เสียงแตรจากรถมอเตอร์ไซค์และรถใหญ่บีบใส่กันลั่น เคล้ากับเสียงกระดิ่งจักรยานที่รัวกันสนั่นหวั่นไหว ทำให้เราต้องพยายามประคองใจให้นิ่งไปตลอดเส้นทางจากโรงแรมไปย่านเมืองเก่าในฮอยอัน แม้จะเป็นระยะทางไม่ไกลนัก แต่ในช่วง 10 นาทีแรก ตั้งแต่เริ่มขี่จักรยานออกจากโรงแรม ก็อดหวั่นใจไม่ได้ ไหนจะเป็นการขี่ไปในเลนขวาที่ไม่คุ้นเคย กับต้องเดาใจรถที่อยู่ตรงแยกข้างหน้าว่าเขาจะหยุดหรือจะไปก่อน ต่อเมื่อข่มจิตไม่ให้พาลพาโลไปกับความอลหม่านบนถนนได้ ก็เริ่มเข้าใจจังหวะและพอจะจับสัญญาณได้ว่าเวลาไหนที่เราจะไหลไปตามคลื่นรถบนถนน เวลาไหนที่ควรจะหยุด เพื่อให้คันที่ขวางอยู่ข้างหน้าไปก่อน
เมื่อทำตัวให้กลมและกลืนไปกับจังหวะบนถนนในฮอยอันได้ การเดินทางในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มสนุกขึ้น
ก่อนจะเล่าถึงฮอยอัน ขอตัดภาพกลับไปก่อนหน้านั้น ในวันที่ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ กับการเดินทางแบบหวานเย็นหลังพ้นพรมแดนไทยที่สะหวันนะเขต ครึ่งวันในเขตแดนประเทศลาวบนถนนหมายเลข 9 ก่อนจะข้ามเข้าสู่พรมแดนเวียดนามที่ด่านลาวบ่าว สัญญาณอินเทอร์เน็ตใช้งานได้ทันทีเมื่อเราเปลี่ยนซิมไปใช้โครงข่ายของเวียดนาม จีพีเอสบอกเส้นทางว่าเราต้องเดินทางอีกกว่า 150 กิโลเมตร เพื่อจะไปถึงที่พักและนอนค้างที่ริมหาดเมืองเว้หนึ่งคืน การเดินทางด้วยความเร็วที่จำกัดไว้ที่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามกฎหมาย และการแวะพักระหว่างทางในบางจุด ทำให้เราถึงเว้เอาตอนมืดค่ำพอดี
เว้ต้อนรับเราด้วยอาหารท้องถิ่น เป็นร้านอาหารทะเลที่ติดอยู่กับชายหาดของเมือง โต๊ะนั่งเตี้ยๆ กับเก้าอี้เด็ก คือความเท่าเทียมของทุกวัย ที่ไม่ว่าร่างกายของผู้นั่งจะใหญ่โตแค่ไหนก็ต้องนั่งลงไปให้พอดี และเป็นแบบนี้แทบจะทุกที่สำหรับร้านริมทางในเวียดนาม หอยตลับที่ต้มมากับเครื่องสมุนไพรอร่อยจนต้องซดน้ำขอดจาน เครื่องจิ้มซีฟู้ดที่มีเพียงเกลือและพริกไทยดำบด บีบตามลงไปด้วยมะนาวหั่นซีก คือความอร่อยที่เข้ากันดีกับกุ้งต้ม อย่างไม่ต้องร้องหาน้ำจิ้มสไตล์ไทย กับอาหารเวียดนามอีกสองสามอย่างที่ยากจะเรียกชื่อได้ถูก คือความกลมกล่อมในวันแรกที่เราแตะพื้นเวียดนามตอนกลางแห่งนี้
แต่ที่ริมทะเลเมืองเว้ ใจเราลอยข้ามดานังล่วงหน้าไปรออยู่แล้วที่ฮอยอัน เสน่ห์คลาสสิกของเวียดนามกลางที่ว่ากันว่าเมืองนี้มีให้ล้นเหลือ
จักรยานราคา 40,000 ด่อง (60 บาท) ที่เราเช่าจากโรงแรมที่พักในฮอยอัน เรียกได้ว่าแพงกว่าร้านเช่าทั่วไป เพราะเป็นบริการจากโรงแรม แต่เมื่อบวกลบคูณหารดูแล้ว จักรยานหนึ่งคันกับหนึ่งวันที่จะเลาะเลี้ยวไปได้ตามใจ ก็นับว่าไม่เลว หรือถ้าอยากออกไปนอกฝั่งทะเลนอกเมือง มอเตอร์ไซค์ก็มีให้เช่าในราคา 100,000 ด่องต่อคัน
แต่ถ้าเป้าหมายของการมาฮอยอันอยู่เพียงในตัวเมือง โดยเฉพาะในย่านเก่า นอกจากการพึ่งสองเท้าของตัวเอง จักรยานเป็นพาหนะที่เหมาะที่สุดสำหรับการสัญจรในเมืองนี้
ถ้าคุณรักความสงบ ฮอยอันมีเวลาให้คุณหายใจโล่งๆ ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังตะวันขึ้น แต่ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นเร็ว ถ้าคุณยอมตื่นเช้าสักวัน แล้วไปนั่งริมฝั่งน้ำตอนตีสี่ เฝ้ารอแสงสีทองที่จะเริ่มจับขอบฟ้า ค่อยๆ สะท้อนเฉดลงบนริ้วแม่น้ำทูโบน แม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวฮอยอันมาแต่อดีต ที่ทอดตัวขนานไปกับถนนสายเก่า อันเป็นที่ตั้งของเมืองเล็กๆ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก อาคารเก่าสีเหลืองสไตล์โคโลเนียลที่เรียงตัวเป็นแถวยาวทั้งสามสาย ลั่นดาลประตูหน้าต่างเงียบสงัดราวสลบไสลไปพร้อมกับราตรีของเมื่อวาน นั่นคือโมงยามของฮอยอันที่เปรียบดังใบหน้าของสาวน้อยที่ไร้การแต่งแต้มสีสัน
ชีวิตเริ่มต้นเมื่อฟ้าสาง สตรีชาวฮอยอันสวมกุบหรือหมวกยอดแหลมไว้บนศีรษะ บ้างเดินหรือขี่จักรยานมุ่งหน้ามายังถนนริมน้ำฝั่งเมืองเก่า อันเป็นที่ตั้งของตลาดสดที่คึกคักจอแจไปด้วยเสียงคนและรถรา เรือหาปลาจอดนิ่งอยู่ริมฝั่ง บางลำกำลังถูกคัดท้ายด้วยมือเหี่ยวย่นของหญิงชราที่ยังใช้เรือสัญจรตามวิถีเดิมๆ ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว คือช็อตงามๆ ที่ช่างภาพรอจับจังหวะ ไม่มีสีหน้าที่ไม่พอใจแสดงให้เห็น ราวกับว่านี่คือเรื่องคุ้นชินที่ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน จนสิ่งที่เคยแปลกใหม่กลายเป็นเรื่องธรรมดา การหลั่งไหลเข้ามาของชนต่างชาติ ย่านเก่าแก่ที่กลายเป็นถนนสายชิคซึ่งทุกตารางนิ้วไม่เคยขาดคนเดินผ่าน ไม่ได้ส่งผลให้ชีวิตของชาวฮอยอันเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นช่วงเวลาทองของผู้มาเยือนที่ต้องการเก็บภาพที่งดงามที่สุดของฮอยอัน ก่อนที่ย่านนี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อร้านรวงเริ่มเปิดในตอนสายราว 9 โมง ราวกับสีสันได้ถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าของสาวน้อยคนเดิม จนดูเปลี่ยนเป็นอีกคน
เพื่อทำความรู้จักกับเมืองเก่าของฮอยอันให้มากขึ้นกว่าการเป็นย่านช้อปปิ้งและกินดื่ม เงิน 120,000 ด่องในมือ แปลงมาเป็นตั๋วเข้าชมสถานที่ซึ่งเก็บรักษาประวัติศาสตร์ของฮอยอันเอาไว้ เป็นตั๋ววันที่เราสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ 5 แห่ง ซึ่งแทรกตัวอยู่ในอาคารเก่าแก่เหล่านี้
เราเริ่มต้นที่หัวถนนตรันฝูซึ่งเป็นที่จำหน่ายตั๋ว เยื้องกันนั้นเป็นสะพานญี่ปุ่นอันลือชื่อที่ก่อสร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในฮอยอันเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน เป็นเพียงสะพานไม้สายสั้นๆ ที่โค้งข้ามสายน้ำเล็กๆ เพื่อคั่นอาณาเขตของชุมชนญี่ปุ่นและจีน กระเบื้องหลังคาเก่าแก่และไม้ที่เป็นโครงสร้าง สะท้อนอัตลักษณ์แบบญี่ปุ่นอย่างเด่นชัด
อาคารหลังไหนคืออาคารประวัติศาสตร์นั้นสังเกตได้ไม่ยาก เพราะจะแทรกตัวอยู่ท่ามกลางโครงสร้างของอาคารเก่าที่ผ่านการบูรณะหรือทาสีใหม่ให้สดใสขึ้น เช่น บ้านจีนของตระกูล Tanky ที่ประตูฝั่งหนึ่งหันหน้าให้แม่น้ำทูโบน และประตูอีกฝั่งจรดกับถนนอีกสาย เป็นบ้านของชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาแต่อดีต เครื่องเรือนไม้แกะสลัก บ้างฝังมุก คือของเก่าที่จัดไว้ตามมุมเดิม บ้านบางหลังเปิดให้เข้าชมบางส่วน โดยที่เจ้าของบ้านยังอาศัยอยู่ ส่วนหลังที่เป็นเรือนไม้เก่าแก่คือพิพิธภัณฑ์เซรามิก ที่เก็บกู้มาจากสำเภาที่เคยล่มของบรรพบุรุษ
โคมไฟที่ห้อยประดับถนนยามกลางวัน เริ่มส่งแสงอวดสีเมื่อพลบค่ำ ด้วยรูปทรงและลวดลายต่างที่มาของการสร้างสรรค์ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของฮอยอัน ซึ่งมีที่มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เมื่อพ่อค้าชาวจีนนำโคมไฟมาจากเมืองจีนและใช้จุดแทนการจุดเทียนแต่ดั้งเดิม นอกจากชาวฮอยอันจะนิยมประดับประดาบ้านเรือนด้วยโคมไฟ มันยังกลายเป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมติดไม้ติดมือกลับไปเป็นที่ระลึก ด้วยราคาไม่แพง คิดเป็นเงินไทยแล้วสามารถซื้อกลับมาได้ด้วยราคาไม่ถึงหนึ่งร้อยบาทก็มี
นอกจากสีสันของโคมไฟบนท้องถนนและร้านรวงต่างๆ แล้ว ในลำน้ำทูโบนยังมีแสงระยิบของเทียนเล่มเล็กๆ จากกระทงกระดาษที่ลอยอยู่กลางน้ำ ยิ่งช่วงที่เราไปถึงเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวง ถนนทุกสายของย่านเมืองโบราณจึงขนัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวราวกับมีเทศกาลสำคัญ ร้านอาหารและร้านกินดื่มถูกจับจองที่นั่งด้วยนักท่องเที่ยวต่างภาษา แม้ตามร้านริมทางก็มีลูกค้าผลัดเปลี่ยนราวกับเล่นเก้าอี้ดนตรี อาหารง่ายๆ หน้าตาคล้ายหมี่ผัด ปรุงรสและราดมาด้วยน้ำพริกให้เราอิ่มท้องง่ายๆ ในราคา 20,000 ด่อง กับการนั่งกินบนเก้าอี้หัวโล้นเตี้ยๆ หน้ากระจาด หรือหากอยากนั่งกันเป็นจริงเป็นจัง บางร้านมีที่นั่งพร้อมโต๊ะวางเสิร์ฟกันเป็นกิจจะ อาหารง่ายๆ อย่างผักบุ้งผัด เกาเหลา เมี่ยงญวณ ไก่ย่าง กินแกล้มบรรยากาศริมน้ำเพลินไปถึงไหนๆ ก่อนจะตบท้ายกันด้วยเต้าฮวยนิ่มๆ ทั้งแบบอุ่นและแบบเย็น
ราวสี่ถึงห้าทุ่ม ดวงไฟจากโคมถนนและหน้าร้านต่างๆ เริ่มดับลงทีละดวง บานประตูและหน้าต่างเริ่มหับเข้าหากันและลั่นดาลให้สนิทอีกครั้ง ก่อนจะหลับใหลและเผยตัวตนสองบุคลิกของฮอยอันขึ้นใหม่ในวันถัดมา และเวียนว่ายอยู่เช่นนั้นเป็นกิจวัตร
ภาพ: ปทิตตา จันทร์เพ็ญ Bike Finder
Tags: ลาวบ่าว, เว้, ถนนตรันฝู, แม่น้ำทูโบน, เวียดนาม, สะหวันนะเขต, ฮอยอัน