ถึง คุณ, คนที่ทำให้ผมกลายเป็นนักวิ่ง
ตลกดี ขณะกำลังหายใจแรงตอนวิ่งอยู่ ผมนึกถึงหน้าตาเหยเกของคุณเมื่อครั้งผมบอกกับคุณว่า ผมชอบประโยคนั้นในหนังของหว่อง การ์-ไว
ใช่, คุณเดาถูก ผมกำลังพูดถึง Chungking Express และประโยคเด็ดที่ว่า “ผมจะวิ่งให้เหงื่อมันออกจนหมดตัว ร่างกายจะได้ไม่เหลือน้ำเอาไว้เป็นน้ำตา” ในตอนนั้นผมคิดว่าประโยคนี้มันช่างเท่เสียนี่กระไร แต่มาถึงวันนี้ผมกลับเห็นด้วยกับคุณนะว่า มันเป็นคำพูดที่พยายามจะเท่ และเป็นความคิดดราม่าของผู้ชายอกหักคนหนึ่ง แต่อย่าไปโทษเขาเลย คนเราเวลาอกหักมักหาวิธีกระทำชำเราตัวเองต่างๆ นานาให้รู้สึกแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งรู้สึกไร้ค่า บางคนก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองให้ไร้ค่ามากขึ้น นั่นเป็นเรื่องที่แสนจะปกติ
แต่ก่อนผมก็เป็นแบบนั้น ผิดหวังกับอะไรสักอย่างก็ทำตัวเหมือนคนโดดจากหน้าผา ทิ้งดิ่งลงสู่ทะเลลึก เอาให้ถึงก้นมหาสมุทร แล้วค่อยถีบตัวเองขึ้นมาให้พ้นผิวน้ำอีกครั้ง ดำดิ่งลงไปแบบนั้นมันสะใจดี ไหนๆ จะเศร้าก็เศร้าให้สุด
อาจเป็นเพราะผมไม่ใช่วัยรุ่นมุทะลุแบบเดิม อาจเป็นเพราะผมเหลือเวลาในโลกใบนี้น้อยลง เดี๋ยวนี้ผมจึงพยายามไม่ใช้เวลากับความเสียใจมากเท่าเดิม และมีวิธีรับมือกับความผิดหวังในรูปแบบใหม่ ตอนเด็กๆ เราอาจกรอกเหล้าเข้าปาก แต่โตขึ้นมาผมกลับคิดว่าเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด เราต้องขับเหงื่อออกจากร่างกาย
ฟังดูคล้ายพ่อหนุ่มอกหักในหนังชุงกิงฯ แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว ผมจะค่อยๆ เล่าให้คุณฟังก็แล้วกัน
ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเริ่มมั่นใจว่าคุณคงไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับผมแน่ๆ จากการอ่านข้อความแล้วไม่ตอบ ทำตัวเป็นจอมยุทธ์เส้าหลินที่ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ผมรู้ดีว่าถ้าพยายามมากไปกว่านี้ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีกันน่าจะลดน้อยถอยลงจนไม่เหลืออะไรให้จดจำ ผมรู้ทันทีในเย็นวันนั้นว่า-กูต้องวิ่งแล้ว
การออกวิ่งมีความมหัศจรรย์อันน่าทึ่งทั้งในแง่สารเคมีในสมองและในแง่จิตวิทยา ยิ่งวิ่งผมก็ยิ่งเข้าใจว่า เหตุใด ฟอเรสต์ กัมป์ จึงออกวิ่งไปโดยไม่รู้จุดหมายตอนที่เขาผิดหวัง
โลกมีเรื่องให้เราผิดหวังมากมาย ไม่เฉพาะอกหักจากความรัก คนเราอกหักจากความฝัน จากความคาดหวัง จากมิตรสหาย จากการงาน จากการเรียน จากอะไรได้อีกล้านแปด สาเหตุอาจจะต่าง แต่อาการของมันไม่ต่างกัน เราจะรู้สึกร้าวๆ ที่ใจ หวิวๆ เหมือนน็อตบางตัวหลุดจากร่าง เรารู้สึกสิ้นไร้แรงพลัง ไม่มีความมั่นใจ หมดแรง และรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะยืนขึ้นมาเพื่อก้าวต่อไปในวันพรุ่งนี้ กระทั่งบางทีก็ไม่รู้ว่าจะก้าวไปทางไหน
ผมพบว่าเมื่อไม่รู้ว่าจะก้าวไปไหนก็ให้ก้าวออกไปก่อน เดี๋ยวเท้าทั้งสองจะพาเราไปสู่ ‘ที่ใหม่’ เอง ทันทีที่สวมรองเท้าแล้วเริ่มก้าวแรก ตัวเราจะก้าวออกไปจากจุดเดิมแห่งความผิดหวังที่กักขังเราไว้ เคลื่อนไปสู่ภาวะใหม่ที่ไม่ซ้ำซาก ใช่, การวิ่งทำให้เราเหนื่อย หอบ หายใจแรง และนั่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้เราได้ก้าวออกมาจากความคิดวนเวียนกับอดีตไม่รู้จบ ความเหนื่อยทำให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะ ถึงจะคิดฟุ้งก็คิดไม่ได้ไกล ไม่นานนักเราจะกลับมาใส่ใจกับก้าวซ้ายขวาที่กำลังก้าวไป
ระหว่างวิ่ง เราจะสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น มันกำลังสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ใจเต้นแรง มีพลัง เรารู้สึกได้ทันทีว่าหัวใจของเรายังโอเค ไม่ได้หมดเรี่ยวแรงแบบที่คิดไปเอง
หากวิ่งต่อเนื่อง เราจะได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของหัวใจ การวิ่งทำให้หัวใจแข็งแกร่งขึ้น (แบบตรงตัว) มันจะค่อยๆ ฟื้นฟูหัวใจที่ไม่มีเรี่ยวแรงให้กลับกลายเป็นใจที่มีกำลังวังชา และยิ่งฝึกฝนฝึกซ้อมให้มากยิ่งขึ้น หัวใจก็จะค่อยๆ กลายเป็นใจที่อ่อนแอน้อยลง เหนื่อยยากขึ้น ท้อยากขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น ไปได้ไกลขึ้น นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด การฟื้นฟูความเข้มแข็งของหัวใจในทางกายภาพจะค่อยๆ ฟื้นฟูความเข้มแข็งของหัวใจในเชิงนามธรรมไปพร้อมกัน
เราจะค่อยๆ รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เมื่อเราทำได้มากกว่าที่เคยทำ และยิ่งรู้สึกดีในบางวันที่เราตั้งใจจะวิ่งแค่ห้ากิโลเมตร แต่เมื่อใกล้ถึงกิโลเมตรที่ห้าแล้วใจบอกว่ายังไหว แล้วเราวิ่งต่อไปได้ถึงสิบ
คำว่า ‘ใจบอกว่ายังไหว’ นั้นหมายความตามนั้นจริงๆ นั่นคือหัวใจที่กำลังสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างมันส่งสัญญาณว่า ‘ยังได้อีก’ เช่นนี้แล้วการวิ่งจึงเป็นกิจกรรมที่เชื่อมต่อโดยตรงกันกับหัวใจอย่างเรียบง่ายอย่างยิ่ง
วิ่ง-แล้วรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นอยู่
วิ่ง-แล้วรู้สึกได้ว่าหัวใจค่อยๆ แข็งแรงขึ้น
วิ่ง-แล้วค่อยๆ ผลักความเป็นไปได้ออกไปให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ
วิ่ง-แล้วตรวจสอบสัญญาณว่า ‘ใจยังไหว’ อยู่หรือเปล่า
คุณรู้ไหมว่า มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งแนะนำผมว่า ถ้าคุณตั้งใจจะวิ่ง คุณอย่าเหยาะแหยะ ตอนอายุห้าสิบปี เขาวิ่งวันละสิบกิโลเมตร ผมถามถึงความถี่ เขาตอบว่าสัปดาห์ละห้าวัน แน่นอนผมตกใจ เขาสอนว่า “ถ้าคุณตั้งใจทำอะไรแล้วใช้เวลากับมันไม่ถึง 50% ของเวลาที่มี นั่นแปลว่าคุณยังไม่ตั้งใจจริง อยากวิ่งคุณต้องวิ่งให้ได้สัปดาห์ละมากกว่าสี่วัน ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้ววันที่ไม่วิ่งจะค่อยๆ กลืนกินวันที่วิ่งไปจนหมด”
เขายังสอนให้ผมวิ่งทะลุกำแพงไปเรื่อยๆ หากเคยวิ่งห้ากิโลเมตร ให้ลองวิ่งไปถึงสิบ และเมื่อวิ่งสิบจนอยู่ตัวแล้ว ให้ลองผลักกำแพงตัวเองในบางวันไปวิ่งที่สิบห้ากิโลเมตร จากนั้นก็ค่อยๆ ผลักไปเรื่อยๆ จนถึงสามสิบกิโลเมตร ใช่, เขาบอกกับผมว่า “คุณควรลองลงมาราธอนสักครั้งในชีวิต ถ้าวิ่งมาราธอนได้ คุณจะรู้สึกเลยว่าชีวิตนี้ทำอะไรก็ได้”
จากนั้น ผมจึงเริ่มวิ่งสัปดาห์ละห้าวันเป็นอย่างน้อย แค่สองสัปดาห์ผมผลักกำแพงสิบกิโลเมตรที่เคยกั้นขวางผมไว้เนิ่นนานไปจนถึงสิบห้ากิโลเมตรแล้ว และจากสภาพหัวใจตอนวิ่งซึ่งเหนื่อยน้อยลงเรื่อยๆ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือน ผมน่าจะลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้
นี่คือการฟื้นคืนสภาพของผมด้วยการวิ่งล้วนๆ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ทันทีที่เราวิ่งทะลุกำแพงที่เคยกั้นเราไว้สู่ความเป็นไปได้ใหม่ เราพลันรู้สึกทันทีว่าตัวเราได้กลายเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว ไม่ใช่คนปวกเปียกผู้พ่ายแพ้อีกต่อไป เราสัมผัสได้ถึงความมั่นใจว่าเราจะมาถึงระยะทางนี้ได้อีก กระทั่งอาจไปได้ไกลขึ้น ผมมองตัวเลขที่เคยชินเปลี่ยนไปจากเดิม ผมรู้สึกว่าห้ากิโลเมตรกลายเป็นเรื่องที่ทำได้แน่นอน สิบกิโลเมตรควรเป็นระยะมาตรฐานที่วิ่งได้ทุกวัน และยี่สิบกิโลเมตรก็ไม่ได้ไกลจนน่ากลัวเหมือนเดิมแล้ว
พอเราเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน
พอเราแข็งแกร่งขึ้น โลกก็น่ากลัวน้อยลง
แน่ล่ะ, หากนักวิ่งมาแอบอ่านจดหมายที่ผมเขียนเล่าให้คุณฟัง เขาคงนั่งขำอยู่ในใจว่าไอ้บ้านี่มานั่งโม้อะไรกับการวิ่งได้แค่สิบห้ากิโลเมตร หรือเป้าหมายแค่ฮาล์ฟมาราธอน ผมรู้ดีว่าตัวเองยังอ่อนด้อยเหลือเกินหากเทียบกับผู้แข็งแกร่งทั้งหลาย แล้วเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่งก็เพิ่งบอกผมว่า วิ่งเยอะไปก็อาจจะน่วมได้ แถมยังแนะนำตารางการฝึกมาราธอนให้อีกด้วยว่า วิ่งแบบสลับวิธีการไปเรื่อยๆ จะสร้างกล้ามเนื้อหลายส่วนและฝึกหัวใจได้มากกว่าการวิ่งระยะยาวทุกวัน นั่นแหละ ผมแค่เป็นนักวิ่งต๊อกต๋อยที่รู้สึกดีกับความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายเท่านั้นเอง ผมเพียงอยากเขียนมาบอกคุณว่า ผมดีขึ้นมากแล้ว มากเสียจนอาจจะดีกว่าตอนก่อนที่เราจะรู้จักกัน ผมอยากให้คุณสบายใจ ความเข้มแข็งของผมน่าจะทำให้ชีวิตของคุณราบรื่น เพราะความอ่อนแอของคนอกหักมักจะวอแวอีกฝ่ายเสมอ หากเคยทำแบบนั้นก็ต้องขอโทษด้วย
เมื่อได้เรียนรู้จากการออกวิ่งครั้งนี้ ผมจึงทดไว้ในใจว่า หากมีเพื่อนคนไหนอกหักกับอะไรก็ตาม แล้วมันชวนผมมานั่งร้องไห้ด้วยกัน ผมอาจอนุญาตให้เพื่อนร้องไห้ได้สักสามวัน แล้วจะตบไหล่มันบอกให้ “ไปวิ่ง”
เรื่องมากมายในโลกนี้ที่ทำให้เราผิดหวัง ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมกะเกณฑ์มันได้ ผลลัพธ์จึงออกมาผิดเพี้ยนตามตัวแปรนอกการควบคุมของเรา แต่การวิ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่มีตัวแปรอื่น มีแต่เรากับใจของเราเท่านั้น หากสั่งใจให้สวมรองเท้าได้ เราย่อมได้วิ่ง และเมื่อได้วิ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีบิดพลิ้ว
เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า “การออกกำลังกายมันซื่อสัตย์กับเราที่สุด ทำเยอะได้เยอะ ทำน้อยได้น้อย ไม่เหมือนอย่างอื่น” ผมเห็นด้วยกับเขานะ
การวิ่งทำให้เรากลับมารู้สึกได้อีกครั้งว่าเราควบคุมชีวิตตัวเองได้ อย่างน้อยก็ในส่วนนี้ของชีวิต เรากลับมาเป็น ‘ผู้กระทำ’ อีกครั้ง ไม่ใช่ ‘ผู้ถูกกระทำ’ จากเรื่องที่เราอกหัก ไม่ได้นอนแอ้งแม้งยอมให้ความเจ็บช้ำกระทำชำเรา ยอมให้ความผิดหวังเหยียบย่ำเราให้จมดิน เราต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือก เลือกว่าจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอ เรากลับมาเข้มแข็งได้จริงๆ เพียงแค่สม่ำเสมอและมุ่งมั่น
ผมไม่รู้ว่าคุณอ่านจดหมายฉบับนี้เสร็จแล้วคุณจะเริ่มรู้สึกอยากวิ่งเหมือนผมบ้างไหม ไม่เป็นไร ชีวิตคุณ ผมไม่ก้าวก่าย ผมหวังว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีกับผู้คนในโลกของคุณ และหวังว่าเราอาจได้บังเอิญพบเจอกันบ้าง พูดคุยกันบางเรื่อง ผมเชื่อว่าผมจะทำได้ดีขึ้นในวันที่แข็งแรงขึ้นมากแล้ว
อ้อ! ส่วนเรื่องหนังหว่องฯ ที่เกริ่นไว้น่ะ ผมจะบอกคุณว่า ถึงวันนี้ผมไม่เชื่อแล้วว่า คนเราวิ่งเพื่อให้เหงื่อไหลหมดจนไม่เหลือให้เป็นน้ำตา เพราะน้ำตาของมนุษย์ไม่มีวันหมด มันพร้อมจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ ในวันที่ได้พบและต้องพรากจากสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง
ตราบที่หัวใจยังเปลี่ยนจังหวะการเต้นเมื่อได้พบสิ่งสำคัญ น้ำตายังมีโอกาสไหลได้เสมอ
ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมอาจบอกคุณว่า ในวันที่ร้องไห้ก็แค่ส่งข้อความมาบอกกัน ผมจะไปนั่งเป็นเพื่อนข้างๆ ตู้เพลงตู้เดิม แล้วไปเปิดเพลงเศร้าเคล้าเหล้ายี่ห้อโปรดของคุณ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าอาจไม่ค่อยมีประโยชน์ที่ผมจะไปปรากฏตัวในโลกของคุณอีก ในวันที่อกหัก คนที่เยียวยาคุณได้ดีที่สุดคือตัวคุณเอง
อย่าปล่อยให้ตัวเองร้องไห้นานนัก
อกหัก จงออกไปวิ่ง
Don’t cry, run!
แต่ก็นั่นแหละ คนแบบผมถือดียังไงมาแนะนำคุณ
เอาเป็นว่า ผมตั้งใจเขียนมาส่งข่าวว่าผมแข็งแรงดี และอยากเห็นคุณแข็งแรงเช่นกัน
ปรารถนาดีเสมอ
ผมเอง
ภาพประกอบ: Suminkgy
Tags: LOVE, นิ้วกลม, Run, Relationship