The Face Thailand สัปดาห์นี้หักมุมจนนึกว่าเป็น The Mask Singer เมื่อเกิดการเปลี่ยนเมนเทอร์กลางอากาศจากเมนเทอร์มาช่าเป็นเมนเทอร์คริส

คิดแล้วเสียดายเมนเทอร์มาช่ามาก เพราะเครื่องนางกำลังติดได้ที่ทีเดียว เกมกำลังสนุกเชียว แล้วจากนี้ใครจะมาสอนคำคมธรรมะสวัสดี “มีสติ!” หรือ “โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเกดนะ” ให้เราละนี่ แต่เอาเป็นว่าเอพิโสดที่ผ่านมาก่อนหายไป เมนเทอร์มาช่าก็มีซีนเบะปากที่ทรงพลังตราตรึงจนควรขึ้นทำเนียบหนึ่งในซีนที่เผ็ดที่สุดตั้งแต่มีรายการมา

ส่วนการกลับมาคราวนี้เพื่อมาทวงความฝันคืนของเมนเทอร์คริส ดูทรงว่าคงไม่ยอมมาโดนถล่มแบบซีซันก่อนแน่ ยิ่งความกดดันคราวนี้มีมากกว่าเดิม เพราะนางกระโดดเข้ามาร่วมสงครามกลางคัน (นางอุตส่าห์ได้อยู่สงบๆ แล้วเชียว…) มาแล้วทีมดิ่งลงเหวก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก คาดว่านางคงเตรียมอาวุธมาครบมือเตรียมสู้กับอีกสองเมนเทอร์แน่นอน

แต่คริสมาทั้งที ดันโดนคิ้วของ ‘ผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นจากลันดั้น’ ขโมยซีนซะงั้น

อาทิตย์ก่อนโน้น เจนี่ เมบิลีนนิวหยวกเพิ่งสอน (ขายของนั่นแหละ) เรื่อง ‘คิ้วอุย’ อันนั้นคิ้วอุยแบบนิวหยวก อันนี้คิ้วอุยแบบลันดั้นสินะ

ผ่านมา 8 สัปดาห์แล้ว แต่เหมือนเกมกำลังจะเริ่ม และบทเรียนโลกการทำงานก็มีให้เราเรียนรู้ไม่สิ้นสุด สัปดาห์นี้มีอะไรบ้าง #ทีมลูกเกด #ทีมบี #ทีมคริส #ทีมมาช่า #ทีมขุน #ทีมคุณเต้ มาดูกัน
Game on, bitch!

ทุกความเปลี่ยนแปลงมีเรื่องดีเสมอ

เซอร์ไพรส์หนักสุดของเอพิโสดนี้คือการสิ้นสุดบทบาทของเมนเทอร์มาช่าในรายการโดยไม่ทันได้บอกลาลูกทีม และมีเมนเทอร์คริสมาดูแลทีมแทน ทำเอาทั้งเกรซและจูลี่เหวอ เคว้ง ช็อก เครียด กราฟตกจนตอนแข่งขันทำได้ไม่เต็มที่

ในชีวิตการทำงาน เราจะเจอสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ตั้งแต่เปลี่ยนหัวหน้า เปลี่ยนลูกน้อง เปลี่ยนแผนก เปลี่ยนระบบการทำงาน เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนบริษัท ฯลฯ

โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไดโนเสาร์ที่ไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องสูญพันธุ์ไป

แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องดี มันเขย่าให้เราไม่หยุดนิ่ง ปลุกสัญชาตญาณการอยู่รอดของเราให้ตื่น ทำให้เราสำรวจตัวเอง ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เคี่ยวให้เราเก่งขึ้น

ต้องบอกตัวเองเอาไว้ว่า จะอย่างไรเราก็ต้องอยู่รอดให้ได้อย่างสง่างาม อย่าหยุดตัวเองเพียงเพราะเรากลัวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องการตัวเราเวอร์ชันใหม่เสมอ วิธีการทำงานแบบเดิมอาจจะใช้ได้กับบริบทเก่า แต่เมื่อบริบทเปลี่ยน วิธีการทำงานแบบเดิมอาจจะไม่ได้ผลแล้ว ต้องปลุกตัวเองให้หาวิธีการใหม่ อย่าคิดว่าวิธีเดิมคือวิธีที่ดีที่สุด ควรคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นไปอีก

การเปลี่ยนแปลงอาจเขย่าตัวเราให้ต้องหาวิธีการใหม่ ซึ่งอาจกลายเป็นวิธีการใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็ได้ แต่มันต้องเริ่มต้นจากความคิดว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงมีเรื่องดีเสมอ และเราต้องอยู่รอดให้ได้

มันไม่มีทางจะเป็นเหมือนเดิม แต่เราสามารถอยู่กับมันได้ เรียนรู้จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และหาทางทำให้เราเก่งได้ในสภาวะที่เปลี่ยนไป

อย่าคิดว่าจะต้องมาแทนที่ใคร หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้งานดีขึ้น

เมนเทอร์คริสซึ่งมารับช่วงต่อจากเมนเทอร์มาช่าเลือกที่จะไม่ใช้วิธีเดินตามรอยมาช่า แต่ใช้วิธีการสอนและการเล่นเกมในแบบตัวเอง

เวลาที่เรากระโดดเข้าไปทำหน้าที่ที่เคยมีคนทำมาก่อน มันย่อมเกิดการเปรียบเทียบระหว่างตัวเรากับคนก่อนหน้าอยู่แล้ว ยิ่งคนก่อนหน้าเราเป็นคนเก่งมาก กุมหัวใจคนในทีมได้ ยิ่งเกิดความกดดันและความคาดหวังมากขึ้นทั้งจากคนรอบข้างและจากตัวเราเอง แต่ไม่ต้องกลัว ยังไงเขาก็เปรียบเทียบเราอยู่ดี เราห้ามเขาคิดไม่ได้ เราแค่ทำหน้าที่ของเราไป

เราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคนเดิม แต่ให้ดูเป็นตัวอย่างว่าเขาทำดีอะไรไว้บ้าง แล้วเราจะต่อยอดสิ่งที่ดีนั้นอย่างไร หรืออะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่เราจะสามารถใช้จุดแข็งของเราไปพัฒนางานที่มีอยู่ให้ดีขึ้นได้ ไม่ต้องคิดว่าเราต้องมาแทนที่ใคร แต่เราเป็นตัวเราให้ดีที่สุด และให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์

เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนใหม่เข้ามาในทีม เราต้องให้โอกาสเขา ให้เขาได้ใช้ความเก่งในแบบของเขาในการทำงาน มันอาจจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนเก่า แต่เราต้องเปิดใจว่าทุกคนมีความเก่งหมด ต้องปรับตัวซึ่งกันและกัน เรียนรู้จากคนใหม่ได้

ทีมที่แข็งแกร่งจริงคือทีมที่สร้างระบบการทำงานที่ดีโดยไม่ยึดติดกับตัวบุคคล ถ้าระบบการทำงานมันดี ต่อให้เปลี่ยนคน งานก็จะยังดำเนินต่อไปได้ แต่ถ้าระบบการทำงานผูกติดกับคนว่าต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้นถึงทำได้ อันนี้สิน่ากลัว เพราะแปลว่าขาดคนใดคนหนึ่งก็ตายกันยกทีม

ก่อนออกรบต้องรู้ว่าเราจะโดนฆ่าด้วยวิธีไหนได้บ้าง

เมนเทอร์คริสบอกจูลี่ว่า ถ้าอยากร้องไห้ ร้องมาเลยในห้อง อย่าเก็บไปร้องไห้ต่อหน้าพี่เกด และในฐานะที่เมนเทอร์คริสมีประสบการณ์มาก่อน (ซีซันที่แล้วไปยืนให้เมนเทอร์บีกระหน่ำด่าในห้องเชือดเลยจ้า!) ยังแนะนำวิธี (เตรียมใจ) รับมือกับพี่เกดให้จูลี่ซึ่งไม่เคยเข้าห้องเชือดมาก่อนว่า พอไปถึงให้ไปยืนที่จุดที่เขามาร์กไว้ (บรีฟคิวแทนที่ทีมงานให้ด้วยเว้ย! ดี๊ดี!) แล้วพี่เกดก็ด่าๆๆๆๆ มา ไม่ต้องสนใจ มีสติเข้าไว้

ในชีวิตการทำงาน เวลาที่เราต้องไปขายงานกับหัวหน้าหรือลูกค้า อย่าคิดเพียงแต่ว่าจะพรีเซนต์งานอย่างไร พวกเรากันเองในทีมต้องช่วยกันคิดว่า ถ้าจะโดนยิงคำถามจะถูกถามว่าอะไรได้บ้าง แล้วจะตอบอย่างไร ใครจะเป็นคนตอบ ต้องคิดไปถึงว่าใครบ้างที่เข้าประชุม แต่ละคนต้องการรู้เรื่องอะไร ใครมีบทบาทอย่างไรในห้องประชุม ใครจะพาให้ประชุมนี้ล่มได้ ใครมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ยิ่งเราเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องเหล่านี้เท่าไรยิ่งเป็นประโยชน์ต่อทีม

ในทีมด้วยกันเองก่อนเข้าประชุมจริงลองแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือคนขายงาน คนที่ต้องพรีเซนต์ อีกฝ่ายหนึ่งสมมติตัวเองเป็นลูกค้าหรือหัวหน้าที่เราต้องไปนำเสนองานให้พิจารณา โดยที่ฝ่ายที่สมมติตัวเองเป็นลูกค้าหรือหัวหน้าต้องยิงคำถามที่คิดว่าจะมาเพื่อ ‘ฆ่า’ ไอเดียที่อีกฝ่ายนำเสนอให้ได้ ส่วนฝ่ายที่นำเสนองานก็ต้องหาวิธีตอบคำถามหรือโน้มน้าวอีกฝ่ายให้มั่นใจในสิ่งที่เสนอให้ได้

พอทำวิธีนี้แล้วทั้งทีมจะเริ่มมองเห็นว่างานที่เราจะนำเสนอมีจุดอ่อนอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขหรือยังคิดไม่รอบพอ มีคำถามอะไรบ้างที่เราต้องเตรียมตัวตอบ ไปจนถึงสามารถวางแผนพรีเซนต์อย่างไรให้คนฟังได้คำตอบก่อนที่จะเกิดคำถาม เพราะเราคาดการณ์อยู่แล้วว่าจะมีข้อสงสัยอะไรบ้าง

บางคนใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำพรีเซนเทชันให้สวยงาม (ให้เสร็จทันยังยากเลย) คิดแต่ว่าต้องพูดอะไรบ้าง แต่ลืมคิดไปถึงการเตรียมตอบคำถาม การเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน การหาวิธีโน้มน้าวใจให้ซื้อไอเดียของเรา การสำรวจหารูรั่วในงานของเรา การเข้าใจบทบาทและสิ่งที่อยู่ในใจของคนที่เข้าประชุม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พร้อมจะฆ่างานของเราที่เราเคยคิดมาตลอดว่ามันดีแสนดีให้ตายคาห้องประชุมได้

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ควรคิดถึงเรื่องเหล่านี้และเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนก้าวเข้าห้องประชุม ซึ่งนั่นแปลว่าเราควรทำพรีเซนเทชันให้เสร็จก่อนเนิ่นๆ ไม่ใช่เสร็จก่อนหน้าประชุม 5 นาที

อย่าไปรบตัวเปล่า อย่าไปแบบไม่เตรียมพร้อม แต่ให้คิดไว้ตั้งแต่ก่อนออกรบว่า เราจะโดนฆ่าด้วยวิธีไหนได้บ้าง แล้ววางแผนรับมือไว้ก่อนว่าเราจะรอดตายอย่างสง่างามอย่างไร

โลกการทำงานของจริงมันโหดร้ายอยู่แล้ว แต่อย่าตายเพราะเราไม่เตรียมตัว

เรา ‘ดี’ ด้วยวิธีไหน

ในห้องเชือด วิเคราะห์ดีๆ คำถามของเมนเทอร์ลูกเกดฉลาดมากนะครับที่ถามว่า “น้องดีกว่าคนอื่นยังไง” คือคิดคำถามมาให้ฆ่ากันเอง วัดกึ๋นกันเห็นๆ ว่าใครจะรับมือกับคำถามนี้อย่างไร

วิธีการจะทำให้เห็นว่าเราดีกว่าคนอื่นอย่างไรมี 2 แบบ คือ หนึ่ง เหยียบคนอื่นให้ต่ำกว่าเรา แล้วเราจะอยู่เหนือกว่าคนอื่นเอง กับสอง ทำตัวเราให้สูง แล้วเดี๋ยวคนจะเห็นเองว่าเราดี

ข้าวเลือกจะตอบว่า นางมีความมั่นใจและเก่งกว่าจูลี่อย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งเราก็รู้แหละว่าข้าวเก่งแต่ดันมาพลาดแคมเปญนี้ ในขณะที่บลอสซั่มกับทับทิมซึ่งถูลู่ถูกังมาตลอด พอมาแคมเปญนี้ทำได้ดีขึ้นมากกว่าคนอื่นในทีมจนขนาดเมนเทอร์บียังปรบมือให้) และขยี้จุดอ่อนของจูลี่ออกมากางเป็นข้อๆ แทงกันเห็นๆ

แต่พอถึงตอนจูลี่ตอบ นางตอบว่า หนูไม่เคยเอาตัวเองไปเทียบกับใคร ทุกคนมีจุดดีและจุดด้อยของตัวเอง หนูไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นยังไง แต่หนูรู้ว่าหนูจะทำของหนูให้ดีที่สุด ใครจะว่ายังไงหนูไม่ว่า เป็นความคิดและทัศนคติของเขา

ฟังคำตอบแล้วตบเข่าฉาด! หนูตอบดีมาก จะรออะไรล่ะ ปรบมือให้จูลี่กันเร็ว รัว!!!!

วิเคราะห์คำตอบของจูลี่ให้ลึก หนึ่ง การบอกว่าเราไม่เคยเอาตัวเองไปเทียบกับใคร นั่นคือเรากำลังบอกว่าเราไม่เคยเห็นใครเป็นศัตรู เรารักทุกคน ให้เกียรติ และเคารพทุกคน เห็นความเก่งของทุกคน (คือมันมีคนที่เก่งกว่าฉันและห่วยกว่าฉัน แต่ฉันไม่บอกหรอกนะว่าใคร)

สอง การบอกว่าใครจะว่าอย่างไร นั่นเป็นความคิดของเขา เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นั่นคือเรากำลังบอกว่า ที่ด่าๆ เรากันน่ะ เราไม่ได้สนใจนะ เรามีวุฒิภาวะพอ อยากพูดอะไรพูดไป เราเคารพและให้เกียรติในความเห็นของเธอ (แม้เธอจะด่าฉันก็เถอะ) แต่มีเรื่องสำคัญกว่าที่เราต้องโฟกัสคือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วไปคิดเอาเองเนอะว่าคนที่ด่าเราน่ะโฟกัสเรื่องอะไร โฟกัสเรื่องตัวเองก่อนไหม ว่างเหรอ เฮลโล?!

ไม่มีสูตรสำเร็จว่าวิธีไหนไปได้ไกลกว่ากันระหว่างเหยียบคนอื่นให้จมมิดเพื่อให้เราสูง หรือทำตัวให้เราสูงจนสง่าขึ้นมาให้คนอื่นเห็น เพราะในโลกความเป็นจริง มันมีทั้งคนที่เหยียบหัวคนอื่นจนตัวเองก้าวหน้า มีทั้งคนที่ทำดีแทบตายแต่คนอื่นไม่เห็นคุณค่า มีทั้งคนที่ตกลงมาตายเพราะเหยียบหัวคนอื่น มีทั้งคนที่ทำดีจนเด่นเป็นที่ประจักษ์เอง มันมีหมดทุกรูปแบบ และอาจจะเป็นตัวเราด้วยซ้ำ

จะเลือกแบบไหนอยู่ที่เราอยากเห็นตัวเองเป็นคนแบบไหน และมันใช่ตัวตนที่เราภูมิใจจริงหรือเปล่า

ภูมิใจในความสำเร็จเรื่องงานก็เรื่องหนึ่ง แต่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความสำเร็จในการใช้ชีวิตให้คงคุณค่าความเป็นมนุษย์ได้อยู่ โดยไม่ไหลไปตามจิตใจด้านมืด

ในชีวิตจริง เราจะเจอคนที่พูดถึงเราในทางที่ไม่ดี นินทาเราลับหลัง รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง แทงต่อหน้าบ้าง แทงข้างหลังแล้วยันให้ตกเหวบ้าง สาดโคลนโยนขี้มีหมด แต่ลองคิดดูดีๆ การที่เขาเอาแต่พูดเรื่องไม่ดีของเรา แสดงว่าเขาไม่มีเรื่องดีๆ ของตัวเองให้พูดถึง ไม่มีเรื่องดีๆ ในชีวิตตัวเองให้เขาได้คิดถึง ไม่มีอะไรดีๆ ให้เขาได้ไปใช้เวลา เลยหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับเรื่องเลวๆ

ไม่ต้องโกรธเขาครับ เขาทำตัวต่ำ เราไม่จำเป็นต้องต่ำตาม อย่าให้เขาลากเราไปอยู่ในเกมของเขา และอย่ายอมให้จิตใจด้านมืดของเราเองฉุดเราไปสู่ความต่ำตม

อยู่ในที่ที่สูงแล้วปรายตามองดูเขาที่อยู่ในที่ต่ำด้วยความสมเพชสนุกกว่าไปโกรธเขาเยอะครับ

ทำไมขึ้นมาดูเป็นคนดี แต่ตอนจบร้ายวะ

สัปดาห์หน้า The Face Thailand Season 3 จะมีอะไรให้เราเรียนรู้กันอีก เดี๋ยวมาติดตามกันใน Game on, Bitch!

Tags: