เชื่อว่าหลายคนคุ้นกับชื่อเมือง ‘ฟลอเรนซ์’ ในอิตาลี แต่อาจไม่ค่อยแน่ใจว่าเมืองชื่อหวานๆ นี้ ตั้งอยู่ตรงใหนกันแน่ และอาจเหมาไปว่าคงเป็นเมืองงามๆ ขลังๆ ตามประสาเมืองเก่าในยุโรป
ผมก็เช่นกัน ได้เคยเห็นภาพวิวเมืองมุมสูงจากนิตยสารท่องเที่ยวและหนังเก่าหลายเรื่อง (มารู้ภายหลังว่าถ่ายจากจุดชมวิวงามๆ ที่ฮอตฮิตมาก นามว่า ‘Piazzale Michelangelo’) สีส้มทองของหลังคายามต้องแสงอาทิตย์มันช่างโรแมนติกเกินบรรยาย
‘ฟลอเรนซ์’ เธอคือหญิงงามในจินตนาการที่ชายนักเดินทางหมายจะยลโฉม ปลายหนาวที่แล้ว เราจึงได้ตัดสินใจเดินทางไกลไปพบเธอ
จุดชมเมืองฟลอเรนซ์ ที่ Piazzale Michelangelo
รถไฟด่วนพาเราวิ่งตรงเกือบ 2 ชั่วโมงจากมิลาน มาจอดเทียบชานชาลา ฟิเรนเซ Firenze (ชื่อเมือง อ่านอย่างอิตาเลียน) เธอต้อนรับเราด้วยสายฝนชุ่มฉ่ำ ภาพในความคิดกับยามเจอหน้า มันช่างต่างกันอย่างน่าแปลกประหลาดใจ เราทักทายเมืองชื่อหวานด้วยภาพแรกที่สถานีรถไฟ Firenze Santa Maria Novella ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงปี 1930 ความโมเดิร์นแบบอิตาเลียน เส้นสายแข็งๆ รูปทรงเหลี่ยมทำให้เราไม่มั่นใจในความสวยหวาน ยิ่งได้เดินจากอาคารสถานี แพนโทนสีส้มนวลในภาพฝัน ช่างห่างไกลจากความจริงตรงหน้า
กลุ่มอาคารสีเข้มใน Florence
ด้วยว่าเมืองนี้ไม่มีรถไฟฟ้าที่มุดอยู่ใต้ดิน ทำให้การเดินทางของเราทั้งรถสาธารณะ และผ่านการเดินสองเท้า ได้อิ่มกับวิวเมืองอย่างเต็มตา นักประพันธ์ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ Henry James ได้กล่าวถึงเมืองนี้ไว้ว่า “Everything about Florence seems to be colored with a mild violet, like diluted wine.” เรายกมือเห็นด้วยกับท่านอย่างเต็มใจ เพราะทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยกลุ่มสีไวน์จางๆ และเขียวเข้มไปถึงเฉดน้ำตาล ใจกลางเมืองเป็น กลุ่มอาคารเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้หน้าตาไม่ต่างจากอดีต หากขยับออกมาในย่านอยู่อาศัย แม้ตึกจะดูร่วมสมัย แต่กลุ่มสีของฟลอเรนส์ก็เหมือนกันไปทั้งเมือง
เอาล่ะ แม้จะไม่ตรงกับภาพที่จินตนาการไว้ แต่ระหว่างทางขนย้ายสัมภาระไปยังที่พัก เรากลับรู้สึกว่า ฟลอเรนซ์มีเอกลักษณ์ต่างจากหัวเมืองอื่นๆ ที่เราเคยไปเยือน ความขึงขัง ทว่าแอบอ่อนช้อยในรายละเอียด ทำให้เราแหงนคอชมบ้านเมืองอย่างเพลิน โดยเกือบลืมมองข้างทางที่ตูบตัวจ้อย วางระเบิดไว้หลายจุด
กลุ่มอาคารของมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ Duomo di Firenze
ประตูด้านหน้ามหาวิหาร
จุดไฮไลท์สำคัญแห่งแรกที่เราต้องไปสำรวจคือ ‘ดูโอโม’ (Duomo) หรือ มหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ (Duomo di Firenze / Basilica di Santa Maria del Fiore) อาคารหินอ่อนสีเขียว สลับขาวและชมพูอ่อนแห่งนี้ มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของมหาวิหารทั่วยุโรป จุดเด่นของที่นี่คือโดมสีส้มขนาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก เมื่อ 500 กว่าปีที่แล้ว ได้รับการออกแบบให้ไร้คาน ไร้เสาค้ำ อันเป็นต้นแบบของโดมอื่นๆ ในยุคต่อมา เราสามารถเดินขึ้นชมจุดสูงสุดของมหาวิหารได้ที่หอระฆัง โดยต้องรวบรวมพละกำลัง ไต่บันได 463 ขั้นขึ้นไปสัมผัสกับความงามจากมุมสูง
ผลงานชิ้นงามในหอศิลป์ Uffizi Gallery
แม้จะได้เป็นเมืองหลวงของอิตาลีในช่วงสั้นๆ (ระหว่าง ค.ศ.1865 -1870) แต่ฟลอเรนซ์ก็นับว่า เป็นมืองสำคัญ เพราะเป็นจุดกำเนิดของศิลปะยุคเรเนซองส์ (Italian Renaissance) ซึ่งส่งอิทธิพลไปทั่วยุโรป ในประวัติศาสต์อันแสนยาวนาน เมืองนี้เคยตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของ ‘ตระกูลเมดีซี’ (Medici) ผู้ซึ่งคลั่งไคล้การสะสมผลงานศิลปะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าตามตรอกซอกซอยเมือง จะเต็มไปด้วยแกลอรีศิลปะและไม่ใช่เพียงศิลปะธรรมดา เพราะการันตีด้วยชื่อเสียงของศิลปินระดับโลกอย่าง ไมเคิล แอนเจโล, เลโอนาร์โด ดา วินชี, ราฟาเอล และ ซานโดร บอตติเชลลี ถ้าอยากชมให้เต็มตา สามารถแวะชมชิ้นเด็ดได้ที่ หอศิลป์อุฟฟิซิ Galleria Degli Uffizi หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของโลก ซึ่งวิวห้องกระจกจากชั้นบนนี้เอง เราจะเห็นทิวเขาทัสคานีเป็นฉากหลัง และยังได้ชม สะพานเวคคิโอ Ponte Vecchio (แปลตรงตัวว่าสะพานเก่า) เอกลักษณ์เด่นอีกแห่งของเมือง
สะพานเก่าหรือสะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio)
ใกล้ๆ กันนั้นยังมีศาลา Loggia dei Lanzi จุดอวดผลงานรูปสลักนับสิบฝีมือศิลปินอิตาเลียน ซึ่งเรียงรายอวดโฉมให้เราได้ชม ศาลาดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บน จัตตุรัสเปียซซา เดล ซิญญอเรีย Piazza della Signoria ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของศาลากลางเมือง และวังเก่า ปาลาซโซ เวคคิโอ Palazzo Vecchio
ศาลาจัดแสดงรูปปั้นชิ้นเอกกลางจัตุรัส Piazza Della Signoria
รู้หรือไม่ว่า ด้านหน้าวังแห่งนี้เองเป็นที่ตั้งของรูปปั้น(จำลอง) หนุ่มเดวิด “David” รูปปั้นที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เดวิดเป็นสัญลักษณ์ความสำเร็จของชาวเมืองในการขับไล่ตระกูลอำนาจเก่า เพราะเด็กหนุ่มในตำนานคนนี้ ล้มยักษ์โกไลแอทได้ด้วยสติปัญญา เปรียบได้กับชาวเมืองที่ขับไล่ตระกูลอำนาจ เก่าออกไปได้สำเร็จ
พระราชวัง Palazzo Vecchio
แต่หากอยากทักทายกับเดวิดตัวจริงเสียงจริง ต้องเดินเท้าไปอีกไม่ถึงกิโลที่ Galleria dell’ Accademia นอกจากมาทักทายเดวิดแล้ว ในมุมเล็กๆ ของที่นี่ ยังมีนิทรรศการให้ความกระจ่างถึงภูมิปัญญาในอดีตของศิลปินอิตาเลียน และรวมรูปหล่อปูนอันเป็นกรรมวิธีการขึ้นรูปของผลงานประติมากรรมชิ้นเอกอีกหลายชิ้น
รูปปั้น David
ความงามและร่องรอยอารยะของฟลอเรนส์ในอดีต ยังแผ่ไปอีกฝากฝั่งของแม่น้ำอาร์โน หากข้ามสะพานเก่าไป เราจะพบกับวิถีชีวิตของชาวฟลอเรนซ์ซึ่งมีสไตล์ เก๋ไก๋ใช่ย่อย ตามตรอกซอกซอย มีทั้งร้านเครื่องเขียนจำหน่ายกระดาษทำมือ ปากกาแบบจุ่มหมึก ร้านเครื่องแก้ว รวมไปถึงร้านรวมข้าวของแฟชั่น เมดอินฟลอเรนซ์์อีกหลายร้าน
ผลงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Galleria dell’Accademia
หากมีเวลาสักหน่อยลองสั่งกาแฟอิตาเลียน หรือไวน์ดีๆ นั่งตามร้านในตรอกซอยเล็กๆ สังเกตุความเป็นไปของเมือง แม้ว่าสีของสิ่งก่อสร้างจะดูมืดๆ ทึมๆ แต่ชาวเมือง (และนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ) กลับดูมีชีวิตชีวา ยิ่งถ้ามาถูกฤดู สาวๆ จะเห็นฟลอเรนซ์กลายเป็นรันเวย์ให้หนุ่มๆ แฟชั่นนิสโต้ อวดโฉมในงานแฟชั่นเทรดแฟร์เครื่องแต่งกายชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกนามว่า Pitti Umo ไปเป็นของแถม
ลานหน้าโบสถ์ Santa Maria Novella
เนื่องด้วยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่องเที่ยวหลักหลายเมือง หากอยากวางแผนมาฟลอเรนซ์ เราสามารถวางเส้นทางให้พาดผ่านทั้ง ปิซ่า โบโลญญ่า และเฉออกไปได้ถึงเวนิส เก็บครบได้หลายรสชาติ
ทริปหน้า อยากชวนให้ลองมาสัมผัสเมืองสีเขียวมะกอกแมนๆ และสีไวน์จางๆ แห่งนี้ดู แล้วจะรู้ว่า มีความน่าหลงไหลไม่แพ้เมืองใดในอิตาลี