ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับบ้านที่ต่างจังหวัด หนึ่งในภารกิจที่ผมมักทำเสมอคือการออกมาวิ่งรอบบริเวณกำแพงเมืองเชียงใหม่ (คนพื้นที่จะเรียกว่า คูเมือง) แม้จะเสี่ยงต่อสุขภาพระยะยาว เนื่องจากถนนรอบคูเมืองชั้นในที่วิ่งวนเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีรถสัญจรไปมาตลอดเวลา แน่นอนว่าเมื่อมีรถ ก็ย่อมมีควัน แต่ความดื้อก็ไม่เคยทำให้ผมสนใจ ยกเว้นช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 หนักๆ และต้อง ‘จำใจ’ หยุดวิ่ง

ผมชอบการวิ่งเพราะมันช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจาก ‘ความเป็นจริง’ หลายอย่างที่วนเวียนในชีวิต แม้จะแค่ชั่วครู่ก็ตาม หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ผมต้องใช้คำว่าอยาก ‘หลบหนี’ ด้วยซ้ำ แต่เพราะด้วยความจำเป็นอะไรก็ตาม ทำให้ผมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ใครบางคนเปรียบการวิ่งเหมือนการทำสมาธิ เพราะผู้วิ่งจะได้อยู่กับร่างกายและจิตใจของตนเองอย่างแท้จริงระหว่างวิ่ง สมองของเราจะโปร่งโล่ง เป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘พักสมอง’ และในช่วงเวลานี้เอง การก้าวขาออกไปจะทำให้ความคิดที่กระจัดกระจายค่อยๆ เรียงตัวอีกครั้ง ในทางหนึ่ง สมองจะเปิดโอกาสให้เราได้จินตนาการถึงบางสิ่ง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงได้ ‘ทบทวน’ บางสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในความคิด

การวิ่งจึงไม่ได้เพิ่มพูนแค่ความแข็งแกร่งทางร่างกาย แต่รวมถึงทางจิตใจด้วย

วันที่ผมออกวิ่งเป็นวันสิ้นปีพอดี ภายในความคิดของผม ณ ห้วงเวลานั้น คือการย้อนทบทวนความทรงจำของตลอดปีที่ผ่านมา

ผมรับรู้ระหว่างวิ่งว่า นอกจากน้ำหนักของ ‘ร่างกาย’ ที่สองเท้าของผมต้องแบกแล้ว ภายใน ‘จิตใจ’ ของผมยังมีน้ำหนักของ ‘อะไรต่อมิอะไร’ ที่ต้องแบกอีกมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นมาให้ บางสิ่งผมก็เลือกหยิบมาแบกไว้เอง โดยทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีโอกาสได้ ‘เคลียร์สมอง’ เพื่อมองดูให้ชัดเลยว่า สิ่งเหล่านั้นที่ผมแบกคืออะไรบ้าง ความเร่งรีบของชีวิตในมหานครทำให้ผมไม่มีเวลาพิจารณาว่า อะไรที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น 

จะว่าไปมันคล้ายกับการจัดห้องที่รกรุงรัง เมื่อมีเวลาพิจารณาจริงๆ มากกว่าแค่การอาศัยอยู่ด้วยความเคยชิน ก็จะเริ่มมองเห็นว่า อะไรในห้องควรจัดเก็บไว้ตรงไหน หรืออะไรที่เกินจำเป็น

ในเช้าวันที่วิ่งนั้น เมื่ออัตราการก้าวคงที่ ลมหายใจเริ่มนิ่ง สมองผ่อนคลาย วินาทีนั้นผมมองเห็นแล้วว่า ผมแบกอะไรที่ไม่จำเป็นมากมายเหลือเกิน ความคิด ความคาดหวัง ความต้องการ ความฝัน ความสุข ความทุกข์ ที่เป็นของคนอื่นหรือที่คนอื่นยื่นให้

การวิ่งในเช้าวันนั้นบอกผมว่า อะไรที่ไม่ได้มาจากผม วางไว้ ถอดไว้ ไม่ต้องเสียดาย และเมื่อผมเริ่มเอา ‘สิ่งอื่น’ ออก ผมเริ่มกลับมามองเห็นธรรมชาติของผมทีละนิด

มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ เหมือนได้เชื่อมต่อกับร่างกายและความคิดของตัวเองอีกครั้ง เพราะบางครั้งสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับชีวิตของเราก็ดำเนินไปจนทำให้เราหลงลืมธรรมชาติของตนเองและเคยชินกับสิ่งที่คนอื่นทั้งหยิบยื่นและสวมทับให้ และคิดว่านั่นคือธรรมชาติของเราไปแล้ว

แม้การถอดสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นและสวมทับให้จะไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจต้องใช้เวลาในการคัดเลือกไปทีละนิด ว่าจะวางสิ่งใดก่อน เพราะบางสิ่งก็กลายเป็นความคุ้นเคยของชีวิตไปแล้ว แต่อย่างน้อยที่สุด การวิ่งในเช้าวันนั้นทำให้ผม ‘ตระหนัก’ แล้วว่า ตนเองแบกอะไรอยู่ และมันทำให้ผมตื่นเต้นที่จะกลับมาเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของผมอีกครั้ง ผ่านการวางสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผมชอบประโยคหนึ่งจากหนังสือ What I Talk When I Talk About Running (ฉบับแปลไทย: เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง) ของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่บอกว่า

ผมก็คือผม ไม่มีใครอื่นที่เป็นสินทรัพย์ทรงค่าสำหรับผม แผลบาดลึกเชิงอารมณ์เป็นราคาที่คนเราต้องจ่ายชำระเพียงเพื่อจะเป็นตัวของตัวเอง”

สวัสดีปีใหม่ สวัสดีสิ่งใหม่

Tags: , , ,