1
จริงๆ ก็เป็นข้อมูลที่ผู้เขียนเพิ่งได้ทราบเช่นกันว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีถึง 9 จังหวัด ที่ไม่มีโรงหนัง เพราะเอาเข้าจริงในมุมมองของผู้เขียนเองคิดว่า สื่อบันเทิงประเภทนี้มันช่วยคิด ช่วยตีกรอบ ช่วยพัฒนาคนให้เข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ เข้าใจสังคมได้มากยิ่งขึ้น
ในจังหวัดที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ แม้จะมีโรงหนังอยู่ก็จริง แต่ก็มีเพียงไม่มีกี่แห่ง และส่วนใหญ่ก็จะฉายหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ แบบพากย์ไทย และจะมีอยู่ไม่กี่เรื่องเพียงให้ผู้เขียนได้เลือกดู ซึ่งในวันนั้นผู้เขียนมองว่า มันก็โอเคแล้ว ที่ทำให้เราได้เริ่มรู้จักและหลงรักภาพยนตร์ขึ้นมา
แต่จนวันหนึ่งที่ได้มาอยู่กรุงเทพ และเริ่มได้ชมหนังจากโรงภาพยนตร์อิสระมากขึ้น มันทำให้เห็นเลยว่า การเข้าถึงภาพยนตร์ที่หลากหลายนั้น แตกต่างกับการได้ชมแต่หนังบล็อกบัสเตอร์นั้น สำคัญเพียงใด
เพราะจนมาอยู่กรุงเทพฯ ถึงได้ดู Merry Christmas, Mr. Lawrence (1983) ผู้เขียนจึงได้รู้ว่าทำไมเราจึงต้องเลือกความรักมากกว่าสงคราม
เพราะจนมาอยู่กรุงเทพฯ ถึงได้ดู The Peanut Butter Falcon (2019) ผู้เขียนจึงได้รู้ว่า ถึงเราจะเกลียดที่คนอื่นไม่เป็นอย่างหวัง แต่ก็เรียนรู้จะอยู่ร่วมกันและรักในด้านอื่นๆ ของตัวเขาได้
และเพราะจนมาอยู่กรุงเทพฯ ถึงได้ดู Portrait of a Lady on Fire (2019) ผู้เขียนจึงได้รู้ว่า เมื่อไรที่จะต้องตัดใจ มูฟออน เติบโตขึ้นใหม่ทั้งในความสัมพันธ์หรือเรื่องอื่นๆ ก็ตาม
แม้ภาพยนตร์จะไม่ใช่ปัจจัย 4 ของชีวิตสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่การได้เข้าถึงมัน ก็ยังคงทำให้มนุษย์ได้รู้ ได้คิด ได้เข้าใจคนและสังคมอยู่เสมอ ดังนั้นคงดีไม่น้อยหากคนทุกจังหวัด มีโอกาสได้ ‘ดูอย่าหลากหลาย’ มากกว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้
2
หากวันนี้คุณอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วตัดสินใจว่า ช่วงสายจะเดินไปทางห้างสรรพสินค้าสักแห่ง หากไม่เร่งรีบ รถเมล์สาธารณะ รถไฟฟ้าหลากหลายสาย ก็เป็นทางเลือกให้คุณไปใช้บริการได้ตลอดทั้งวัน หรือหากจะใช้เงินแก้ปัญหาหน่อย เพียงกดเรียกไรเดอร์จากแพลตฟอร์มต่างๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็จะมีรถขับมารออยู่หน้าบ้าน ไม่ต้องตากเหงื่อหรือเปียกฝน ให้รู้สึกกวนใจไปตลอดทั้งวัน
แต่สำหรับชาวต่างจังหวัดไม่ใช่แบบนั้น
เพราะหากคุณไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ การเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตที่ต้องวางแผนกันแต่หัววัน มันจะยังโอเคอยู่หากคุณอยู่ในอำเภอใหญ่ๆ ของจังหวัด แต่หากคุณอยู่ในพื้นที่อำเภอรองที่รายล้อมไปด้วยป่า เขา หรือทุ่งนา เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอประสบการณ์รอรถสาธารณะนานหลักชั่วโมง แต่รถก็ไม่มาเสียที
อ้างอิงจากประสบการณ์ผู้เขียนเอง ในอำเภอที่ผู้เขียนอาศัยนั้น จะมีรถเมล์ขับผ่านถนนเส้นสาธารณะเส้นสำคัญของอำเภอเพียงเส้นเดียว และจะขับเพียงแค่รอบละ 1 คันต่อชั่วโมงเท่านั้น หากผู้เขียนจะเดินทางเข้าไปอำเภอเมืองเพื่อเจอเพื่อน ก็จำเป็นต้องเดินหรือปั่นจักรยาน ไปรอรถเมล์สาธารณะบริเวณจุดคอยรถตรงถนนเส้นนั้นก่อน และหากมาไม่ทัน คลาดกันกับรถเมล์ไปไม่กี่นาที นั้นหมายความว่า ผู้เขียนต้องทิ้งเวลา 1 ชั่วโมงต่อจากนี้ เพื่อรอรถในรอบถัดไปมารับ
นี่ยังไม่รวมถึงเวลาในการเดินทาง ที่รถเมล์จะต้องแวะรับผู้คนจากจุดต่างๆ ให้ครบถ้วน เพื่อมาส่งพร้อมกันในตัวเมือง จนกินเวลากว่าอีก 1 ชั่วโมง ดังนั้นหากผู้เขียนหรือใครในจังหวัดเผลอพลาดรถเมล์สักครั้ง ก็โทรศัพท์แจ้งเพื่อนทีรออยู่ปลายทางให้ไปหาอะไรทำ หรือกินข้าวก่อนได้เลย
เพราะอีกนานกว่าเด็กต่างอำเภออย่างเราจะเดินทางไปหา
ดังนั้นหากไม่สามารถมีรถส่วนตัว ย้ายไปอยู่ในอำเภอเมือง หลายคนก็คงยอมแพ้กับการเดินทางสาธารณะของต่างจังหวัด เลือกที่จะไม่เดินทางไปเจอเพื่อน ไปดูหนัง หรือไปร้านหนังสือ ก็คงหาอะไรทำแบบเดิมๆ ในที่เดิมๆ ต่อไป แทนที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาว่า โลกเรานั้นไปถึงไหนกันแล้วบ้าง
3
หากไม่นับหัวเมืองใหญ่ๆ ในประเทศไทย คุณคิดว่า พวกเขาจะทำอาชีพอะไรบ้าง
รับราชการ ค้าขายสินค้า หรือเกษตรกรรม เหล่านี้คงเป็นคำตอบและตัวเลือกอันดับต้นๆ ของกลุ่มต่างจังหวัด ซึ่งถ้าถามว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันได้รับความนิยมจนคนแห่กันมาทำใช่หรือไม่ คำตอบก็คง ไม่ พร้อมมีคำอธิบายเสริมว่า ก็เพราะมันมีให้ทำเท่านี้ ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้ว
หากจะให้เป็นกราฟิกดีไซน์ก็คงยาก เปิด Specialty Chocolate Bar หรือจะให้มีบาร์แจ๊ซเป็นของตัวเอง ก็ดูจะเป็นการเอาเงินไปถลุงเล่นเสียหน่อย
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเจอคือ การเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน พยายามกลับมาเปิดร้านคราฟต์เบียร์ในบ้านเกิด เป็นร้านแรกที่ขายเบียร์หลากหลายชนิด มีหลายแบบ มองด้วยตาก็เห็นทันทีว่า เพื่อนคนนี้มีความฝันที่อยากจะเห็นคราฟต์เบียร์โตในพื้นที่นี้มากแค่ไหน
แต่ท้ายที่สุดในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ในตู้โชว์ที่เคยเต็มไปด้วยเบียร์ประเภท IPA Lager หรือ Stout มากมาย ก็ถูกแทนที่ด้วยเบียร์เจ้าใหญ่ของประเทศ 2-3 ยี่ห้อ ไม่ต่างอะไรกับร้านสะดวกซื้อหรือร้านสังสรรค์อื่นๆ ในอำเภอ เมื่อถามว่า ทำไมเป็นเช่นนั้น เหตุผลเดียวที่เขาตอบกลับมาคือ
มันอยู่ไม่ได้ ไม่มีคนซื้อ มันทำต่อไม่ไหว
4
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่า นี่คือบทความที่ชิงชังบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองหรือ ทำไมจึงเอาความไม่เจริญของต่างจังหวัดมาแฉเช่นนี้ หรือบ้างก็คงบอกว่า ในวันนี้ต่างจังหวัดก็เจริญขึ้นเยอะแล้ว มันก็ไม่ได้แย่เสียขนาดนั้น ผู้เขียนคงมีอคติไปเองเสียมากกว่า
เป็นไปได้ว่าผู้เขียนคงรู้สึกโกรธเกลียด แต่เป็นการโกรธเกลียดแทนตัวเองในเวอร์ชันที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ที่หากวันหนึ่งได้รู้ว่าในกรุงเทพฯ มีโรงหนังและร้านหนังสืออิสระที่ฉายหนังนอกกระแส นำเสนอไอเดียต่างๆ ที่หลากหลาย คงชิงชังที่ได้รู้ว่า เมืองหลวงเขามีอีเวนต์ มีกิจกรรม มีคอนเสิร์ต ที่เติมฝันให้โตไปเป็นคนได้ทำอาชีพที่ใจรัก คงชิงชังที่ได้รู้ว่า มีการเดินทางที่สะดวกกว่าต่างจังหวัด จนสามารถเอาเวลาอีกหลายชั่วโมงไปทำอย่างอื่น อย่างที่ต้องการได้อย่างใจหวัง
แม้กรุงเทพฯ เองก็ยังมีปัญหาของมันอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งมันก็ให้โอกาสและมอบฝันให้กับคนมากมาย จนกลายเป็น ‘คนรู้ความ’ ในทุกวันนี้
ดังนั้นผู้เขียนในฐานะเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อย หากได้เห็นการกระจายอำนาจ เอาความเจริญในหลายๆ ด้าน ไปพัฒนาจังหวัดต่างๆ ทำให้คนเขาได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นสิ่งต่างๆ ไม่มากก็น้อยเราจะได้เห็น ‘คนรู้ความ’ อีกจำนวนมาก ที่พร้อมจะพัฒนาทั้งประเทศให้เจริญได้เสียที
Tags: From The Desk, วิมานหนาม, เด็กต่างจังหวัด