคนดังกล่าวใกล้จุดเกิดเหตุ ข้อมูลนี้กลายเป็นหลักฐานสำคัญให้ตำรวจคุมตัวอังเดรมาสอบปากคำยาวนานกว่า 9 วัน

ครั้งแรกอังเดรปฏิเสธ ยืนยันว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องที่ไล่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่เตรียมการมาดี ตลอดเวลาที่ไล่ล่า พวกเขาเก็บข้อมูลมากพอ และกลับมาให้ความสำคัญกับพยานบุคคลที่คาดว่าอังเดรน่าจะเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมครั้งนี้ พวกเขาส่งนักจิตวิทยาเข้าไปสอบปากคำอย่างละเอียด มีการพูดคุยถึงปูมหลังชีวิต คุยถึงเรื่องราวในอดีต แรงขับดัน ปมในใจต่างๆ นานา

สุดท้ายอังเดรก็รับสารภาพว่าเขาฆ่าคนไปถึง 56 ศพ

ตัวเลขนี้ทำให้เจ้าหน้าที่อ้าปากค้างเช่นเดียวกับพันตำรวจโทอเล็กซานเดอร์ เพราะข้อมูลของทางการคือมีเหยื่อที่ถูกสังหารเพียง 36 ศพ เท่านั้น นั่นทำให้ตำรวจต้องพาอังเดรไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุหลายๆ จุด ซึ่งพบศพถูกฝังไว้เป็นจำนวนมาก ตำรวจสามารถสรุปว่าเขาก่อเหตุฆ่าคนอย่างมีหลักฐานแน่ชัดแค่ 53 ศพเท่านั้น ซึ่งแม้จะปิดคดีได้ แต่ตัวเลขคนตายที่เยอะอย่างยิ่ง ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนถึงกับตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

พันตำรวจโทอเล็กซานเดอร์ย้อนความหลังการพบหน้าอังเดรเป็นครั้งที่ 3 ในฐานะนักสืบกับฆาตกรต่อเนื่องว่า “พวกเราแทบเป็นบ้า พอพบว่าเป็นเขาจริงๆ จะไม่บ้าได้ไงล่ะ ในเมื่อมีผู้หญิงและเด็กตายเป็นจำนวนมากขนาดนี้”

2 ปีต่อมา สหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นรัสเซีย อังเดรถูกนำตัวขึ้นศาล ซึ่งตัดสินว่าอังเดรมีความผิดในการฆาตกรรมไป 52 ศพ จาก 53 ศพ เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งในรัสเซีย วิธีการก็คือยิงด้วยปืนที่ท้ายทอย ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994 ศพของเขาถูกฝังโดยไม่มีการทำเครื่องหมายใดๆ ไว้ให้คนเห็น ครอบครัว ภรรยา และลูกหลาน ต้องเปลี่ยนชื่อสกุลหนีความอับอาย 

ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความวิปริต อังเดร ชิคาทิโล ถือเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเหี้ยมคนหนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาคดี ทางการต้องติดลูกกรงเหล็กไว้ในคอก ล้อมรอบตัวอังเดรไว้ เพื่อป้องกันญาติพี่น้องเหยื่อบุกรุมทำร้าย

“จะมัวไต่สวนไปทำไม เอามันมาให้ผม ผมจะเฉือนมันออกเป็นชิ้นๆ จะควักลูกตามัน เหมือนที่ทำกับลูกสาวผม”

“ลูกสาวฉันโดนแทงไป 46 แผล เขาตัดมดลูกเธอออกมา ทำไมเขาทำแบบนั้น ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณถึงต้องทารุณกับคนอื่นแบบนี้ด้วย”

ผู้คนและผู้พิพากษาต่างถามย้ำถึงข้อสงสัยว่า ทำไมอังเดรถึงลงมือก่อเหตุฆ่าคนเยอะขนาดนี้ ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดตอบคำถามนี้ในศาลด้วยคำพูดเรียบๆ ว่า 

“ผมอธิบายไม่ได้” 

 

อ้างอิง

https://apnews.com/article/98473676526672d6f73b81e27174fb84

https://medium.com/the-true-crime-edition/andrei-chikatilo-the-butcher-of-rostov-730a0da28f4b

https://medium.com/frame-of-reference/the-soviet-serial-killer-who-cannibalized-his-victims-6db4aed0094f

https://www.biography.com/crime-figure/andrei-chikatilo

COLUMN ONE : ‘I Was Like a Crazed Wolf ‘ : Andrei Chikatilo looks like a harmless schoolteacher. But 53 murders make him the most horrible serial killer Russia–perhaps the world–has ever seen. – Los Angeles Times (latimes.com)

หนังสือ The Crime Book ของสำนักพิมพ์ DK หน้า 292

Tags: , , ,