เดือนที่ผ่านมา โรงเรียนระดับประถมศึกษาเอกชนปิดตัวหลายโรงเรียน ตั้งแต่โรงเรียนถนอมพิศวิทยา โรงเรียนอุดมศึกษา และล่าสุดโรงเรียนไผทอุดมศึกษา ทิ้งให้เด็กและผู้ปกครองหลายพันคนจำต้องหาที่เรียนใหม่กลางคันในภาคการศึกษาหน้า เด็กต้องเปลี่ยนเพื่อนใหม่ เปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ส่วนผู้ปกครองก็ต้องวางแผนชีวิตใหม่ เพราะการเปลี่ยนโรงเรียนในไทย อีกนัยหนึ่งหมายความว่าต้องเตรียมเงินเพิ่ม เพื่อจ่ายค่าเทอมในระดับที่สูงกว่า
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมความเสี่ยงที่ตามมาว่า แล้วโรงเรียนที่ย้ายไป เรียนๆ อยู่ จะ ‘ปิด’ อีกไหม ผู้ปกครองต้องหอบหิ้วลูกไปฝากเรียนกับที่อื่นกลางคันอีกไหม
โรงเรียนระบุว่า ความจำเป็นที่ต้องปิดโรงเรียนหนีไม่พ้นเหตุว่าเด็ก ‘เกิด’ น้อยลง ปี 2567 เด็กเกิดใหม่อยู่ที่จำนวนเพียง 4.62 แสนคนต่อปี ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2492 ขณะเดียวกันสัดส่วนประชากรวัยเด็กก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง วัยเด็กในไทยเหลือเพียง 15%
ชัดเจนว่า ‘อนาคต’ ของธุรกิจโรงเรียนเอกชนเริ่มมืดมน เด็กเกิดน้อยลงหมายถึงว่าห้องเรียนที่เคยมีคนเรียน 30 -40 คน 10 ห้อง อาจต้องยุบเหลือ 5 ห้อง ห้องเรียนห้องหนึ่งอาจเหลือเด็ก 10-20 คน ชัดเจนว่าโรงเรียนต้องวางแผนบริหารความเสี่ยงจากรายได้ที่จะน้อยลง ค่าเทอมน้อยลง ขณะที่อาคารสถานที่ยังต้องบำรุงเหมือนเดิม ครูอาจารย์ยังต้องจ้างเหมือนเดิม ซ้ำยังต้องขึ้นเงินเดือนประจำปี เพิ่มรายได้ประจำปีให้กับบุคลากร
นั่นเป็นความยากลำบากในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษาในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งมีเด็กเยอะกว่าจำนวนโรงเรียนดีๆ ผู้ปกครองเด็กที่รายได้ไม่มากนักเลือกส่งลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่ ‘ฟรี’ หมดทุกขั้นตอน ผู้ปกครองชนชั้นกลางเลือกเก็บเงินให้แพงขึ้นหน่อย อั้นไว้ เพื่อส่งให้ลูกได้เรียนโรงเรียนนานาชาติ เพราะเมื่อมีลูกคนเดียว ก็อยากให้ได้การศึกษา ได้สังคมที่ดีที่สุด
ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากความบิดเบี้ยวทางโครงสร้างการศึกษาไทย ยุคสมัยหนึ่ง รัฐบาลพยายามทำโรงเรียนรัฐให้มีจำนวนมากๆ เข้า เพื่อให้เด็กไม่ต้องไปเรียนไกลบ้าน ผู้ปกครองสามารถไปส่งบุตรหลานใกล้ๆ บ้าน แต่สุดท้ายก็คุมคุณภาพไม่ได้ ครูคนหนึ่งอาจต้องสอนหลายวิชา หรือหากมีครูที่สอนวิชาเดียวบางครั้งก็ไม่ได้คุณภาพจริงๆ ถึงจุดนี้ โรงเรียนเอกชนก็เปิดขึ้นเพื่อเก็บตกผู้ปกครองเด็กที่รับคุณภาพโรงเรียนรัฐบาลไม่ไหว
นั่นคือยุคที่เด็กเกิดเยอะเมื่อ 30 กว่าปีก่อน แต่หลังจากบ้านเมืองตกต่ำจากวิกฤตการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ การรัฐประหารวนเวียนซ้ำซาก เด็กก็เกิดน้อยลงฮวบฮาบ ถึงที่สุดก็กระทบเป็นลูกโซ่มายังโรงเรียนเอกชนของชนชั้นกลางที่เคยเป็นหลังพิงให้เด็กกลุ่มนี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องยอมรับอีกอย่างคือ โรงเรียนเอกชนหลายแห่งในกลุ่มนี้ ไม่ได้บริหารงานแบบบริษัทเอกชน ที่มีการวางแผนธุรกิจระยะยาว ส่วนใหญ่ผู้ก่อตั้งมักเป็นครู เป็นนักการศึกษาที่มีไฟ อยากเห็นโรงเรียนดีๆ ไม่ได้มีแผนบริหารความเสี่ยง ไม่ได้มีคณะกรรมการที่ให้ความเห็นเรื่องธุรกิจแบบคาดการณ์ได้ยาวๆ ถึงจุดหนึ่ง เมื่อไม่ได้มีผู้ที่รับไม้ต่อ หรือครอบครัวไม่อยากทำต่อแล้ว ย่อมไปต่อได้ยากลำบาก
ทั้ง 3 โรงเรียนที่ปิดตัวไปอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ที่ดินของโรงเรียนเป็นที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งหาได้ยาก หากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนไหนเห็นโรงเรียนเหล่านี้ ย่อมเป็นโอกาสในการจัดแบ่งที่ไปทำคอนโดมิเนียม ไปทำอาคารสูง ด้วยตัวเลขที่เจ้าของธุรกิจโรงเรียนเห็นว่า เป็นตัวเลขที่น่าสนใจหากต้องการวางมือ
คำถามก็คือแล้วจะอย่างไรต่อ? วันนี้โรงเรียนนานาชาติกำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นธุรกิจที่ ‘ทำกำไร’ นายทุนมากหน้าหลายตากระโจนเข้ามายังธุรกิจนี้ เพราะเห็นว่าทำรายได้มากขึ้นมหาศาล ขณะที่โรงเรียนเอกชนกลางๆ ค่อยๆ ล้มหายตายจาก กลไกตลาดบีบให้ผู้ปกครองต้องขวนขวายหาเงินให้มากขึ้น ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่แพงขึ้น มองข้ามโรงเรียนรัฐไป
เป็นสถานการณ์เดียวกับ ‘โรงพยาบาลเอกชน’ ที่ก่อนหน้านี้รัฐก็ปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน ปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนแสวงหากำไรได้เกินเหตุ คิดค่ายา ค่ารักษาพยาบาลได้ตามอำเภอใจเช่นกัน
แต่โรงเรียนนั้นต่างออกไป โรงเรียนรัฐควรเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพ เป็นหลังพิงให้ประชาชนทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียม โดยรัฐกำกับ ควบคุมมาตรฐาน การเรียนการสอนให้อยู่ใต้มาตรฐานเดียว หากรัฐดูแลคุณภาพไม่ไหว ก็ควรมาส่งเสริม สนับสนุนโรงเรียนเอกชนระดับกลางๆ ให้ทำหน้าที่นี้ต่อไปได้ โดยอาจเข้าไปช่วยวางแผนธุรกิจ หรือตั้ง ‘กองทุน’ ดูแล ให้เป็นส่วนช่วยเหลือ ส่วนต่อขยายในพื้นที่ที่รัฐเอื้อมมือไปไม่ถึง
กองทุนอาจทำหน้าที่ตั้งแต่การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีปัญหา ช่วยอุดหนุนรายหัวให้เด็กนักเรียนภายใต้ต้นทุนจริง หรือสร้างเครือข่ายโรงเรียนเอกชนให้มีการ ‘สอนร่วม’ ในบางวิชา เพื่อให้โรงเรียนเหล่านี้อยู่ได้
อย่าลืมว่าวันนี้ โรงเรียนที่ปิดเพิ่งเริ่มต้น หลังจากนี้เชื่อได้ว่าอีก 1-2 ปี จะมีโรงเรียนเอกชนในรูปแบบเดียวกันประกาศปิดตัวตามมาอีกมาก เด็กอีกหลายหมื่นคนจะไม่มีที่เรียน มากเกินกว่าที่โครงสร้างการศึกษาประเทศนี้จะรับไหว
ปัญหาใหญ่เวลานี้คือโครงข่ายโรงเรียนเหล่านี้โอบอุ้มผู้ปกครอง-นักเรียนไว้มากเกินไป มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้ล้ม ฉะนั้นหนีไม่พ้นเป็นภาระของกระทรวงศึกษาธิการต้องดูแล
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ ‘โรงเรียนเอกชนปิดตัว’ หากแต่เป็นสัญญาณเตือนว่าระบบการศึกษาที่ควรทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศกำลังสั่นคลอน และผู้ที่ต้องจ่ายราคานี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทย
หากรัฐยังปล่อยให้กลไกตลาดนำทางเพียงอย่างเดียว ปัญหาจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนเอกชนระดับกลางจะทยอยล้ม โรงเรียนรัฐจำนวนมากยังไม่ได้รับการยกระดับคุณภาพ ขณะที่โรงเรียนนานาชาติก็แพงขึ้นจนกลายเป็นสินค้าสำหรับคนมีฐานะเท่านั้น ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะยิ่งถ่างออกจนแทบปิดไม่ลง
นี่คือช่วงเวลา ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องตัดสินใจว่า จะปล่อยให้ระบบการศึกษาปัจจุบันเดินหน้าสู่ภาวะล่มสลายทีละเสี้ยว หรือจะลงมือปรับโครงสร้างทั้งระบบ โดยเริ่มจากการยกระดับโรงเรียนรัฐให้มีคุณภาพทัดเทียมกัน และออกแบบมาตรการค้ำจุนโรงเรียนเอกชนระดับกลาง ให้สามารถทำหน้าที่เป็น ‘หลังพิง’ ของครอบครัวไทยต่อไปได้
เพราะเมื่อโรงเรียนปิดลง ไม่ได้หายไปแค่หนึ่งองค์กรทางธุรกิจแต่หายไปคือพื้นที่เรียนรู้ของเด็กหนึ่งรุ่น สังคมหนึ่งรุ่น และอนาคตของประเทศในรุ่นถัดไป
และประเทศใดที่ปล่อยให้ระบบการศึกษาถดถอย ก็หมายถึงปล่อยให้อนาคตของตัวเองถดถอยตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Tags: การศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ, โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนปิดตัว, โรงเรียนประถมศึกษา




