ในที่สุด ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์เป็นเจ้าภาพก็กำลังจะได้บทสรุปในคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) โดยมีคู่ชิงชนะเลิศคืออาร์เจนตินาและฝรั่งเศส อาร์เจนตินาที่นำทัพโดย ลิโอเนล เมสซี หมายมั่นปั้นมืออย่างยิ่งในการคว้าโทรฟีนี้ให้สำเร็จ หลังห่างเหินจากการคว้าแชมป์มานานกว่า 36 ปี ขณะที่ฝรั่งเศสในฐานะแชมป์เก่า (2018) ที่มีสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุคอย่าง คีเลียน เอ็มบาปเป เป็นตัวชูโรง ก็ต้องการสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์โลกได้ในรอบ 60 ปี หลังจากบราซิลเคยทำได้ในปี 1958 และ 1962
ความน่าสนใจของนัดชิงชนะเลิศในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่สถิติของทั้งอาร์เจนตินาและฝรั่งเศส ที่ต่างคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วคนละสองสมัย (อาร์เจนตินา 1978, 1986), (ฝรั่งเศส 1998, 2018) ดังนั้น นัดชิงชนะเลิศที่สนาม Lusail Stadium ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ทั้งสองชาติจะคว้าแชมป์โลกสมัยที่สาม ขึ้นไปตามหลังอิตาลี (4 สมัย) เยอรมัน (4 สมัย) และบราซิล (5 สมัย) เพียงหนึ่งและสองสมัยตามลำดับ
ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งคู่เคยปะทะกันมาแล้ว 12 ครั้ง (ฟุตบอลโลก 3 ครั้ง, กระชับมิตร 8 ครั้ง, บราซิล อินดิเพนเดนซ์ คัพ 1 ครั้ง) อาร์เจนตินาชนะ 6 เกม ขณะที่ฝรั่งเศสชนะ 3 เกม และอีก 3 เกม จบลงด้วยผลเสมอ โดยการเจอกันล่าสุดคือฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ฝรั่งเศสชนะอาร์เจนตินา 4 ต่อ 3 ในเกมการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ผลการแข่งขันและจำนวนการคว้าแชมป์ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองชาติ ‘สูสี’ กันอย่างมาก ซึ่งรวมไปถึงอันดับโลกในฟีฟ่าแรงกิ้ง ที่ปัจจุบันอาร์เจนตินาอยู่ในอันดับที่ 3 โดยมีคะแนน 1773.88 ขณะที่ฝรั่งเศสอยู่ในอับดับที่ 4 มีคะแนน 1759.78 นอกจากนี้ จำนวนครั้งที่ทั้งสองชาติได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกก็ใกล้เคียงกันมาก โดยอาร์เจนตินาเคยลงแข่งขัน 18 ครั้ง ขณะที่ฝรั่งเศส 16 ครั้ง
นอกจากเรื่องสถิติที่ผ่านมาที่ทำให้เกมนัดชิงชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2022 น่าติดตามแล้ว ในส่วนของ ‘ทีม’ และ ‘นักเตะ’ ของทั้งสองชาติก็น่าสนใจ
ปัจจุบัน อาร์เจนตินาทำประตูรวมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ไป 12 ประตู ส่วนฝรั่งเศสทำได้ 13 ประตู โดยสองนักเตะที่ทำประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็มาจากทั้งสองชาติ คือ ลิโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา) และ คีเลียน เอ็มบาปเป (ฝรั่งเศส) ที่ทำไปคนละ 5 ประตู โดยชื่อแรกคือสุดยอดนักเตะหมายเลขหนึ่งแห่งยุคสมัย ผู้ได้รับขนานนามว่า G.O.A.T (Greatest of All Time) เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 7 สมัย ซึ่งมากที่สุดตลอดกาล ขณะที่ชื่อหลัง คือดาวรุ่งพุ่งแรงที่ถูกมองว่าจะกลายเป็นว่าที่สุดยอดนักเตะของปัจจุบันและอนาคต เจ้าของสถิติ ‘นักเตะอายุน้อย’ ที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล
หลังจากที่ทั้งสองชาติฝ่าด่านรอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบรองชนะเลิศ ที่อาร์เจนตินาเอาชนะโครเอเชีย 3 ต่อ 0 และฝรั่งเศสเอาชนะม้ามืดอย่างโมร็อกโก 2 ต่อ 0 ก็มีสถิติที่บันทึกไว้ในเว็บไซต์ฟีฟ่าที่น่าสนใจ อาทิ การผ่านบอล (Passes) ที่อาร์เจนตินาทำไป 3,727 ครั้ง และผ่านบอลสำเร็จถึง 3,297 ครั้ง ขณะที่ฝรั่งเศสผ่านบอล 3,140 ครั้ง สำเร็จ 2,773 ครั้ง
ส่วนสถิติในการยิงประตูในรอบที่ผ่านมา อาร์เจนตินามีโอกาสทำประตู 83 ครั้ง ส่วนฝรั่งเศส 91 ครั้ง โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ อาร์เจนตินาสร้างโอกาสในการทำประตูภายในกรอบเขตโทษ (Attempts At Goal Inside The Penalty Area) 56 ครั้ง น้อยกว่าฝรั่งเศสที่ 66 ครั้ง ขณะที่การสร้างโอกาสในการทำประตูนอกกรอบเขตโทษ (Attempt At Goal Outside The Penalty Area) อาร์เจนตินาทำไป 27 ครั้ง มากกว่าฝรั่งเศสที่ 25 ครั้ง
โดยทั้งสองสถิติข้างต้น เชื่อมโยงไปถึง ‘ลูกครอส’ หรือการเปิดบอลจากด้านข้างเข้าไปทำประตู (Crosses) ที่อาร์เจนตินาทำไป 95 ครั้ง ขณะที่ฝรั่งเศสทำไปถึง 122 ครั้ง ซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะในแผนการเล่นเกมรุกของฝรั่งเศสนั้นมีศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่มีความสูงถึง 192 ซม. ขณะที่อาร์เจนตินามีตัวเป้าเป็น เลาตาโร มาร์ติเนซ ที่มีความสูง 174 ซม. ทำให้ฝรั่งเศสสามารถเลือกโจมตีด้วย ‘ลูกกลางอากาศ’ ได้แน่นอนกว่า
ขณะที่เกมรับของทั้งคู่เสียไป 5 ประตูเท่ากัน แต่อาร์เจนตินาดูจะมีภาษีกว่า เนื่องจากเก็บคลีนชีต (Clean Sheet) หรือไม่เสียประตู 3 เกม ส่วนฝรั่งเศสเก็บคลีนชีตได้เพียงนัดเดียว
จะเห็นได้ว่าสถิติของทั้งสองชาติถือว่าใกล้เคียงกันมาก แม้อาจจะมีเรื่องสถิติการพบกัน 12 ครั้ง ที่อาร์เจนตินาดูจะข่มฝรั่งเศสได้มากกว่า แต่เมื่อเป็น ‘ฟุตบอลโลก’ โดยเฉพาะกับนัดชิงชนะเลิศ ความเข้มข้นย่อมมากกว่า และทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ใน 90 นาทีของการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นการวัดกึ๋นของทั้งโค้ชและนักเตะ ที่จะงัดฟอร์มสุดยอดออกมาบรรเลงบนสนามได้มากน้อยกว่ากันขนาดไหน
ใครจะสมหวังหรืออกหัก ชาติใดจะคว้าโทรฟีใหญ่ที่สุดของการแข่งขันฟุตบอลไปครองเป็นสมัยที่ 3 อีกไม่นานเราจะได้รู้ไปพร้อมกัน
ข้อมูลอ้างอิง
- Telegraph.co.uk
- Fifa.com
- Goal.com
- Olympics.com