เรานัดกันหน้าพระพุทธรูป ‘นวล้านตื้อ’ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ฉันมาก่อนเวลานัดเล็กน้อย พอทันเห็นความเคลื่อนไหวอันพลุกพล่านของแลนด์มาร์คชายแดนสักพัก เจ้าหน้าที่สองคนจาก Four Seasons Tented Camp, Golden Triangle ก็มาถึง – ตรงเวลาประหนึ่งว่าพวกเขามารออยู่ก่อนนานแล้ว แต่ไม่ยอมแสดงตัว
คนหนึ่งแต่งชุดพื้นเมืองแบบร่วมสมัยทำหน้าที่เป็น Camp Host ขณะที่อีกคนเขียวหัวเป็ดทั้งชุด คล้ายกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทำหน้าที่เป็น Ranger ซึ่งจะคอยอำนวยความสะดวกเราตลอดการเข้าพักในรีสอร์ท คนหลังขอกุญแจรถเรา เขาจะขับ (เฉพาะรถ) ไปเก็บไว้ให้ ส่วนคนแรกขอหนังสือเดินทาง เขาจะเอาไปทำใบข้ามแดน เพื่อพาเรานั่งเรือไปยังรีสอร์ท
ฉันถามให้แน่ใจว่ารีสอร์ทอยู่ส่วนไหนของโลก ถึงต้องทำใบข้ามแดนด้วย เขายิ้มและตอบว่าอยู่ฝั่งไทยนี่แหละ เพียงแต่การนั่งเรือออกจากท่าสามเหลี่ยมทองคำก็เป็นการเดินทางออกนอกประเทศแล้ว เอกสารผ่านแดนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เรือจอดรอเราอยู่ที่ท่า กล่าวทักทาย และใส่เสื้อชูชีพเสร็จ นายท้ายก็สตาร์ทเครื่องพาเราออกจากสามแยกแม่น้ำโขง มุ่งขึ้นทิศเหนือไปยังแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขา ทัศนียภาพค่อยๆ เปลี่ยนจากริมตลิ่งที่เต็มไปด้วยอาคาร สู่ผืนป่าและฟาร์มเกษตรริมน้ำ ไม่ถึง 10 นาที แม่น้ำสายกว้างก็แคบเข้า ซ้ายมือคือไทย ขวามือคือเมียนมาร์ ห่างกันราวฟุตบาทที่ถูกกั้นด้วยถนนสองเลน ไม่มีรั้วหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดนอกจากต้นไม้ มีเพียงแพเล็กๆ ฝั่งไทยที่ใช้เป็นท่าเรือ และเรือก็เทียบท่าตรงนั้น
จะกล่าวว่าเป็น hidden place ก็ไม่ผิด เพราะนี่เป็นรีสอร์ทเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่ไม่มีป้ายบอกทาง ทางเข้าเป็นถนนลูกรัง กระทั่งไม่มีป้ายชื่อรีสอร์ทด้านหน้า ซึ่งเป็นความตั้งใจของเจ้าของที่จะทำให้รีสอร์ทแห่งนี้ปลีกวิเวกกับธรรมชาติ คล้ายหมู่บ้านลึกลับกลางป่าที่เชื่อมสู่โลกภายนอกด้วยการนั่งเรือเข้ามา
เราเดินขึ้นบันไดที่ทำจากไม้ไผ่จากท่าเรือสู่เนินเขา เป็นบ่ายที่อากาศไม่ร้อน ต้นไม้หนาแน่น และลมจากแม่น้ำพัดเข้ามาจนรู้สึกดี วิเวกแต่ไม่วังเวง เราได้ยินเสียงแมลงที่ปลูกบ้านไว้ในพงไม้ บางครั้งได้ยินเสียงร้องในเชิงหยอกล้อและเริงร่าของฝูงช้างก้องขึ้นมา
ออกแบบโดย Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังที่มีผลงานออกแบบรีสอร์ทและแลนด์สเคปทั่วโลก Four Seasons Tented Camp Resort น่าจะเป็นรีสอร์ทหรูแห่งเดียวในประเทศที่ห้องพักทั้งหมดเป็นเต็นท์ โดยเต็นท์ทั้งหมด 16 หลัง ที่ภายในตบแต่งด้วยสไตล์คล้ายกระท่อมของนักบุกเบิกชาวตะวันตกแห่งศตวรรษที่ 19 ผสานกับรายละเอียดและกลิ่นอายแบบพื้นถิ่นล้านนา ต่างตั้งเรียงรายตามไหล่เขา แต่ละหลังมีระยะทางห่างกันอย่างรู้จักความเป็นส่วนตัว หากก็ไม่ไกลกันจนเดินเหนื่อย
เต็นท์ทุกหลังมีระเบียงขนาดใหญ่มาก (โดยบางหลังมีอ่างจากุซซี่ให้แช่ตัวกลางแจ้งด้วย) ระเบียงเผยให้เห็นทิวทัศน์กว้างและไกลของทุ่งหญ้าซึ่งเป็นที่พำนักของฝูงช้างที่รีสอร์ทแห่งนี้ดูแล พ้นจากทุ่งหญ้าคือคุ้งแม่น้ำรวก ชายแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมาร์ ที่ซึ่งในทุกช่วงบ่ายเราจะได้เห็นฝูงควายจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านทยอยกันออกมาแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ และมองพ้นไปอีกไม่ไกลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นเทือกเขาของประเทศลาว
ไม่เพียงจะเป็นเต็นท์ที่มีทิวทัศน์อินเตอร์เนชั่นแนลและสวยจนน่าใจหาย หากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในก็พอจะนิยามได้ว่านี่คือเต็นท์ที่หรูหราอย่างหาที่สุด – ที่นอนขนาดคิงไซส์, เครื่องปรับอากาศ, อ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ห้องอาบน้ำแบบโอเพ่นแอร์ เดย์เบดบนระเบียงพร้อมกล้องส่องทางไกลเอาไว้ส่องสัตว์ สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานของโรงแรมหรู (ยกเว้นโทรทัศน์ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่จำเป็นเลย) และมินิบาร์ที่รุ่มรวยและหลากหลายไปด้วยขนม กาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
รีสอร์ทมีห้องอาหารอยู่หนึ่งห้องซึ่งอยู่ถัดจากล็อบบี้ เป็นโอเพ่นแอร์ที่มองเห็นแม่น้ำรวกเช่นกัน ถัดจากห้องอาหารคือสระว่ายน้ำที่ตกแต่งเหมือนออนเซ็น โดยมีทั้งสระน้ำเย็นและบ่อน้ำอุ่นที่เป็นจากุซซี่ในตัวด้วย ด้านหลังของห้องอาหารเป็นกระท่อมหลังคาสูงซึ่งสุมจากฟางแบบพื้นถิ่น หากภายในคือ Wine Cellar ที่เปิดให้แขกได้ชิมไวน์และชีสอย่างเป็นส่วนตัวในทุกเย็น
พ้นจากส่วนหน้าก็คือทางเดินขึ้นเขาซึ่งมีเต็นท์ที่พักเรียงรายดังที่บอก เต็นท์ตั้งอยู่บนไหล์เขาสองลูก โดยมีสะพานแขวนเชื่อมภูเขาไว้ด้วยกัน สะพานสูงราวยี่สิบเมตร เบื้องล่างคือสระบัว ทิศตรงข้ามวิวแม่น้ำ มองเข้าไปคือหุบเขาที่วิวสวยขาดใจไม่แพ้อีกฝั่ง เมื่อข้ามพ้นจะสะพาน จะมีทางแยกไปสปา ซึ่งสปาที่นี่ก็โอเพ่นแอร์อยู่กลางป่า มาพร้อมกับทิวทัศน์อันน่าทึ่งเข้าไปอีก ส่วนทางแยกอีกทางคือทางไป Burma Bar ค็อกเทลบาร์ในกระท่อมไหล่เขา จุดนั่งชมพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุดของรีสอร์ท
การเข้าพักที่นี่เหมือนการมานอนโรงแรมหรูแบบบุฟเฟ่ต์ กล่าวคือค่าที่พักต่อหนึ่งคืน จะรวมค่าอาหารทุกมื้อ เครื่องดื่ม และการใช้ facility ทั้งหมดที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว นั่นแหละค่ะ, จะชิมไวน์ หรือจิบค็อกเทลละเลียดไปกับการชมพระอาทิตย์ตกกี่แก้วก็ไม่มีใครว่าอะไร มินิบาร์ในห้องก็ไม่อั้น ซึ่งถ้าเราลองหยุดเล่นอินเตอร์เน็ตชั่วคราว การมาอยู่ที่นี่ก็คล้ายการย้ายมาอยู่บนโลกอีกใบที่มีเราเป็นพระราชา (หรืออาจเป็นเจ้าป่า) สะดวกสบายด้วย ขณะเดียวกันความผาสุกของธรรมชาติก็ช่วยบำบัดจิตใจภายในเราไปพร้อมกันอย่างเป็นอัตโนมัติ
ทั้งนี้ค่าที่พักยังรวมถึงการทำกิจกรรมของรีสอร์ทในช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่ด้วย นั่นคือการเดินเล่นกับช้าง
ค่ะ Four Seasons Tented Camp, Golden Triangle ไม่ใช่แค่การตั้งชื่อตามดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแคมป์กลางป่าอย่างเดียว แต่ที่นี่เป็นแคมป์เลี้ยงช้างจริงๆ ด้วย โดยช้างที่นี่มีด้วยกัน 6 เชือก ทั้งหมดเป็นช้างพัง (เพศเมีย) จากมูลนิธิ Golden Triangle Asian Elephant มูลนิธิที่อุปการะช้างเร่ร่อน, ช้างที่ปลดประจำการจากปางช้าง หรือจากการใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ธรรมชาติมากที่สุด
ช้างทั้ง 6 เชือกของโฟร์ซีซั่นส์ ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของควาญช้างมืออาชีพ ทุกตัวร่าเริง เป็นมิตร และพูดรู้เรื่อง พวกเขามีหน้าที่ในการเอนเตอร์เทนแขกของรีสอร์ท ทั้งการทักทายที่ห้องอาหารในยามเช้า และกิจกรรมในยามสายหรือบ่าย ซึ่งมีทั้งการเดินเล่น ป้อนอาหาร ให้แขกอาบน้ำให้พวกเขา รวมไปถึงการฝึกขี่ช้าง
ที่น่ารักก็คือรีสอร์ทให้สวัสดิการที่ดีกับช้างเหล่านั้นด้วย เพราะช้างหนึ่งเชือกต่อหนึ่งวันจะทำกิจกรรมกับแขกเพียงสองครั้งเท่านั้น และหากวันไหนช้างเชือกไหนมีท่าทีอิดออด ก็จะปล่อยให้เขาได้พักผ่อนกลางทุ่งหญ้าริมน้ำ เป็น safari park ที่มองเห็นได้จากระเบียงของทุกเต็นท์ (ฉันเอกเขนกบนเดย์เบดยามบ่าย ดูพวกเขากำลังแทะเล็มหญ้าไม่หยุดหย่อน บางทีก็หยอกล้อกันเองในฝูงบ้าง ดูชิลกว่าแขกที่มาพักเสียอีก!)
การได้มาทำกิจกรรมกับช้าง ได้ฟังเรื่องราว รวมทั้งทราบว่าทางรีสอร์ทมอบสวัสดิการให้แก่พวกเขาอย่างไรบ้าง เปลี่ยนภาพจำของฉันในฐานะเด็กไทยที่โตมากับการเห็นช้างเร่ร่อนเดินตรากตรำบนท้องถนนกลางเมืองได้ดี ซึ่งฉันคิดว่านี่อาจเป็นมูลค่า หรือพูดได้ว่าเป็น ‘ความหรูหรา’ หนึ่ง ไม่ต่างจาก ทำเลที่ตั้ง, ทิวทัศน์, ธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพที่รีสอร์ทมี
และถึงแม้เป็นระยะเวลาอันสั้น แต่การได้เห็นการแนวทางการออกแบบและการจัดการภายในที่รีสอร์ทตั้งใจจะ ‘หดตัว’ ให้เล็ก และกลมกลืนไปกับผืนป่าโดยรอบให้ได้มากที่สุด นั่นก็ยิ่งทำให้ฉันไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวหลายคนทั่วโลกต่างเลือกเดินทางมาดินแดนสามเหลี่ยมทองคำเพียงเพื่อเหตุผลอันเรียบง่ายเหตุผลเดียว คือการมานอนเต็นท์ที่นี่
แน่นอนที่ว่าเราต่างนิยามความหรูหราไม่เหมือนกัน บางคนอาจเป็นอัครสถาน, อัญมณีเม็ดงาม หรือมื้ออาหารที่รังสรรค์จากวัตถุดิบที่ดีที่สุด แต่นั่นล่ะ กับบางความหรูหราอาจเรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะหาจากไหนก็ได้ – เช่นการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ, เดินเล่นกับช้าง, นอนอาบแดดริมน้ำ, จิบค็อกเทลระหว่างชมพระอาทิตย์ตก, ดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่อาจดึกกว่าปกติเล็กน้อย และตื่นขึ้นมาเพื่อมองเห็นทิวทัศน์ของท้องทุ่งจากปลายเตียง ซึ่งทำให้ฉันเผลอคิดว่าอยู่ในแคมป์กลางป่าของแอฟริกา…
เป็นความหรูหราที่พยายามทำให้เรากลมกลืนไปกับธรรมชาติ เบียดเบียนอย่างน้อยที่สุด หากก็ตักตวงความสุขออกมาให้ได้มากที่สุด – เป็นความหรูหราที่มีคุณค่าต่อกายและใจ
Fact Box
Four Seasons Tented Camp, Golden Triangle มีที่พัก 2 type หลัก ได้แก่ Luxury Tents ขนาด 54 ตารางเมตร (ซึ่งแยกย่อยออกเป็น Deluxe, Superior และ Superior River View โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน) และเต็นท์แบบ Explorer's Lodge ซึ่งเหมาะสำหรับแขกที่มาเป็นครอบครัว เพราะมี 2 ห้องนอน และสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ยื่นเข้าหาทิวทัศน์ธรรมชาติ เข้าไปดูข้อมูลได้ที่ www.fourseasons.com/goldentriangle