ความหมายของ ‘แชมเปียน’ คืออะไร?
ในโลกของฟุตบอลนั้นไม่จำเป็นต้องมาตีความในการเป็นแชมป์ให้เสียเวลา เพราะทั้งโค้ช แฟนบอล และผู้เล่นต่างทราบดีอยู่แล้วว่าความหมายของการเป็นแชมป์นั้นคือการเป็นที่หนึ่ง และมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งนี้ไปครอง
ไม่ว่าจะเป็นทีมที่มีสตาร์ดังล้นทีม หรือเป็นทีมที่มีเพียงแค่นักเตะเกรดบี หากคุณสามารถเอาชนะทีมฝ่ายตรงข้าม และเข้ารอบตามกฎกติกาที่รายการแข่งขันนั้นตั้งไว้ จนสามารถไต่เต้าไปจนถึงตำแหน่งอันดับสูงสุดได้ ไม่ว่าฟอร์มการเล่นจะแย่เพียงใด หรือมีข้อพิพาทเกิดขึ้นอย่างไร แชมเปียนก็คือแชมเปียน มีเพียงผู้ชนะที่มีสิทธิ์พูด และเราได้เห็นกันบ่อยครั้งแล้วว่า ไม่ใช่ทีมที่ดีกว่าเท่านั้นที่จะได้ครอบครองตำแหน่งแชมป์
‘ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก’ สังเวียนของแชมป์เหนือแชมป์
แต่ละประเทศจะมีรายการแข่งขันฟุตบอลเป็นของตัวเองในรูปแบบการเก็บคะแนนของแต่ละดิวิชัน แต่รายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนั้นเป็นรายการพิเศษ เพราะนอกจากจะมีประวัติยาวนานถึง 66 ปี ยังเป็นการแข่งขันสุดท้าทายของเหล่าทีมที่ดีที่สุดของแต่ละประเทศซึ่งเป็นสมาชิกของ ‘สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป’ หรือ ‘ยูฟ่า’ ทั้งหมด 32 ทีมมาทำการแข่งขันในรูปแบบของทัวร์นาเมนต์ เพื่อที่จะเฟ้นหาสุดยอดทีมแห่งยุโรปในปีดังกล่าว จึงทำให้สำหรับนักเตะและโค้ชแล้ว การได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดผู้เล่นที่พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าฯ นับเป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดของสายอาชีพของวงการฟุตบอล
แน่นอนว่าที่เกริ่นไปอาจไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดที่จะได้ครอบครองถ้วยบิ๊กเอียร์ใบนี้
ค่ำคืนแห่งความฝันที่คัมป์นู และปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล
นักฟุตบอลทุกคนต่างเข้าใจว่า ทีมที่เล่นดีไม่ได้เป็นทีมที่ชนะเสมอไป แต่จะมีนักฟุตบอลกี่คนที่ทำใจได้ หากทีมของคุณกำลังเข้าใกล้ถ้วยแชมป์ในระยะเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ความฝันดังกล่าวต้องพังทลายลงอย่างน่าเสียดาย
ในเกมการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศของฤดูกาล 1998/1999 เป็นการพบกันระหว่างยอดทีมจากเกาะอังกฤษอย่าง ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และยอดทีมจากเยอรมันอย่าง ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิก ที่สนาม ‘คัมป์นู’ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
คำ่คืนนั้นที่คัมป์นู ใครๆ ก็ต่างก็ฟันธงว่า บาร์เยิร์น มิวนิก ‘มาแน่’ เพราะจากเกมก่อนหน้านั้น กว่าจะมาถึงนัดชิงเรียกได้ว่าปีศาจแดงต้องสะบักสะบอมจากการที่เอาชนะสองยอดทีมจากลีกอิตาลีอย่าง ‘อินเตอร์ มิลาน’ และ ‘ยูเวนตุส’ ไปแบบหืดขึ้นคอ มิหนำซ้ำยังขาดผู้เล่นคนสำคัญอย่างกัปตันทีม ‘รอย คีน’ และกองกลางคนสำคัญอย่าง ‘พอล สโคลส์’ ซึ่งดูจากขุมกำลังของบาร์เยิร์น มิวนิก ที่นำทัพโดย ‘โลธาร์ มัทเธอุส’ ดูอย่างไรแล้วก็คงเป็นฝ่ายของเสือใต้ที่น่าจะคุมเกมได้อย่างหมดจด
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อทางบาเยิร์น มิวนิก ได้ทำประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 6 ของเกม และยังสามารถควบคุมเกมได้อยู่หมัดตลอด 90 นาที ในระดับที่ว่ายอดทีมจากเกาะอังกฤษนั้นเล่นไม่ออกเลยทีเดียว ถึงจะมีลูกวูบวาบให้เห็นบ้าง แต่ว่าทุกคนในสนามต่างเชื่อว่าผู้ที่ได้จะได้ถือถ้วยแชมป์ในครั้งนั้นคงจะหนีไม่พ้นบาเยิร์น มิวนิกอย่างแน่นอน รวมไปถึงโค้ชและนักเตะทุกคนในสนาม ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม เส้นชัยอยู่ห่างไปไม่ถึงครึ่งก้าวด้วยซ้ำ
แต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายลงเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมายิงประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 2 ประตูรวดได้อย่างเหลือเชื่อ และเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หลังจบเกมด้วยสกอร์ 2-1 คว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กลับโรงละครแห่งความฝัน ทิ้งให้นักเตะบาเยิร์น มิวนิกต้องตกอยู่กับฝันร้าย ที่แม้ตัวของพวกเขาจะกลับไปยังเยอรมัน แต่หัวใจของพวกเขาได้แตกสลายไปแล้วที่คัมป์นู
อีกเหตุการณ์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดการแข่งขันในโลกของฟุตบอล คือการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ประจำฤดูกาล 2004/2005 ระหว่างเจ้ายุโรปแห่งเกาะอังกฤษอย่าง ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล และยอดทีมจากอิตาลี ‘ปีศาจแดงดำ’ เอซี มิลาน ณ สนามกีฬาโอลิมปิกอตาเติร์ก กรุงอิสตันบูล
เป็นอีกครั้งที่หากเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ ทีมเจ้ายุโรปของอังกฤษดูเหมือนจะมีขุมกำลังที่ด้อยกว่าไม่น้อย เพราะในขณะนั้น เอซี มิลานมีทั้ง อันเดรีย ปีร์โล หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาล เฮอร์นัน เครสโป กองหน้าจอมถล่มประตูชาวอาร์เจนตินา ที่สามารถยิงได้ทั้งสองเท้า และปราการเหล็กแห่งมิลานผู้ที่พาปีศาจแดงดำคว้าถ้วยยุโรปมาแล้วถึง 5 สมัยอย่าง เปาโล มัลดินี
แน่นอนว่านักเตะ 11 ตัวจริงของลิเวอร์พูลในขณะนั้นก็ไม่ได้แย่นัก ไม่ว่าจะเป็น ชาบี อลอนโซ, สตีเวน เจอร์ราด, เจอร์ซีย์ ดูเด็ค และหลุยส์ กาเซียร์ ชื่อที่กล่าวมาล้วนเป็นยอดนักเตะระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าจะเทียบกับเอซี มิลานในขณะนั้น คงตอบได้เลยว่าภาษีของปีศาจแดงดำดีกว่ามาก
และก็เป็นไปตามคาดเมื่อเริ่มเกมเพียงแค่ 55 วินาที เปาโล มัลดินี ทำประตูขึ้นนำให้กับเอซี มิลานได้ และบวกเพิ่มอีก 2 ประตูจากยอดกองหน้าอย่างเครสโป จบครึ่งแรก เอซี มิลานคุมเกมได้อย่างหมดจดนำยอดทีมจากเกาะอังกฤษไปอยู่ที่ 3-0 ใครๆ ก็คิดว่าเกมมันได้จบลงแล้วเพราะเอซี มิลานในยุคนั้นจัดว่าไร้เทียมทาน อย่าว่าแต่จะขโมยสามประตูกลับคืนมา ประตูเดียวก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว
แต่นี่คือโลกของฟุตบอล ไม่น่าเชื่อว่าครึ่งหลังจะกลายเป็นหนังคนละม้วน เมื่อยอดทีมจากมิลานถูกตีเสมอ 3-3 จนทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ ก่อนตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ และน่าเหลือเชื่อกว่าเดิม เมื่ออันเดรีย ปีร์โลสังหารจุดโทษพลาด ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไปครอง
‘ตำแหน่งผู้ชนะ’ ไม่สำคัญเท่า ‘ทัศนคติของผู้ชนะ’
สิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูลทิ้งไว้ให้กับทีมคู่แข่งสิ้นท่าทีนั้นคือความเจ็บใจ ความผิดหวัง และความว่างเปล่า ที่เรียกได้ว่าทำลายจิตใจของเหล่ายอดนักเตะให้พังทลายลงเป็นเสี่ยงๆ ความเจ็บช้ำที่กลายเป็นปมในใจของนักเตะบางคนยาวนานมาจนถึงวันนี้
ฝั่งบาเยิร์น มิวนิก ‘ซามูเอล คุฟฟูร์’ กองหลังที่ได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะแมตช์ เผยว่า ฝันร้ายที่คัมป์นูยังคงคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในปัจจุบันเขาก็ยังคงทำใจไม่ได้เวลาดูเทปบันทึกการแข่งขันของเกมดังกล่าว
แม้กระทั่ง มาริโอ บาสเลอร์ ผู้ที่ยิงประตูขึ้นนำในวันนั้น ต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่เขามืดแปดด้าน และมีเพียงสุราเท่านั้นที่จะช่วยให้ยอดกองหน้าผู้นี้สามารถข้ามผ่านแต่ละวันไปได้ โดยไม่ต้องจมปลักไปกับค่ำคืนอันโหดร้าย
ด้านเอซี มิลานก็เจ็บปวดไม่แพ้กันโดย อันเดรีย ปีร์โลบอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาอยากแขวนสตั๊ด เลิกเล่นฟุตบอลอย่างถาวร เพราะไม่สามารถสลัดฝันร้ายที่อิสตันบูลลงได้ จนนักเตะในทีมเรียกอาการดังกล่าวว่า ‘อิสตันบูลซินโดรม’
การที่ทั้งสองทีมต่างรู้สึกเจ็บช้ำขนาดนั้น เพราะว่าเขาไม่เคยชินกับความพ่ายแพ้ และสิ่งที่เหมือนกันประการสุดท้ายของทั้งสองทีมคือความแค้น ความเกรี้ยวกราด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความโกรธที่ตัวเองตัวเองต้องตกอยู่ในสถานะของผู้แพ้ พวกเขามุ่งหวังในชัยชนะเกินไปจนไม่สามารถทำใจกับความพ่ายแพ้ได้
บทสรุปของผู้ชิงชังความพ่ายแพ้
หลังจากนั้นไม่นานในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกประจำฤดูกาล 2000/2001 บาเยิร์น มิวนิกได้เวียนกลับมาเจอกับผู้ที่ฝากรอยแค้นไว้อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้งในรอบ 4 ทีมสุดท้าย แต่ในครั้งนี้พวกเขาเล่นฟุตบอลอย่างไร้ความปรานี จัดการถล่มแมนฯ ยูไนเต็ดคาบ้านไปด้วยสกอร์ 3-1 และคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไปครอง โดยชนะบาเลนเซียจากการยิงจุดโทษไปได้อย่างสวยงาม
ฮีโร่ของเกมในวันนั้นเป็นอีกหนึ่งยอดนักเตะที่ได้รับความเจ็บปวดไม่แพ้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ อย่างผู้รักษาประตู โอลิเวอร์ คานส์ ที่เซฟ 3 จุดโทษ ช่วยให้ทีมตื่นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนพวกเขามาตลอด 2 ปีได้สำเร็จ
เช่นเดียวกันกับเอซี มิลาน ที่ต้องพบเจอกับลิเวอร์พูลฝันร้ายของพวกเขาอีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2006/2007 ซึ่งในครั้งนี้ ปีร์โลมีบทเรียนจากอดีต ในการเล่นวันนี้ของเอซีมิลานเรียกได้ว่ารัดกุมและรอบคอบ ซึ่งก็เป็นปีร์โลนี่เองที่ทำแอสซิสต์ให้กับฟิลิปโป อินซากี เพื่อนร่วมทีมสามารถทำประตูได้ จนทำให้เอซีมิลานคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไปได้จากการชนะลิเวอร์พูลด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1
ปีร์โลและโอลิเวอร์ คานส์ ลบฝันร้ายในอดีตของพวกเขาลงได้สำเร็จ ในขณะที่นักเตะบางคนหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมัน โลธาร์ มัทเธอุส ได้ออกจากบาเยิร์นไปในปี 2000 และไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์ยุโรปอีกเลยนับจากนั้น หรือแม้กระทั่งยอดกองหน้าอย่างเฮอร์นัน เครสโป ที่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่กลับไม่สามารถลบฝันร้าย ณ รอบชิงแชมเปียนส์ลีกของตัวเองลงได้
จึงเห็นได้ชัดเลยว่า สำหรับวงการฟุตบอลนั้น สิ่งที่สำคัญของการเป็นผู้ชนะจึงไม่ใช่ว่าคุณเคยชนะอย่างไร แต่เป็นทัศนคติที่จะทำอย่างไรให้คุณกลับมาเป็นอันดับหนึ่งได้อีกครั้งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำลายจิตใจของคุณไปแล้ว
อ้างอิง
https://www.blockdit.com/posts/5f9f00902e161d0ccf2b7943
https://www.siamsport.co.th/column/detail/69678
https://www.mainstand.co.th/catalog/1-FEATURE/2479
https://www.theguardian.com/football/blog/2014/mar/31/manchester-united-bayern-munich-samuel-kuffour
https://www.facebook.com/jingjungfootball/posts/2599404996941401/
Tags: ฟุตบอล, Game On, เอซี มิลาน, บาเยิร์น มิวนิก, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก