ฟิตบิตชนะการประมูล ได้เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ติดตามตัวด้านสุขภาพให้กับชาวสิงคโปร์ โดยชาวสิงคโปร์สามารถลงชื่อเพื่อขอรับฟิตบิตได้ฟรี โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นการจ่ายแพคเกจสุขภาพเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐ

บริษัทเปิดเผยเรื่องนี้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม และตอนนี้ฟิตบิทกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อออกแบบโปรแกรมที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คนสิงคโปร์มีสุขภาพดีขึ้น ภายใต้โครงการความร่วมมือ ‘ลีฟ เฮลธี เอสจี’  (Live Healthy SG) ซึ่งมีคู่แข่งเสนอแผนงานกับหน่วยงานรัฐบาลสิงคโปร์หลายเจ้า แต่ฟิตบิตสามารถประมูลชนะหนึ่งในคู่แข่งอย่าง ‘แอปเปิล’ ไปได้

เจมส์ พาร์ค ซีอีโอของฟิตบิตกล่าวว่า การเจรจาต่อรองแข่งขันสูงมาก ซึ่งราคาของฟิตบิต อินสไปร์ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แอปเปิล วอทซ์รุ่นที่ถูกที่สุด ก็ยังแพงกว่าถึง 3 เท่า 

โครงการนี้ยังเป็นหนึ่งในแผนก้าวสู่สมาร์ตเนชั่นของสิงคโปร์ ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและผลักดันให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นเข้าสู่ยุคดิจิทัล

จากการประมูลนี้ ทำให้นับแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป ชาวสิงคโปร์สามารถลงทะเบียนเพื่อรับฟิตบิต อินสไปร์ (Fitbit Inspire) ซึ่งเป็นรุ่นที่บริษัทเพิ่งออกเมื่อต้นปีนี้ และน่าจะเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยชาวสิงคโปร์จะได้รับฟิตบิต อินสไปร์ฟรีหากยอมจ่ายเงิน 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี โดยจะได้คู่มือและโคชชิงแบบตัวต่อตัว

ผู้ใช้เลือกได้ด้วยว่า จะแชร์ข้อมูลของตัวเองกับคณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานนี้จะใช้ข้อมูลไปวางแผนโครงการต่างๆ โดยโครงการจะเข้าถึงข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ยินยอมโดยสมัครใจ

เหตุที่รัฐบาลสิงคโปร์พยายามกระตุ้นให้ประชาชนกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องการลดรายจ่ายทางสุขภาพในการดูแลประชาชน เพราะตอนนี้ชาวสิงคโปร์มีผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจและเบาหวานมากขึ้น

ซี ยุง กัง ซีอีโอของคณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติของสิงคโปร์กล่าวว่า สิงคโปร์ซึ่งมีประชากร 5.6 ล้านคน หากมีโครงการที่ใช้เทคโนโลยีร่วมด้วย จะช่วยทำให้ชาวสิงคโปร์มีสุขภาพดีขึ้น และเปลี่ยนพฤติกรรม โดยหวังว่าอุปกรณ์นี้จะทำให้ชาวสิงคโปร์ควบคุมการดูแลสุขภาพร่างกายได้

บริษัทไม่เปิดเผยมูลค่าของการทำสัญญาครั้งนี้ บอกเพียงว่า มีผลสำคัญต่อรายได้ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในปี 2019  ข้อตกลงนี้มีมูลค่ามากกว่า 5% รายได้ที่คาดไว้ในปี 2020 ของฝ่ายนี้ ฟิตบิตคิดว่า จะมีผู้ร่วมโครงการนี้มากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด

ในระยะแรกๆ ฟิตบิตซึ่งเน้นผลิตฮาร์ดแวร์เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของฟิตบิตตกลงไปมากกว่า 50% เพราะมีคู่แข่งในตลาดอุปกรณ์ติดตามตัวเพิ่มมากขึ้น เช่น แอปเปิลวอทซ์ เจมส์ พาร์ค ซีอีโอของฟิตบิตจึงพยายามผลักดันให้บริษัทออกซอฟต์แวร์และบริการอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้มากขึ้น 

 

 

ที่มา:

Tags: , , , , ,