ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านห้วงเวลาสงครามเย็น บทบาทของสตรีไม่ใช่เป็นเพียงผู้ตามเสด็จฯ ‘พระราชา’ แต่กลายเป็น ‘เสียง’ เป็นภาพแทนของชาติ
ณ เวลานั้น เสียงของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นหนึ่งในเสียงที่สื่อสารความเป็นไทยออกไปทั่วโลก ด้วยบทสัมภาษณ์ในต่างประเทศ ทั้งบทสัมภาษณ์เรื่องแฟชั่นกับสื่ออังกฤษในปี 1966 รวมถึงการให้สัมภาษณ์เรื่อง ‘การเมือง’ ในสารคดี Soul of a Nation ซึ่งออกอากาศทาง BBC เมื่อปี 1979The Momentum พาย้อนกลับไปมองบทสัมภาษณ์ของ ‘ราชินีสิริกิติ์’ ที่เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนในช่วงเวลาที่ไทยเริ่มส่งเสียงให้โลกได้รับรู้

ทศวรรษ 1960 ไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ สงครามเย็นล้อมรอบประเทศไทย ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เสด็จฯ เยือนหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และบอกให้โลกได้รับรู้ถึงความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
ในปี 1962 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เพิ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นสุภาพสตรีที่แต่งกายดีที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก เป็นรองเพียง แจ็กเกอลีน เคนเนดี (Jacqualine Kennedy) สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

ครั้งหนึ่งในการเสด็จเยือนสหราชอาณาจักรในปี 1966 สมเด็จนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงให้สัมภาษณ์สื่อด้วยภาษาอังกฤษ ด้วยบุคลิกภาพที่มั่นคง เมื่อนักข่าวช่อง ITN เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่เชี่ยวชาญเรื่องแฟชั่น ทรงได้รับคำถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับการใส่ ‘กระโปรงสั้น’ ของชาวอังกฤษ ที่กำลังฮิตในเวลานั้น
“ฉันคิดว่าขึ้นอยู่กับอายุ” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ตอบคำถาม
“แล้วพระองค์ทรงคิดว่าดูดีหรือเปล่า” นักข่าวถามต่อ
“ใช่ ดูดี แต่คงไม่เหมาะสำหรับฉัน” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ตอบคำถาม พร้อมแย้มพระสรวล
ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยราชโอรสและพระราชธิดา เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ เสด็จฯ ประทับยังพระตำหนักคิงส์บีเชส ซันนิงฮิลล์ แคว้นเบิร์กเชียร์ โดยให้สื่อมวลชนอังกฤษบันทึกภาพเป็นการส่วนพระองค์
หนึ่งในภาพนั้น คือภาพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ สวมชุดไทย พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดาสวมชุดสากลยืนเรียงแถวกัน กลายเป็นภาพถ่ายอมตะ จนถึงวันนี้
อีกหนึ่งคำให้สัมภาษณ์ด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ คือบทสัมภาษณ์ที่อยู่ในสารคดี Soul of a Nation ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ BBC เมื่อปี 1979
ห้วงเวลานั้น ประเทศไทยยังอยู่ในสภาพสงครามสู้รบระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) พื้นที่สีแดงขยายตัวไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์นองเลือด ‘6 ตุลาคม 2519’ (ค.ศ. 1976) นักศึกษาจำนวนมากเข้าป่าจับอาวุธสู้กับรัฐไทย
ขณะเดียวกันรัฐไทยก็ต้องต่อสู้ด้วยข้อมูลข่าวสาร หนึ่งในวิธีดังกล่าวคล้ายกับที่ราชวงศ์อังกฤษทำ คือทำสารคดี เจาะลึกวิธีการต่อสู้กับ พคท.ด้วยวิธีปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ไทย
ในสารคดี เดวิด โลแมกซ์ (David Lomax) ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ซึ่งมีโครงการหลวงและโครงการพัฒนาต่างๆ จำนวนมากในพื้นที่ดอยสูง
ในการประทานสัมภาษณ์ ผู้ดำเนินรายการถามว่า เพราะเหตุใดพระองค์ต้องเสด็จฯ ยังพื้นที่สู้รบกับคอมมิวนิสต์ และมีประชุมกับกองทัพอย่างต่อเนื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงตรัสตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า ทหารมีภารกิจสำคัญคือทำให้พื้นที่ ทำให้ดินแดนปลอดภัย ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่นี้ยากจนมาก และแม้พื้นที่นี้จะไม่ใช่พื้นที่สีแดงแล้ว แต่ประชาชนก็ยังคงยากจน
“ภารกิจของทหารเปลี่ยนไป เป็นการแนะนำชาวบ้านว่าควรเพาะปลูกอย่างไร ดูแลเด็กๆ อย่างไร ทหารที่นี่ยิ้มแย้ม เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธอีกแล้ว แต่เป็นการช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่นี่ทหารอยู่กับประชาชนได้ เพราะพวกเขาเอาชนะใจประชาชนได้ ฉันเชื่อว่านี่คือวิธีการต่อสู้กับความไม่สงบที่ถูกต้อง”

ขณะเดียวกันยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AP ในปีเดียวกัน ด้วยว่า “มีบางคนในมหาวิทยาลัยที่คิดว่าสถาบันกษัตริย์ล้าสมัยแล้ว แต่ฉันคิดว่าประเทศไทยต้องการกษัตริย์ที่มีความเข้าใจ
“เมื่อได้ยินเสียงเรียก ‘พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมา’ หลายพันคนจะมารวมตัวกัน แค่คำว่า ‘พระเจ้าอยู่หัว’ ก็มีความมหัศจรรย์แฝงอยู่ มันวิเศษมาก”
โครงการหลวง โครงการส่วนพระองค์ ในพื้นที่ห่างไกลเปลี่ยน ‘พื้นที่สีแดง’ ให้เป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาได้จริง และพลิกฟื้นชีวิตคนในพื้นที่เหล่านี้ได้จริง ขณะเดียวกัน ก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้แนวรบของสงครามระหว่างรัฐไทยกับ พคท.เปลี่ยนแปลงในช่วงทศวรรษ 1980
ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของอำนาจและอุดมการณ์ เสียงสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ที่สะท้อนในห้วงเวลาสงครามเย็น จึงเป็นเสียงที่ก้องอยู่ในความทรงจำของคนไทย และก้องอยู่ในความทรงจำของโลกเสมอ
Tags: พระพันปีหลวง




