“Just look at the degree on that chick”
No man ever
(ดูใบปริญญาของสาวคนนั้นสิ
ไม่มีผู้ชายคนไหนออกมาพูดแบบนี้หรอก)
คำว่า ‘Chick’ เป็นคำสแลงมีความหมายว่า ผู้หญิง สาวๆ หรือในบางบริบทอาจนำมาใช้แทนคำว่า ‘สาวน้อย’ ที่หลายครั้งใช้เพื่อลดทอนและด้อยค่าผู้หญิง ว่าเป็นเพียงแค่สาวน้อยที่ไร้ความสามารถ
ประเด็นนี้เป็นที่พูดถึงเมื่อ ดร.จูเลียต เทอร์เนอร์ (Dr.Juliet Turner) นักศึกษาปริญญาเอกสาขาวิวัฒนาการระบบนิเวศและชีววิทยา Oxford University โพสต์รูปภาพของเธอบนแพลตฟอร์ม X พร้อมระบุข้อความว่า หลังจากที่ทำวิจัยมา 4 ปี ในที่สุดเธอก็สามารถสอบวิทยานิพนธ์ผ่านแล้ว พวกคุณสามารถเรียกฉันว่า ดอกเตอร์ได้แล้วนะ
ท่ามกลางคำชื่นชมมากมายจากคนในโซเชียลมีเดีย กลับมีข้อความโจมตีจากผู้ใช้งานบางกลุ่มที่ไม่รู้สึกยินดีกับความสำเร็จของเทอร์เนอร์

“อายุ 30 แล้ว ยังไม่มีสามี ไม่มีลูก… แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยเธอก็ยังมีแมวเป็นเพื่อน”
(You are 30 years old with no husband or kids… but hey, at least you have your cats.)
“เดี๋ยวนี้พวกเขาแจกปริญญาเอกให้ใครก็ได้ไปหมดแล้ว”
(They are just handing out doctorates to anyone now.)
“ช่วงเวลานั้นเธอสามารถมีลูกได้ตั้ง 4 คนแล้วด้วยซ้ำ”
(You could have had four babies at that time.)
ประโยคประชดประชันและถ้อยคำดูถูก ทั้งหมดล้วนเป็นข้อความที่มาจากผู้ชาย ดูเผินๆ ชุดความคิดนี้อาจคล้ายกับเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ความจริงแล้วนี่คือคำพูดดูถูกที่กล่าวโดยมนุษย์ในปี 2025 ท่ามกลางโลกที่กำลังเดินหน้าไปตามปฏิทิน แต่ชุดความคิดของคนเหล่านี้ยังวนอยู่กับที่เป็นนาฬิกาแอนาล็อก
ความเป็นชายเปราะบางยิ่งกว่าแก้ว
ดร.สตีเฟน ไวต์เฮด (Dr. Stephen Whitehead) นักสังคมวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านเพศศึกษา เคยให้ความเห็นเอาไว้ว่า ผู้ชายบางคนในปัจจุบันแสดงพฤติกรรมโจมตีผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายจนน่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นแสดงออกถึงสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นหญิงที่อิสระ (Independent Femininity) ความปรปักษ์ที่เคยมุ่งเป้าโจมตีไปที่ผู้หญิงกลุ่มเฟมินิสต์ ตอนนี้กลับกลายเป็นการโจมตีผู้หญิงทุกกลุ่มรวมถึงกลุ่ม LGBTQIA+ ด้วยเช่นกัน ซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านเเหล่านี้แสดงให้เห็นความเปราะบางของผู้ชายบางกลุ่มได้อย่างชัดเจน หรือเรียกว่า Fragile Masculinity
‘ความเป็นชายที่เปราะบาง’ คือความวิตกกังวลของผู้ชายที่รู้สึกว่าตนเองต้องพยายามทำตัวให้ ‘แมน’ หรือ ‘ประสบความสำเร็จ’ ตามมาตรฐานและค่านิยมทางเพศในสังคม และมักรู้สึกไม่มั่นคงหรืออับอายเมื่อต้องแสดงออกว่าตนเองนั้นอ่อนแอ ความเป็นชายจึงไม่ใช่แค่เพียงอัตลักษณ์ส่วนบุคคล แต่คือบรรทัดฐานทางสังคมที่ผู้ชายต้องเข้าถึงอยู่เสมอ และจากกรณีของเทอร์เนอร์สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชายที่เปราะบางจากการเห็นผู้หญิงประสบความสำเร็จ และมองว่าอัตลักษณ์ของเพศชายกำลังถูกท้าทาย
ผลโต้กลับเมื่อผู้หญิงเก่งเกินกรอบ
งานวิจัย Backlash Effects for Disconfirming Gender Stereotypes in Organizations (2008) อธิบายถึงปรากฏการณ์การตอบโต้หรือการสะท้อนกลับที่รุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขัดแย้งกับความคาดหวังหรือบรรทัดฐานทางสังคม โดยในสังคมยังคงมี การเหมารวมทางเพศสภาพ (Gender Stereotypes) ฝังรากลึกอยู่ เช่น การเป็นผู้หญิงต้องอ่อนโยน ไม่แสดงถึงอำนาจที่มากเกินไป ต้องแต่งงานและเลี้ยงดูลูก ตามบทบาททางเพศที่ถูกกำหนดไว้
เมื่อไรก็ตามที่ผู้หญิงแสดงพฤติกรรมที่อยู่นอกกรอบ เช่น การเป็นหัวหน้า มีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในชีวิต พวกเธอกลับไม่ได้รับการชื่นชมอย่างที่ควรจะเป็น และต้องเผชิญกับการประเมินค่าในแง่ลบหรือถูกมองว่าสิ่งนี้ ‘ไม่เป็นผู้หญิง’ ซึ่งจะมีเพียงผู้หญิงด้วยกันเองกับผู้ชายบางคนที่ให้การสนับสนุนและแสดงความยินดีด้วยใจจริง
การตอบโต้กลับที่รุนแรงนี้ไม่ใช่เพราะผู้หญิงทำได้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเธอเหล่านี้ทำได้ดีในแบบที่สังคมไม่คุ้นเคย จะเห็นได้ว่าการโจมตีต่างๆ ไม่ได้ตั้งใจจะตั้งคำถามถึงความสามารถของผู้หญิงโดยตรง แต่เป็นการโจมตีเชิงบุคลิก ตัวตน และคุณค่าความเป็นผู้หญิงแทน จนกลายเป็นประโยคที่ว่า ‘เก่งไปก็ไม่มีใครเอา’ ซึ่งล้วนเป็นรูปแบบของ Backlash Effects ในพื้นที่สาธารณะ
อาวุธตอบโต้ ‘Just look at the degree on that chick’
ท่ามกลางถ้อยคำดูถูก เสียดสี บนโลกออนไลน์ เพียงเพราะรูปภาพและข้อความของผู้หญิงคนหนึ่งแค่โพสต์เดียว ทำให้ประโยค ‘Just look at the degree on that chick’ กลายเป็นไวรัลขึ้นมาในชั่วข้ามคืน เหล่าเพื่อนสาวจำนวนมากพากันโพสต์รูปภาพจบการศึกษาของตนเองพร้อมกับใส่ข้อความดังกล่าวเอาไว้เพื่อตอบโต้ต่อคำดูถูกด้อยค่าพวกเธอ
การใช้ปริญญาและการศึกษามาโต้ตอบไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งในสังคม เชื่อมโยงกับบรรทัดฐานที่ผู้หญิงเริ่มปฏิเสธบทบาทที่ว่า ‘ต้องสุภาพ อ่อนโยน และไร้ความสามารถ’ การโต้ตอบด้วยประโยคที่เคยทิ่มแทงตัวเองจึงเหมือนเป็นการประกาศว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องนุ่มนวลและทำให้ตัวเองเล็กลงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเยอะเย้ยอีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว ในขณะที่ความเป็นชายที่เปราะบางยังต้องพึ่งพาการกดทับผู้หญิงเพื่อค้ำจุนตัวตนของตนเอง ผู้หญิงอีกจำนวนมากเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการยืนหยัดในความสำเร็จของพวกเธอเอง เรื่องนี้จึงไม่ใช่การตั้งคำถามว่า ผู้หญิงควรเก่งแค่ไหน แต่เป็นการถามกลับไปยังสังคมว่า พร้อมหรือยังที่จะไม่ติดหล่มบทบาททางเพศ และยอมรับความสำเร็จของผู้หญิง และคนอื่นๆ อีกหลายกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน
Tags: Gender, Feminist, women, บทบาททางเพศ, เพศหญิง




