อาจพูดได้เต็มปากว่าเรื่อง ‘เรือดำน้ำ’ Yuan Class S26T ที่กองทัพเรือของไทยสั่งซื้อกับบริษัท China Shipbuilding & Offshore International (CSOC) ของประเทศจีนมีปัญหาคาราคาซังมาหลายปีจากเหตุ ‘ไม่มีเครื่องยนต์’ ได้จบลงแล้วเมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2568) ด้วยสภาพแบบ ‘กำขี้ดีกว่ากำตด’

เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ ‘เรือดำน้ำ’ Yuan Class S26T เดินหน้าใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนกำเนิดพลังงานไฟฟ้าเป็นเครื่องยนต์ ‘CHD 620’ ของจีนแทนที่จะใช้เครื่องยนต์ MTU 396 ของประเทศเยอรมนี ซึ่งถือว่า ‘ผิด’ ไปจากสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำลำนี้ ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน

แล้ว ‘ต้นทาง’ กรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำมาอย่างไร… เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปหาสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำที่เกิดขึ้นในปี 2560 ภายใต้รัฐบาลทหารของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ณ เวลานั้นมีผู้เสนอตัวขายเรือดำน้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เกาหลีใต้ กระทั่งเยอรมนี ประเทศต้นตำรับเรือดำน้ำและประเทศผู้ผลิตเครื่องยนต์ แต่ไทยเลือกซื้อเรือจีน เครื่องเยอรมนี เพราะราคาเย้ายวนใจกว่า และประเทศอื่นก็ไม่ได้สนใจจัดโปรโมชัน เพราะรัฐบาลขณะนั้นเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหาร ไม่สามารถคบค้ากับใครได้เต็มตัว

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครวิพากษ์ดีลดังกล่าว อนาลโย กอสกุล เจ้าของเพจ thaiarmedforce.com โพสต์ข้อความว่า มีหลายคน (รวมถึงตัวเขาเอง) ที่รู้แต่แรกว่าเยอรมนีจะไม่สามารถส่งเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้จีนได้ แต่สุดท้ายก็มีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น

ครั้งนั้นรัฐบาลประยุทธ์วางงบประมาณกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท สำหรับเรือดำน้ำจีน 1 ลำ โดยเป็นการแบ่งชำระออกเป็น 17 งวด ระหว่างปี 2560-2566 และอีก 2 ลำตั้งงบประมาณไว้ระหว่างปี 2563-2569 รวมอีกว่า 2.25 หมื่นล้านบาท

ปัญหาเริ่มเกิด ณ ปี 2565​ เมื่อกองทัพเรือรู้ตัวแล้วว่า สหภาพยุโรป (European Union: UN) มีข้อกำหนดห้ามส่งยุทโธปกรณ์ (Embargo Policy) ให้ประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2562 ผลจากการปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 และความขัดแย้งทะเลจีนใต้ที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ผลที่เกิดขึ้นจาก Embargo Policy จึงตกทอดมา ทำให้บริษัทฯ ต่อเรือของจีนไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ตามสัญญาเดิมมาให้รัฐบาลของไทยได้

อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือของไทยได้ออกมายืนยันว่า เรื่อง Embargo Policy ที่เกิดขึ้นระหว่าง EU และจีน เกิดขึ้นหลังจากการลงนามในสัญญาสั่งซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือในสมัยรัฐบาลทหารของพลเอกประยุทธ์ 

เรื่องดังกล่าวคาราคาซังอยู่หลายปี เพราะกองทัพเรือเองก็ยังสองจิตสองใจ ไม่กล้าเดินหน้าต่อ เพราะกำลังพลของกองทัพเรือนั้นคุ้นเคยกับระบบ ‘เครื่องเยอรมัน’ มาโดยตลอด ขณะเดียวกันเรือดำน้ำจีน เครื่องจีนรุ่น 26T ก็ไม่เคยใช้กับเรือดำน้ำลำอื่นนอกประเทศจีน มีความพยายามโยนหินถามทางมากมาย ทั้งเรื่องการขอ ‘คืนเงิน’ ทั้งเรื่องการแลกเปลี่ยนเป็นเรือฟรีเกตแทน เพราะกองทัพเรือและกระทรวงกลาโหมก็ยังอยากได้ของที่ ‘ตรงปก’ แต่จีนยืนยันท่าเดียวว่าไม่ได้

ดังนั้นเพื่อที่จะให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ จึงมีความจำเป็นที่ต้อง ‘แก้ไขสัญญา’ ให้ Yuan Class S26T สามารถใช้เครื่องยนต์จากจีนได้ เพื่อปลดล็อกเรื่องนี้ในที่สุด การแก้ไขสัญญาเพื่อใช้เครื่องยนต์จากจีนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะหากไร้การดำเนินการแก้ไขใดๆ สุดท้ายกองทัพเรือก็ต้องเสียเวลา เสียเงินฟรีไปอยู่หลายงวด โดยที่ไม่ได้ ‘ของ’ อะไรกลับมา

ย้อนกลับไปในปี 2565 ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยตำหนิพลเอกประยุทธ์ว่า ‘ไม่มีความกล้า’ ที่จะล้มดีลเรือดำน้ำครั้งนี้ อีกทั้งระหว่างการลงนามในสัญญาซื้อไม่มีความรอบคอบเพียงพอ เพียงแต่จะจ้องใช้เงินงบประมาณของแผ่นดิน

บทสรุปเรื่องนี้ ไทยยอมซื้อของจีนในราคาเยอรมัน คนอนุมัติไม่ต้องรับผิดชอบ ผู้ผลิตก็ไม่ต้องรับผิดชอบ 

คณะรัฐมนตรีที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งหัวโต๊ะ ‘อาศัยจังหวะชุลมุน’ อนุมัติขยายกรอบเวลาเกือบ 4 ปี ในการยอมติดตั้งเครื่องจีน ลงในเรือดำน้ำจีน 

และตามมาด้วยการแถลงข่าวของกองทัพเรือยืนยันว่า สมรรถนะเครื่องยนต์ไม่ได้ ‘ย่ำแย่’ เพราะเครื่องยนต์นี้ผ่านการใช้งานจริงในเรือดำน้ำของประเทศคู่สัญญาอื่นๆ เช่น ประเทศปากีสถาน (อันที่จริงก็มีปากีสถานเพียงประเทศเดียว) อีกทั้งยังได้รับการรับรองจาก Lloyd’s Register สถาบันจัดชั้นเรือระดับโลกของสหราชอาณาจักร ดังนั้นขอให้ประชาชนไว้ใจได้เลยว่า อาวุธและยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือมีความพร้อมที่จะทำภารกิจดูแลอธิปไตยของประเทศ

นอกจากนี้ยังขยายเวลารับประกันเครื่อง อะไหล่ และการสนับสนุนด้านเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจาก 2 ปี เป็น 8 ปี พร้อมจัดฝึกอบรมด้านการซ่อมบำรุง มอบยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมที่กองทัพเรือต้องการรวม 125 ล้านบาท และสนับสนุนซิมูเลเตอร์ พร้อมยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีก 600 ล้านบาท

อย่างน้อยก็ยุติปัญหาเดิมได้ แทนที่จะเลือกใช้วิธี ‘ยกเลิกดีล’ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามที่ตามมาอย่างน้อย 4 ข้อคือ

1. ในฐานะ ‘ผู้ซื้อ’ เมื่อได้ของไม่ตรงปก ไม่เป็นไปตามสัญญา เพราะเหตุใดจึงไม่สามารถส่งคืนของ หรือเรียกค่าชดเชยได้ สัญญาที่ทำไว้ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นั้นเขียนไว้อย่างไร

2. เมื่อได้ของไม่ตรงปก ควรเป็นความรับผิดชอบของใคร ผู้ที่เซ็นสัญญาทั้ง 2 ฝ่ายในขณะนั้นควรรับผิดชอบหรือไม่ 

3. เมื่อมีผู้ให้เบาะแสมาว่า มีผู้รู้อยู่แล้วว่า ‘ดีล’ ดังกล่าว อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงตั้งแต่แรก ก็แปลว่า มีผู้รู้แต่แรกอยู่แล้วหรือไม่ว่า รัฐบาลไทยต้องจ่ายราคาเยอรมัน เพื่อที่จะได้เรือดำน้ำจีน การกระทำดังกล่าวส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ และหน่วยงานทุจริตอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะว่าอย่างไร

4. แล้วอนาคตเรือดำน้ำไทยจะเป็นอย่างไร หากเริ่มจากลำที่ 1 เป็นเรือจีน มีเรือพี่เลี้ยง โรงจอดเรือที่เป็นระบบจีนหมดแล้ว ไทยยังต้องใช้เรือดำน้ำจีนต่อไปอีกหรือไม่

ถึงที่สุด คำถามที่แวดล้อมยังมีมากมาย แต่ทุกอย่างถูกกลบด้วยเรื่องของ ‘ความมั่นคง’ และการ ‘รับๆ ไปก่อน’ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เพราะสุดท้าย คนที่รับกรรมก็คงหนีไม่พ้นเหล่าทหารเรือตัวเล็กตัวน้อย ที่ตั้งใจทำหน้าที่ดูแลปกป้องประเทศ ขณะที่คนเห็นดีเห็นงามในคำสั่งซื้อครั้งนี้ก็ลอยนวลไร้ความผิด ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ

Tags: , , ,