ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง จากเหตุปะทะที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ตามหลังสัญญาณแห่งความตึงเครียดระลอกแรกที่ปะทุขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีคณะชาวกัมพูชาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนมีทหารไทยเข้าไปห้ามปราม จนกลายเป็นกระแสดุเดือดในโซเชียลฯ

เหตุปะทะบริเวณรอยต่อสามเหลี่ยมมรกต (Emerald Triangle) ไทย-ลาว-กัมพูชา ที่พื้นที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย ยังทำให้ความเคลื่อนไหวทางการทหาร คำแถลงจากฝั่งการเมือง และบทสนทนาในโลกออนไลน์ สะท้อนชัดว่า บรรยากาศชายแดนกำลังตึงเครียดไม่น้อย 

ย้อนกลับไปเมื่อปลายปีก่อน ผู้เขียนมีโอกาสร่วมโครงการงานวิจัยเชิงมีส่วนร่วมว่าด้วย ‘ความขัดแย้งในโลกออนไลน์ระหว่างไทยกับกัมพูชา’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอกจาก Monash University ประเทศออสเตรเลีย โดยจัดกระบวนการแลกเปลี่ยน 2 ครั้ง ทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชา

แม้งานวิจัยอยู่ระหว่างการสอบทานเพื่อตีพิมพ์ แต่หนึ่งในประเด็นที่ชัดเจนตั้งแต่ช่วงแรก คือ ‘อำนาจ’ (Power) ในความหมายทางรัฐศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่การมีกองทัพหรืออาวุธที่เหนือกว่า แต่ยังหมายถึงความสามารถในการกำหนดวาระ ระเบียบ หรือแม้แต่การนิยามความถูกผิดในสายตาของชาติอื่นๆ

และสภาวะที่อำนาจของทั้ง 2 ชาติที่ไม่เท่าเทียมกัน ยังปรากฏให้เห็นในหลายระดับ เห็นได้จากทุกครั้งที่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทชายแดนหรือสงครามวาทกรรมในโลกออนไลน์ 

ในระหว่างการวิจัยมีการเปิดพื้นที่ให้ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และทดลองทำแบบทดสอบกับกลุ่มคนไทย ถ้อยคำที่ถูกกล่าวซ้ำๆ จากฝั่งไทยต่อภาพความขัดแย้งออนไลน์ ได้แก่ รำคาญ ไม่ให้ค่า ขบขัน รวมถึงการด้อยค่าว่า เป็นชาติที่ป่าเถื่อน ขณะที่ฝั่งกัมพูชาถ่ายทอดว่า รู้สึกเจ็บปวด อึดอัดเมื่อเห็นการล้อเลียน (มีม) และมีแรงกระตุ้นให้ต้องตอบโต้ ในลักษณะของมุมมองว่า ไทยเป็นรัฐอันธพาลที่รังแกชาติอื่น

และสำหรับทั้ง 2 ชาติ การดำรงอยู่ของสถานะ ‘เพื่อนบ้าน’ ซึ่งมีชายแดนเชื่อมต่อกันยาว 798 กิโลเมตรโดยประมาณ มีอาณาเขตคาบเกี่ยวกันเป็นพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด และมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่า ตนอยู่ในสถานะด้อยกว่าหรือเหนือกว่าอีกฝ่ายในเวทีโลก ย่อมไม่แปลกที่จะเกิดความขัดแย้ง ความเกลียดชังที่คนทั้ง 2 ชาติมีนำไปสู่การเปิดพื้นที่แสดงความรู้สึกเชิงต่อต้าน และโต้กลับอย่างไม่มีการยับยั้งชั่งใจในโลกออนไลน์

ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน หากจับตาความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียของทั้ง 2 ฝ่าย หลายคนค่อนข้างชี้นำไปในทิศทางของความรุนแรง เช่น

“ปิดชายแดนแล้วบุกเลย ถ้าไทยเอาจริง ไม่เกิน 7 วันแนวหน้าคงถึงพนมเปญ”

“โจรสยามมันจะเอาดินแดนเราไป เราต้องปกป้องแผ่นดินแม่อย่างสุดกำลัง” 

“อยากรบแล้วครับ จัดกับเขมรสักที” 

 ข้อความเหล่านี้ แม้จะดูหนักหน่วง แต่ฟังดูเข้าใจได้ เพราะใครๆ ก็รักชาติ รักแผ่นดิน

แต่หากคิดให้รอบด้านอีกสักนิดจะพบว่า ในยุคนี้สงครามไม่ใช่คำตอบง่ายๆ ที่แก้ได้ทุกปัญหาอีกต่อไป 

และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่มีชาติไหน ‘ชนะ’ ในสงครามปัจจุบัน

หากศึกษาจากหลายกรณีจากประวัติศาสตร์จะพบว่าแม้มหาอำนาจทางทหารจะมีกำลังเข้มแข็งเพียงใด แต่การรุกรานประเทศอื่นกลับกลายเป็นบทเรียนราคาแพง ทั้งในแง่กำลังพล ทรัพยากร และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อเกินคาด บทเรียนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การใช้กำลังไม่ใช่ทางเลือกที่ง่าย หรือได้ผลเสมอไป

หรือหากมองในมิติอื่นๆ เมื่อลองเอาข้อมูลมากางดูจะพบว่า ในปัจจุบันไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่พึ่งพากันค่อนข้างมาก กรมประชาสัมพันธ์รายงานว่า ปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาถึง 435,991 คน ที่ทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และบริการในไทย และหลายจังหวัดชายแดนมีการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ รวมถึงนักลงทุนไทยที่เข้าไปมีบทบาทในหลายอุตสาหกรรมของกัมพูชา

หากมีการเปิดแนวรบขึ้นอย่างจริงจังเหมือนครั้งในอดีต ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ 

– การค้าระหว่างประเทศต้องหยุดชะงัก

– MOU ที่ร่วมดำเนินการระหว่างสองรัฐบาลจะกลายเป็นอัมพาต

– ผู้คนบริเวณชายแดนต้องอพยพ

– แรงงานจำนวนมหาศาลจะต้องเดินทางกลับประเทศ ซึ่งกิจการห้างร้านในไทยจำนวนมากพึ่งพาแรงงานเหล่านี้

และที่สำคัญที่สุด ชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยทั้ง 2 ฝั่ง ก็จะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่าเราไม่อาจนิ่งเฉยต่อประเด็นอธิปไตยของชาติ แต่การจัดการข้อพิพาทด้วยวุฒิภาวะ อาจเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า เพราะหากพิจารณาให้ลึกลงไป หลายครั้งความขัดแย้งถูกผลักดันด้วยกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นมา ยิ่งในห้วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองภายในไม่มั่นคง แนวโน้มที่รัฐบาลแต่ละฝ่ายจะหยิบประเด็นชาตินิยมมาใช้เพื่อรักษาความนิยมก็ยิ่งมีมากขึ้น และเป็นไปได้ว่า หากเกิดการปะทะกันขึ้น ทุกคนก็จะกลายเป็นหนึ่งใน ‘หมาก’ ของเกม

ขณะที่บุคคลที่ซัดสาดวาทกรรมใส่กันในโลกออนไลน์ อาจนั่งอยู่ห่างไกลชายแดนหลายร้อยกิโลเมตร ส่วนผู้มีอำนาจกำลังสั่งการในห้องทำงานอย่างปลอดภัย แต่ทหารในชายแดนซึ่งเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ มีญาติพี่น้องรอคอยอยู่ข้างหลังเหมือนเช่นกับทุกคน กำลังจะต้องมาห้ำหั่นกัน ‘เพื่อชาติ’ 

รักชาติไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกคนมีสิทธิรักชาติ

แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอยู่แล้ว บางทีสิ่งที่เราต้องการอาจไม่ใช่การรักชาติด้วยอารมณ์โกรธแค้นชั่วขณะ หากแต่เป็นการรักชาติอย่างมีสติ โดยการให้กำลังใจคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เน้นการต่อสู้ด้วยหลักฐานและเอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการดำเนินการทางการทูตกับชาติพันธมิตรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเจรจา ฯลฯ เพื่อแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และยับยั้งชั่งใจ 

กลับกันหากเราเป็นหนึ่งในเสียงที่เรียกร้องให้ใช้กำลังทางทหารอย่างรุนแรง แม้เราอาจไม่ใช่ผู้สั่งการหรือผู้เหนี่ยวไกในสนามรบ แต่เราเองจะเป็นผู้ที่มอบฉันทมติให้การใช้กำลังกลายเป็นเรื่องชอบธรรม

ดังนั้น ก่อนที่กงล้อประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งและอีกครั้ง ขอชวนทุกคนย้อนถามตัวเองว่า​ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือ

Tags: , , , , , ,