หากภาพยนตร์คือกระจกสะท้อนสังคม ผู้กำกับก็คงเป็นจิตรกรที่ใช้เรื่องราว บรรจงวาดภาพปัญหาชีวิตของตัวละครในหลากหลายเฉด ทว่าหลายครั้งภาพยนตร์ที่ถูกนำเสนอโดยมุมมองเพศชาย อาจจะไม่สามารถถ่ายทอดปัญหาหลายเฉดที่ผู้หญิงต้องเจอได้ดี ดังนั้นเมื่อผู้หญิงเป็นคนกำหนดเรื่องราวและการนำเสนอ จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่ฉายส่องมุมมืดอันซับซ้อนของสังคมที่ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ 

เนื่องในวันสตรีสากล The Momentum อยากพาผู้อ่านไปสำรวจปัญหาหลายเฉดสีของผู้หญิงที่ถูกนำเสนอในภาพยนตร์หลากหลายแนวของเหล่าผู้กำกับหญิง ไม่ว่าจะผ่านเสียงหัวเราะอย่างในหนังโรแมนติกคอเมดี ผ่านคราบน้ำตาในหนังดราม่า ไปจนถึงความสยดสยองในภาพยนตร์เขย่าขวัญปั่นประสาท

Nancy Meyers: เป็นคนดีให้เธอแทบตาย สุดท้ายก็โดนหักหลัง

หากใครอยากจะหาหนังรักอบอุ่นใจที่มาพร้อมเส้นเรื่องโอละพ่อมาดูในวันว่างๆ จักรวาลหนังของ แนนซี ไมเยอร์ส (Nancy Meyers) ผู้กำกับชาวอเมริกัน คงตอบโจทย์มากที่สุด เพราะมีตั้งแต่เนื้อเรื่องคุณแม่ผัวหย่าวัย 56 ปี ที่ตกหลุมรักแฟนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันของลูกตัวเอง อย่างเรื่อง Something’s Gotta Give ผู้หญิงเป็นชู้กับสามีเก่าตัวเองที่หย่าไปแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงที่เคยเป็นชู้ของสามีเธอ อย่างเรื่อง It’s Complicated (2009) ไปจนถึงผู้หญิงอาภัพรักที่ขอสลับที่พักใจกับเพื่อนใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างเรื่อง The Holiday (2006) ทว่าความซับซ้อนปนน่ารักของเส้นเรื่องและฉากหลังของบ้านตัวละครที่ดูอบอุ่น กำลังแอบซ่อนปัญหาบางอย่างที่ผู้หญิงบางคนอาจจะเคยเผชิญ

ตัวละครหลักในหนังแทบทุกเรื่องของแนนซีถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฉลาด สดใส และดูมีความสุขกับชีวิตอยู่ตลอดเวลา อย่าง อแมนดา วู้ดส์ เจ้าของบริษัทตัดต่อโฆษณาภาพยนตร์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในวงการฮอลลีวูด ในเรื่อง The Holiday หรือเจน แอดเลอร์ (Jane Adler) เจ้าของร้านเบเกอรีร้านใหญ่และคุณแม่ลูกสามที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระหลังหย่าสามีมาแล้ว 10 ปี ในเรื่อง It’s Complicated หรือจูลส์ ออสติน เจ้าของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นในเรื่อง The intern (2014)

ตัวละครเหล่านี้เป็นผู้หญิงที่เสียสละตัวเองเพื่อครอบครัวและความสัมพันธ์มาตลอดชีวิต พวกเธอคือแม่ที่ดีของลูกๆ ภรรยาที่อุทิศตนเพื่อสามี แต่สุดท้ายกลับต้องเผชิญกับการถูกหักหลัง เพราะนอกจากโปรไฟล์แสนสมบูรณ์แบบ จะเป็นสิ่งที่เหล่าตัวละครหญิงข้างต้นมีร่วมกัน อีกหนึ่งจุดร่วมสำคัญที่พวกเธอมีเหมือนกัน คือ ‘การถูกนอกใจจากคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์’ ซึ่งเหตุผลที่เหล่าสามีตัวดีให้กับพวกเธอเพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับร้อยร้าวในความสัมพันธ์กลับมาจากเรื่องคล้ายๆ กันคือ ฝ่ายชายมองว่าพวกเธอเป็นต้นเหตุของความไม่ซื่อสัตย์ที่พวกเขาก่อ ตั้งแต่พวกเธอไม่มีเวลาให้ ไม่ปรนนิบัติพัดวีเหมือนแต่ก่อน ไปจนถึงไม่เติมเต็มเรื่องบนเตียงให้พวกเขาเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเราลองคิดตามความเป็นจริงของโลก เราจะรู้สึกได้ทันทีว่า สิ่งที่ตัวละครในจักรวาลหนังของแนนซีต้องเจอ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย

 อย่างไรก็ตามแม้ว่าชีวิตของตัวละครในหนังแนนซีจะเคยผ่านความเจ็บปวดมามากเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่พิเศษของเธอในการออกแบบตัวละครเหล่านี้คือ เธอไม่ปล่อยให้ตัวละครของเธอจมอยู่ในความทุกข์ไปตลอดกาล แต่ให้โอกาสพวกเธอได้เรียนรู้จากความเจ็บปวดครั้งนั้น และมองว่าการนอกใจเป็นเพียงปัญหาหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่ใช่จุดจบทั้งหมดของชีวิต เห็นได้จากตัวละครเจนและอแมนดา ที่ได้โอกาสในการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนรักใหม่หลังตัดขาดกับคนรักเก่า หรืออย่างจูลส์ที่แม้จะเลือกอยู่ในความสัมพันธ์ต่อไป แต่เธอก็ได้เข้าใจว่าเธอมีคุณค่ามากเกินกว่าจะหยุดทำตามความฝัน เพื่อหันไปเป็นภรรยาที่ดีให้กับสามี

สุดท้ายภาพยนตร์ของแนนซีกำลังฉายให้เราเห็นความจริงที่ว่าไม่ว่าผู้หญิงจะดีพร้อมแค่ไหน ผู้ชายก็จะยังมองหาสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีกว่าอยู่ดี และเตือนใจผู้หญิงว่า การเป็นคนดีที่ทุ่มเทเพื่อครอบครัวและคนรักไม่ใช่เป็นหลักประกันว่าคุณจะได้รับความรักที่ดีตอบ แต่ถึงอย่างไรการถูกหักหลังก็ไม่ใช่จุดจบของชีวิตเสมอไป เพียงแต่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนเพื่อเรียกความสุขกลับคืนมาอีกครั้งเท่านั้นเอง

Sofia Coppola: วัยเยาว์อันหอมหวาน ต้องโดนพรากด้วยสังคมชายเป็นใหญ่ 

เมื่อพูดถึงภาพยนตร์ที่นอกจากจะมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ ยังมีคุณค่าต่อวงการศิลปะ ภาพยนตร์ของผู้กำกับหญิงชาวอเมริกันอย่าง โซเฟีย คอปโปลา (Sophia Coppola) ก็คงเป็นชื่อแรกๆ ที่คิดออก ด้วยการถ่ายทอดชีวิตของหญิงสาวผ่านสายตาที่ละเอียดอ่อนแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ และงานศิลป์ของหลายเรื่องที่ทั้งงดงาม นุ่มนวล ชวนฝัน ทว่าความสวยงามเหล่านั้นมันเป็นแค่เปลือกนอกบางๆ ในการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ของเธอ เพราะเนื้อในที่แท้จริงของหนังแทบทุกเรื่องของเธอคือ ความขมขื่นของเด็กผู้หญิงที่ต้องอยู่ท่ามกลางโครงสร้างสังคมชายเป็นใหญ่ ที่กดทับและทำลายความบริสุทธิ์ของพวกเธออย่างไร้เยื่อใย

อย่างใน Marie Antoinette (2006) คอปโปลานำเสนอชีวิตของ มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ราชินีวัยเยาว์ ที่แม้จะมีอำนาจและความมั่งคั่ง แต่กลับถูกกักขังในกรงทองของข้อกำหนดและความคาดหวัง เพราะนับตั้งแต่ที่มารีถูกส่งจากประเทศออสเตรียไปยังราชสำนักฝรั่งเศสตั้งแต่เด็กเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง เธอถูกพันธนาการด้วยขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของราชสำนักสารพัด ตั้งแต่ถูกกดดันให้มีทายาทให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทุกการกระทำ และถูกตัดสินจากภาพลักษณ์ภายนอก

มารีที่เราได้เห็นในหนังคือเด็กสาวไร้เดียงสาที่พยายามปรับตัวเข้ากับสังคมฝรั่งเศส และสร้างความสัมพันธ์กับชายผู้สุงศักดิ์ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ความเย็นชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทำให้ชีวิตแต่งงานของเธอเต็มไปด้วยความอึดอัด ในขณะเดียวกันมารีก็หันไปหาความสุขสำราญผ่านสิ่งอื่น เช่น การแต่งตัว ขนมหวานฟุ่มเฟือย และงานเลี้ยง ทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความฟุ้งเฟ้อในสายตาของประชาชน ทั้งๆ ที่จริงแล้วความสนุกสนานที่เธอหาซื้อด้วยเสื้อผ้า ขนม และงานเลี้ยงใหญ่โตโอ่อ่า เป็นเพียงการหลบหนีเพียงชั่วคราวจากความจริงอันโหดร้ายที่ว่า เธอไม่มีอำนาจที่แท้จริงเหนือชีวิตของตัวเอง

หรืออย่างภาพยนตร์เรื่อง Priscilla (2023) ที่ชวนเราไปสำรวจชีวิตอีกด้านของราชาร็อกแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ผ่านสายตาของตัวละคร พริสซิลลา เพรสลีย์ (Priscilla Presley) อดีตภรรยาของเขาและหญิงสาวที่เริ่มต้นความสัมพันธ์กับเอลวิสตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี ผู้ต้องสูญเสียวัยเยาว์อันหอมหวานและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของซูเปอร์สตาร์ผู้ทรงอิทธิพล

วินาทีที่พริสซิลลาแต่งงานกับเอลวิส เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เต็มไปด้วยชื่อเสียง เงินทอง และวิถีชีวิตที่ห่างไกลจากเด็กสาววัย 14 ทั่วไป จากเด็กสาวผู้มีอิสระในการใช้ชีวิตกลายเป็นภรรยาวัยเด็กที่ต้องอยู่ในโอวาสของสามีเจ้าบงการ เพราะแม้ว่าพริสซิลลาจะได้ชีวิตที่หรูหราราวกับฝัน และได้ความรักจากชายที่ครั้งหนึ่งใครๆ ก็อย่างเรียกว่าสามี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับราคาที่เธอต้องจ่ายให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ เธอเริ่มสูญเสียการควบคุมในชีวิตตัวเอง เพราะในแต่ละวันภายในเรือนหอของเขาและเธอ สิ่งที่เธอต้องทำตามคือคำสั่งของเขา เอลวิสควบคุมเธอ ตั้งแต่เสื้อผ้าที่เธอใส่ ทรงผมที่เธอต้องทำ ไปจนถึงพฤติกรรมและความคิดของเธอ

ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องของโซเฟีย ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์แบบที่เราเคยได้ฟังมา แต่มันกำลังพาเราไปดูความเจ็บปวดของเด็กสาวในระบบปิตาธิปไตยที่ไม่เพียงแค่พรากอัตลักษณ์และคุณค่า แต่ยังทำลายวัยเยาว์อันหอมหวานของพวกเธออย่างไม่มีชิ้นดี ทำให้ตัวละครทั้งสองที่เราได้เห็นจากภาพยนตร์ของโซเฟียจึงไม่ใช่แบบที่เราเข้าใจ มารีในเวอร์ชันของโซเฟียไม่ได้ชวนให้เรามองเธอเป็นวายร้ายที่ใช้ชีวิตหรูหราบนความสุขของประชาชน เช่นเดียวกับการไม่ Romanticize ความรักของพริสซิลลาที่มีต่อเอลวิส แต่ชวนให้เรามองเห็นเด็กสาวที่หลงทางและถูกบีบให้อยู่ในโลกที่เธอไม่อาจเลือกเอง

Coralie Fargeat: เมื่อผู้ชายมันร้าย ผู้หญิงจึงต้องปลุกปีศาจในตัวมาสู้ด้วยวิธีที่ไม่ควร

ในโลกความเป็นจริงที่ผู้หญิงต้องเผชิญอยู่กับการถูกมองเป็นเพียงวัตถุทางเพศหรือถูกจำกัดไว้ในกรอบของเหยื่อที่ไร้ซึ่งหนทางสู้ ภาพยนตร์ กอราลี ฟาร์ฌาต์ (Coralie Fargeat) ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส กลับพาเราไปมองผู้หญิงในแง่มุมที่แตกต่างออกไป เธอวาดภาพผู้หญิงในเรื่องให้กลายเป็นคนที่สามารถทวงคืนความเป็นคนกลับมาด้วยวิธีการสยดสยองหรือประหลาด เธอใช้ภาษาภาพที่ดิบและรุนแรงนำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงที่ลุกขึ้นต่อสู้กับความทุเรศที่ผู้ชายกระทำแก่พวกเธอ การสร้างตัวละครของเธอจึงไม่ใช้การสร้างภาพของวีรสตรีที่สมบูรณ์แบบ แต่กลับนำเสนอความซับซ้อนของการเอาชีวิตรอดในโลกที่ออกแบบโดยผู้ชาย

อย่างในเรื่อง Revenge (2017) ที่กำลังพูดถึงเฉดปัญหาที่เลวร้ายสุดที่จะสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตผู้หญิงหนึ่งคน อย่าง ‘การถูกข่มขืน’ หนังเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของ เจนนิเฟอร์ (Jennifer) เหยื่อที่โดนข่มขืนและพยายามฆ่าโดยผู้ชายสามคน แต่เพราะความฮึดสู้และจิตใจที่ต้องการทวงความยุติธรรมคืนให้ตัวเอง ทำให้เธอกลายร่างจากเหยื่อที่เคยนอนจมกองเลือดรอรับความตาย เป็นนักล่าที่ไม่ว่าจะต้องเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนให้ตัวเองด้วยวิธีที่ผิดแค่ไหนเธอก็จะทำ

จุดเด่นของ Revenge คือการหยิบนำภาพความรุนแรงที่เกินจริงมาใช้เพื่อฉายแสงให้ฝันร้ายที่สามารถเกิดกับผู้หญิงได้ทุกวัน เลือดที่ไหลนองจากการแก้แค้นไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับหนัง แต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่ไม่ยอมจำนนต่อสถานะเหยื่อที่ผู้ชายพยายามยัดเยียดให้ เพราะไม่ว่าเธอจะถูกผู้ชายทำร้ายซ้ำๆ อีกกี่ครั้ง หรือพยายามปลิดชีพเธอเพื่อฝังกลบสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาทำมากแค่ไหน แต่ตราบใดที่เธอยังไม่ได้ตาย เธอก็จะกลับฟื้นคืนชีพราวกับเกิดใหม่ เพื่อมาแก้แค้น

นอกจากการถูกข่มขืนทางร่างกาย อีกเฉดปัญหาหนึ่งที่ผู้หญิงในหนังของ กอราลี ฟาร์ฌาต์ ต้องเจอคือ ‘การปฏิเสธคุณค่าเพียงเพราะพวกเธอไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม’ ซึ่งหากมองในแง่หนึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการถูกข่มขืนเลย เพียงแต่ไม่ใช่ทางร่างกายแต่เป็นทางจิตใจ

 อย่างในเรื่อง The Substance (2024) ที่ตัวละครหลักอย่าง เอลิซาเบธ สปาร์ก (Elisabeth Spark) อดีตดาราหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกรักของเจ้าของสถานีโทรทัศน์อย่าง ฮาร์วี (Harvey) แต่เมื่อสังขารของเธอเริ่มโรยราตามกาลเวลา จากความรักที่เคยได้รับ ก็แปรเปลี่ยนเป็นการถูกปฏิเสธคุณค่าและยัดเยียดความคิดว่าเธอไม่ดีพออีกต่อไป

ทว่าหากเราในฐานะคนดู โดยเฉพาะผู้หญิงมองเธอด้วยสายตาปกติ ก็เชื่อว่าเราคงคิดไม่ต่างกันว่า เอลิซาเบธนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความสวยสมบูรณ์ตามวัย แต่น่าเสียดายที่เอลิซาเบธในเรื่องกลับมองตัวเองด้วยสายตาที่โหดร้าย และหลงเชื่อไปกับสิ่งที่ฮาร์วีเป่าหูและสิ่งที่สังคมต้องการ เธอจึงต้องปลุก ซู (Sue) ร่างทองของเธอออกมาใช้ชีวิตที่เธอคิดว่าเธอไม่มีโอกาสได้ใช้อีกแล้วขึ้นมา

ในภาพยนตร์ The Substance โคราลีใช้ร่างกายของตัวละครเป็นภาพสะท้อนสังคมที่บีบบังคับและกำหนดมาตรฐานบ้าๆ ให้ผู้หญิงต้องทำตาม การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันน่าสยดสยองและเลือดที่หลั่งไหลจากความพยายามของเอลิซาเบธในการบีบตัวเองให้อยู่ในกรอบมาตรฐานสังคม จึงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความคาดหวังที่สังคมวางอยู่บนบ่าของผู้หญิง

ทั้งนี้กอราลีไม่ได้พยายามนำเสนอว่า การแก้แค้นอย่างดุเดือดเลือดพล่านแบบที่เจนทำ หรือการพยายามบีบตัวเองให้อยู่ในกรอบที่สังคมวาดไว้ด้วยวิธีประหลาดแบบที่เอลิซาเบธเลือก เป็นวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะสุดท้ายตัวละครของเธอไม่ได้กลายเป็นวีรสตรีมือสะอาดที่ปราศจากตำหนิ แต่เป็นมนุษย์ที่บาดเจ็บ โกรธแค้นกับระบบสังคม จนถึงจุดที่ต้องกลายร่างเป็นปีศาจที่ต้องใช้วิธีผิดๆ เพื่อเอาชีวิตรอด ปกป้องศักดิ์ศรี และเรียกคืนคุณค่าให้ตัวเธอเองในสังคมที่ไม่เคยยุติธรรมกับพวกเธอตั้งแต่แรก จนทำให้เห็นว่าการใช้วิธีรุนแรงในการตอบโต้อะไรบางอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก แต่หากไม่ทำอะไรเลย พวกเธอก็ไม่ได้ปลดแอกจากความเจ็บปวดเสียที

 ปัญหาที่หลากหลายผ่านสไตล์ที่แตกต่าง

ไม่ว่าแนวทางในการนำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงจากผู้กำกับหญิงจะถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์แนวใด ไม่ว่าจะถูกแต่งขึ้นใหม่จากจินตนาการอันไร้ขอบเขต หรือจะหยิบนำเรื่องราวจริงๆ ในประวัติศาสตร์ มาร้อยเรียงขึ้นใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเหมือนกันในทุกเรื่องคือ การทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนเรื่องราวปัญหาและความเจ็บปวดหลายๆ เฉดของผู้หญิงในสังคม ไม่ว่าจะเจ็บปวดจากการถูกหักหลังแต่ยังมีความสุขได้เหมือนตัวละครของแนนซี เจ็บปวดจากระบบที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงได้ใช้ชีวิตตามที่ควรจะเป็นแบบเหมือนในหนังของโซเฟีย ไปจนถึงเจ็บปวดเจียนตายจากการถูกกดขี่จนต้องลุกขึ้นสู้ด้วยวิธีการสุดบ้าคลั่งตามสไลต์ของโคลารี 

ภาพยนตร์ที่ถูกกำกับโดยผู้หญิง ไม่ได้เป็นเพียงงานงานศิลปะบนจอเงินที่เราเสพเพื่อความบันเทิงแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการส่งเสียงบอกกับผู้หญิงทุกคนว่า ยังมีคนได้ยินและรับรู้ปัญหาของพวกเธอ และเป็นการบอกกับคนในสังคมว่าชีวิตผู้หญิงนั้นมีปัญหามากมายที่ยังคงต้องเผชิญต่อ และจะยังคงได้รับการเล่าเรื่องต่อไป หากปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นกับพวกเธออยู่



Tags: , , , , , , ,