“ความมืดนั้นน่ากลัว”
ความมืดมิดเป็นสิ่งที่ยากเกินการคาดเดา เราไม่อาจรู้ว่าในสถานที่ไร้ทัศนวิสัยในการมองเห็นมีอะไรหลบซ่อนอยู่ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เลือกใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่สว่าง มองเห็นได้ดี มากกว่าจะอยู่ในที่อับแสงเพื่อความปลอดภัย
อย่างที่ทราบ การมองเห็นเป็นผัสสะหนึ่งของมนุษย์ที่เกิดจากการทำงานของอวัยวะหลักคือ ‘ดวงตา’ การมองเห็นเก็บเกี่ยวภาพต่างๆ ในแต่ละช่วงชีวิตได้ และยังช่วยในการประเมินสถานการณ์กระทั่งใช้สายตาสื่อสารระหว่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเรื่องเล่าของใครสักคนจะถูกเล่าต่อจากการมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
แต่ความจริงคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้ดวงตาเพื่อเก็บบันทึกประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้ อย่างน้อยก็กับ ‘นิด’ แม่ค้าขนมปังติดริมกำแพงวัดบวรนิเวศ ราชวรวิหารวัย 76 ปี ที่ทุกประสบการณ์ของเธอเกิดขึ้นจากการสัมผัสด้วยมือ และรับรู้ผ่านหู
“ป้าพิการมาตั้งแต่เด็ก มองไม่เห็นมาตั้งนานแล้ว”
นิดเป็นแม่ค้าขนมปังย่านวัดบวรฯ สินค้าของเธอมีหลากหลาย เช่น ขนมปังไส้กรอก ขนมปังไส้หมูหย็องพริกเผา ขนมปังไส้ลูกเกด และอีกมากมายที่พอจัดเรียงบนโต๊ะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้
“ป้าขายอยู่ที่วัดบวรฯ น่าจะสัก 20 ปีกว่าๆ ครั้งแรกๆ ขายชิ้นละ 25-30 บาท ได้กำไรชิ้นละ 5 บาท พอตอนหลังเงินเริ่มไม่พอใช้ เลยขึ้นราคา”
แม้อาชีพแม่ค้าของป้านิดจะดำเนินไปด้วยตาที่มองไม่เห็น ทว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเธอมากนัก เพราะเธอใช้อวัยวะที่ยังหลงเหลืออย่างหูในการรับออเดอร์จากลูกค้า ส่วนมือยังหยิบจับสินค้าอย่างกระฉับกระเฉง ที่สำคัญคือความจำของเธอยังทำงานได้ดีไม่เสื่อมตามวัย
“พอตาเรามองไม่เห็น ป้าเลยใช้วิธีจำตำแหน่งว่าขนมปังแต่ละไส้วางตรงไหนของโต๊ะ อย่างขนมปังไส้ลูกเกดป้าจะวางข้างกับขนมปังไส้หมูหย็อง ส่วนไส้หมูหย็องพริกเผาจะวางติดกันสองกล่อง หากมีลูกค้าเดินมาบอกว่าจะเอาไส้อะไร เราจะรู้ว่ามันวางอยู่ตรงไหน
“ถ้าขนมปังไส้ไหนเริ่มเหลือน้อย เราจะสั่งขนมปังไส้นั้นจากร้านค้าเพิ่ม จริงๆ เมื่อก่อนป้าเดินไปสั่งขนมปังเองเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเดินไปเองแล้ว เพราะทางร้านเขาเอามาส่งให้ถึงวัดบวรฯ แค่โทรบอกว่าตอนนี้ป้าอยู่ที่ร้านแล้วขนมปังก็พร้อมมาส่งเรา”
แม้การมองไม่เห็นสำหรับป้านิดดูไม่เป็นปัญหาและอุปสรรคกับการค้าขายมากนัก แต่สำหรับผู้พบเห็นป้านิดบางคนมองว่า ความพิการของเธอเป็นช่องทางฉกฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบเธอได้ง่ายดายกว่าเอาเปรียบคนอื่น
“เราเคยโดนขโมยกับโดนโกงของหลายครั้งนะ ลูกค้าบางคนทำทีมาซื้อขนมปัง เขาบอกเราว่าจะหยิบสินค้าใส่ถุงเอง ไม่ยอมให้ป้าจับว่าเขาเอาขนมปังไส้อะไรไปบ้าง พอเขาเลือกเสร็จเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเจ้านายเขาจะเอาเงินมาจ่ายให้”
ป้านิดคอยเงินร้อยกว่าบาทตั้งแต่เที่ยงจนอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ทว่าคนที่ลูกค้าอ้างว่า ‘เจ้านาย’ ก็ยังไร้เงา
“ป้าก็รอคอยตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น คอยแล้ว คอยอีก สุดท้ายก็คิดกับตัวเองในใจ สงสัยเราคงไม่ได้ค่าขนมปังจากเขาแล้วล่ะ”
นอกจากลูกค้าหัวใสที่อาศัยช่องโหว่จากความพิการของป้านิด สิ่งที่เธอต้องเผชิญคือการขโมยสินค้าจากคนไร้บ้าน ที่ให้สัญญาณกับป้านิดเพียงว่า “ขอกินหน่อย” โดยที่ป้านิดเองมิอาจเรียกคืนสินค้านั้นได้ สิ่งที่เธอทำได้คือการตั้งคำถามด้วยใจห่อเหี่ยวว่า เหตุใดคนพิการทางสายตาอย่างเธอจึงต้องเจอกับการเอารัดเอาเปรียบจากคนที่สมบูรณ์ทางร่างกายกว่าเสมอ
“ป้าเคยพูดกับคนที่มาขโมยขนมปังว่า พวกเธอก็มีตา ร่างกายก็ครบ 32 ประการ ทำไมถึงไม่ไปทำงานหาเงินมาซื้อ สุดท้ายได้รับคำตอบว่า ไม่ทำหรอก มันเหนื่อย ขอกินง่ายกว่า” ป้านิดเล่า
นอกจากมนุษย์ด้วยกันแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ การถูกมองไม่เห็นจากคนรอบตัว และจากสาเหตุนี้เองที่ทำให้ป้านิดต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายเดือนด้วยกัน
“มีอยู่ปีหนึ่งป้ากำลังเดินออกจากบ้าน มาถึงแค่เพียงปากซอย มีรถเก๋งมาเฉี่ยวเพราะมองไม่เห็นเรา ตอนนั้นป้าไหล่หลุดต้องเข้าโรงพยาบาล ออกมาแล้วก็ยังต้องใส่เฝือกกับดามแขน ทำเราหยุดขายของไปเป็นเดือนๆ เลย”
การใช้ชีวิตด้วยตาที่มองเห็นย่อมปลอดภัยมากกว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนพยายามใช้ชีวิตด้วยการหลับตาเดินในทุกๆ วันทั้งที่ตาใช้งานได้ดี
แต่สำหรับป้านิดที่เลือกไม่ได้ การยอมรับและใช้ชีวิตอยู่กับความพิการจึงเป็นทางเดียวที่เธอทำได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกภายนอกเป็นความเสี่ยงต่อพวกเขาเช่นนี้ เหตุใดคนพิการจึงมองข้ามความเสี่ยงที่มีทั้งหมด และออกมาใช้ชีวิตเพื่อหารายได้นอกพื้นที่ปลอดภัย
“เพราะป้ามีรายจ่าย
“ป้ามีค่าเช่าห้องที่ต้องจ่าย เดือนหนึ่งๆ เราต้องมีเงินติดกระเป๋าไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท บางครั้งอาจต้องถึง 6,000 บาทด้วยซ้ำ เพื่อเอาไปจ่ายค่าห้องพัก บวกกับค่าน้ำค่าไฟที่ราคาไม่แน่นอนในแต่ละเดือน”
ค่าใช้จ่ายของป้านิดกับ บวกกับที่หลับนอน ไม่รวมน้ำไฟตกอยู่เดือนละ 2,800 บาท หากรวมค่าน้ำค่าไฟที่ขึ้นลงแต่ละเดือนไม่เหมือนกันจะอยู่ที่ 3,300 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างค่าว่าจ้างคนขนรถขนมปังเดือนละ 1,700 บาท ยังไม่นับรวมรายจ่ายปากท้องและค่าเดินทางมาขายของในแต่ละวัน
ภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตบีบคั้นให้ป้านิดต้องใช้ชีวิตในโลกนอกบ้านด้วยตาที่มองไม่เห็น พร้อมภารกิจคือการหาเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดในแต่ละวัน
“ทุกวันนี้ที่ออกมาถามว่ารายได้พอไหม ก็ไม่พอหรอก และก็ไม่เคยจะพอ แต่เราก็พยายามอยู่ให้ได้ อันไหนควรประหยัดก็ประหยัด บางทีเราซื้อกับข้าวมาเก็บไว้ในตู้เย็นครั้งเดียว แล้วอุ่นกินเอาหลายๆ มื้อ”
สำหรับป้านิดในวัยย่างเข้า 76 ปี นับว่าเข้าเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ 700 บาท แต่นั่นไม่ได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เธอมีทั้งหมด แม้จะมีเงินเสริมจากเบี้ยผู้พิการอีกจำนวนหนึ่งก็ตาม
“ตอนนี้ป้าได้เงินคนพิการ 800 บาท ได้เงินผู้สูงอายุอีก 700 บาท เอามารวมกันกับรายได้จากการขายขนมปัง แต่จริงๆ เงินคนพิการควรจะเพิ่มให้สักพันนึงนะ เราได้ยินเขาพูดว่าจะเพิ่มเงินให้คนพิการมาตั้งหลายเที่ยวแล้ว ก็ไม่เพิ่มให้สักที พอได้น้อยแบบนี้ป้าก็เดือดร้อน”
เป็นเรื่องดีหากเรายืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เฉกเช่นป้านิดที่แม้จะพิการทางสายตา ก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องตัดโอกาสตัวเองในการหารายได้ แต่น่าคิดว่าหากคนพิการทางสายตาได้รับสวัสดิการที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต ชีวิตของป้านิดและคนพิการอีกนับแสนคนจะง่ายขึ้นขนาดไหน
“เราได้แต่คิดว่าต้องพยายามสู้ด้วยตัวเอง มีคนเดินมาชมป้านะว่าเก่ง รู้จักช่วยตัวเอง บ้างก็บอกป้าว่าอายุป่านนี้แล้วแต่ยังขยันจังเลย
“ถ้าถามป้าว่าจะขายของไปถึงเมื่อไร หากป้ามีแรงป้าก็ยังไม่หยุดขายนะ เพราะมันยังหารายได้ให้ป้า สำหรับบางคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง คงคิดว่าตัวเองควรพักผ่อน แต่สำหรับป้าคงยังไม่พักหรอก”
ผู้เขียนหยิบขนมปังที่สั่งไว้ ก่อนจะถามคำถามสุดท้ายกับป้านิดว่า ป้านิดมีความหวังอย่างไรกับการเมืองและสวัสดิการของผู้พิการ คำตอบของหญิงชราตรงหน้านั้นคงสะท้อนความในใจของผู้พิการหลายคนในประเทศไทยได้ดี
“เราเห็นนักการเมืองหาเสียงมาหลายช่วงว่า จะเพิ่มเงินคนพิการเป็นพัน สุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน การมีรัฐบาลใหม่ไม่ได้ส่งผลอะไรกับคนพิการอย่างเราเลย เราไม่อยากฝากอะไรถึงหน่วยงานให้มองเห็นเราหรอก เพราะเดี๋ยวเขาหาว่าเราเรียกร้องมากเกินไป เขาไม่ทำ แล้วจะให้เราทำอย่างไร” ป้านิดว่า
Fact Box
ขนมปังพรชัย (ป้านิด) ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดบวร บางลำภู หยุดทุกวันจันทร์ ขายตั้งแต่ 08.00 น. จนถึงช่วงเย็น