ถึงวันนี้ ชื่อของ พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ ‘หลวงพ่ออลงกต’ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี กลายเป็น ‘ตัวท็อป’ ของเรื่องฉาววงการสงฆ์ ภายหลังสารพัดเรื่องราวไม่ชอบมาพากลรุมเร้าหลวงพ่ออลงกตเสียจนตอบคำถามสังคมได้ยากเย็น ขณะเดียวกันความน่าเชื่อถือของทั้งหลวงพ่อ ผู้เคยเป็น ‘เทพเจ้าเอดส์’ และวัดพระบาทน้ำพุที่สั่งสมมานานเกิน 30 ปี สั่นคลอนอย่างหนัก
เพราะต้องยอมรับว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนไทยนับล้านคนมีความผูกพันกับหลวงพ่ออลงกต ผ่านทั้งงานเขียนหนังสือ งานบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ การออกรายการโทรทัศน์ นอกจากนี้หลวงพ่ออลงกตยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาเซเลบริตี บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้วัดพระบาทน้ำพุ เป็นวัดที่มี ‘ตู้รับบริจาค’ มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
แรงสั่นสะเทือนกรณีหลวงพ่ออลงกตจากสารพัดข่าวสารที่ผ่านมา ทำให้ ‘ศรัทธา’ ที่มี ถูกตั้งคำถาม
The Momentum รวบรวม ‘ความผิดปกติ’ ในตัวตนของหลวงพ่ออลงกต หลายเรื่องที่น่าสงสัย ตั้งแต่การจัดการเงินบริจาค การบริหารวัดพระบาทน้ำพุที่ถูกปล่อยร้าง และถึงที่สุดแล้ว ‘หลวงพ่อ’ คือใครกันแน่
1. ตัวตนปลอม
หนึ่งในปริศนาที่แวดล้อมตัวตนพระอลงกตวันนี้คือ ‘ตัวตน’ เพราะก่อนหน้าที่จะบวชเป็นพระ พระรูปนี้ใช้ชื่อว่า เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว เกิดที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และมีประวัติศึกษาอยู่ในจังหวัดขอนแก่น
แต่ในเวลาเดียวกันก็พบคนชื่อ อลงกต พลมุข ใช้ชื่อเดียวกัน นามสกุลเหมือนกัน มีประวัติรับราชการกรมชลประทานและเสียชีวิตไปเมื่อปี 2566 โดยพระอลงกตใช้ชื่อนี้ในใบสุทธิพระ และยังใช้ชื่อบิดา-มารดา ใช้วันเดือนปีเกิด เหมือนกับอลงกต พลมุข
ขณะเดียวกันแม้กรมการปกครองจะยืนยันว่า เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ของ ‘หลวงพ่ออลงกต’ และ ‘อลงกต พลมุข’ ไม่ตรงกัน ทว่าใบสุทธิพระที่จดไว้ในปี 2529 กลับใช้เลข 13 หลักของ อลงกต พลมุข ไม่ได้ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักของ เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว
ความสับสนในตัวตนทำให้สาธารณชนตั้งคำถามต่อไปว่า เพราะเหตุใด พระอลงกตจึงได้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเอง หรือแท้จริงแล้วเป็นการบวชเพื่อหนีคดี หนีอดีตบางอย่าง หรือแท้จริงแล้วต้องการสวมชื่อผู้อื่น เพื่อทำเรื่องผิดกฎหมาย-ปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่าง
เรื่องนี้ไม่มีใครอาจทราบได้นอกจากตัวหลวงพ่ออลงกตเอง ที่ยังคงเลือกนิ่ง เงียบ ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ดูแลพระสงฆ์ทั่วประเทศก็อมพะนำ ไม่อาจตรวจสอบการปลอมชื่อคนอื่นมาจดใบสุทธิพระได้เช่นกัน
สะท้อนให้เห็นว่า ณ วันนี้ หากมีใครปลอมชื่อคนอื่นมาบวชพระ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ไม่อาจรับรู้ได้ เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนา
2. ประวัติการศึกษาลวงโลก
เดิมพระอลงกตมีประวัติการศึกษายาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจบปริญญาโทสาขาเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU)
ขณะเดียวกัน หลวงพ่อเคยให้สัมภาษณ์ทั้งทีวี นิตยสาร และเขียนประวัติตัวเองลงหนังสือว่า มีประวัติการศึกษาที่เพียบพร้อม จบปริญญาโทจากต่างประเทศ และตัดสินใจบวชเป็นพระ เพราะช้ำในผู้หญิงเหมือนกับรู้ว่า คนไทยชอบคนมีการศึกษาที่ตัดสินใจละทางโลก เข้าสู่เส้นทางธรรม
ทว่าทั้งหมดกลายเป็นเรื่องลวงโลก เมื่อมีผู้ไปค้นรายชื่อศิษย์เก่า ทั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ไม่ปรากฏชื่อของอลงกตหรือเกรียงไกร นั่นหมายความว่าประวัติการศึกษาจาก ANU ก็เป็นเรื่องหลอกลวงไปด้วย
สัปดาห์ที่แล้ว หลวงพ่ออลงกตให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอีจัน บอกว่าได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้สมองกระทบกระเทือน แท้จริงแล้วหลวงพ่อเรียนที่โรงเรียนแก่นนคร เคยไปเตะฟุตบอลที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จึงใฝ่ฝันที่จะเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ขณะที่ตนเองชอบเรื่องเครื่องกล เลยใฝ่ฝันที่จะเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์
นอกจากนี้ระหว่างที่เรียนที่โรงเรียนแก่นนคร ออสเตรเลียเคยสร้างอาคารเรียนให้ จึงใฝ่ฝันที่จะไปเรียนที่ออสเตรเลีย
ประวัติการศึกษาลวงโลกเช่นนี้ยังถูกนำไปใช้ในการประกาศเกียรติคุณเป็น ‘ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์’ ทั้งในสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สาขาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สาขาการบริหารศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี และสาขาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้อสังเกตก็คือว่า หลวงพ่ออลงกตไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมดา หากยังเป็นระดับ ‘เจ้าคุณ’ ชั้นราช ซึ่งต้องติดตามต่อว่า หากยื่นประวัติการศึกษาปลอมในการขอพระราชทานสมณศักดิ์ จะกระทบกับสถานะพระภิกษุหรือไม่
3. ใช้ชื่อคนอื่นถือครองทรัพย์สิน-มูลนิธิ
อันที่จริง เรื่องของหลวงพ่ออลงกตเริ่มปรากฏเป็นข่าวจากกรณี เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือที่รู้จักกันในนาม หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ ที่ส่งเงินบริจาคเข้าไปยังวัดพระบาทน้ำพุและหลวงพ่ออลงกตเป็นประจำ แต่เรื่องเลยเถิดก็คือ เมื่อลงลึกไปถึงการถือครองทรัพย์สิน วัดซื้อที่ดินหลายแปลง และควรเป็นผู้ถือครองที่ดิน แต่เมื่อตรวจสอบลงไปกลับพบว่า มูลนิธิอาทรประชานาถของวัดพระบาทน้ำพุไม่ได้ถือครองที่ดินเหล่านั้น หากเป็นชื่อบุคคล 5 รายชื่อถือครองที่ดินแทน ไม่ใช่หลักสิบไร่ แต่เป็นหลายร้อยไร่ หรืออาจถึงพันไร่
คำถามก็คือ เพราะเหตุใดจึงใช้ชื่อบุคคลอื่น บุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นนายธนชัย ที่ถือครองที่ดิน 900 ไร่ บริษัท เอพลัส พาวเวอร์ จำกัด ที่ถือครองที่ดิน 843 ไร่ วิชัยที่ถือครองที่ดิน 416 ไร่ วรสุดาที่ถือครองที่ดิน 25 ไร่เกี่ยวพันกับวัดพระบาทน้ำพุอย่างไร หรือมีการทำธุรกิจอะไรจากเงินบริจาคหรือไม่ ยังคงเป็นปริศนา
4. การจัดการเงินบริจาคไม่โปร่งใส
นอกจากที่ดิน-ทรัพย์สินต่างๆ ยังมีการนำเงินบริจาคไปลงทุนไปสร้างสนามฟุตบอล 9 สนาม เนื้อที่ 200 ไร่ ใจฟ้าอคาเดมี ในจังหวัดลพบุรี รวมถึงยังได้เบิกเงินจากวัดไปประมาณสัปดาห์ละ 1 แสนบาท เพื่อดูแลเยาวชนซึ่งก็มีการตั้งคำถามว่า เรื่องนี้เป็น ‘กิจของสงฆ์’ หรือไม่ และเพราะเหตุใด หลวงพ่ออลงกตถึงเลือกลงทุนไปกับการสร้างกิจการสนามฟุตบอลและทีมฟุตบอล
ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา พระครูสุวัฒน์กิตติสาร เจ้าอาวาสวัดสระมะเกลือ เจ้าคณะตำบลเขาสามยอด รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ พบว่า 8 บัญชีของวัดพระบาทน้ำพุขณะนี้ เหลือเงินรวมเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่าแล้วเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ทั้งที่หลวงพ่ออลงกตเดินสายรับบริจาคทั่วประเทศ ทั้งที่ประชาชนบริจาคผ่าน QR Code บริจาคผ่านคนอื่น รวมถึงหมอบี ทูตสื่อวิญญาณที่เป็นทางผ่านเงินกว่า 200 ล้านบาท รวมถึงเงินที่ประชาชนบริจาคโดยตรงกับทางวัดนั้น วันนี้อยู่ที่ไหน และมีจำนวนเงินเท่าไรบ้าง
5. ปล่อยอาคารรับรองผู้ป่วยทิ้งร้าง
หากเดินเข้าไปยังอาคารเมตตาธรรม อาคารสูง 4 ชั้น ของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นอาคารรองรับผู้ป่วย HIV รวมถึงเป็นสถานชีวาภิบาล ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะพบว่า ในปัจจุบันได้กลายเป็นอาคารร้าง นอกจากนี้ยังพบผ้าอ้อมผู้ใหญ่ สำลี หน้ากากอนามัย ถังออกซิเจน วางทิ้งไว้เกลื่อนกลาด กลายเป็นภาพที่ ‘ช็อก’ ความรู้สึกของผู้บริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ
อย่างไรก็ตามวัดพระบาทน้ำพุชี้แจงว่า อาคารดังกล่าวเคยถูกใช้เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วย HIV มาก่อน แต่ในเวลาต่อมา ฝูงลิงได้เข้ามารบกวนอาคารจนเสียหายหนัก ชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ขณะที่สิ่งของที่ทิ้งไว้ในอาคารดังกล่าว ล้วนเป็นสิ่งของที่ ‘หมดอายุ’ แล้วทั้งสิ้น
ต้องติดตามต่อว่า ‘โดมิโน’ ที่เริ่มล้มที่วัดพระบาทน้ำพุ จะส่งไปถึงวัดใดต่อไป และพระสงฆ์ ผู้ทรงศีล ผู้ทรงธรรม ซึ่งล้มกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งด้วยเรื่องสีกา เรื่องการจัดการเงินไม่โปร่งใส ไปจนถึงมหกรรมลวงโลก รวมทุกเรื่องไว้ที่เดียวที่วัดพระบาทน้ำพุ จะพาคนไทยไปเจอเรื่องอะไรต่อไป
Tags: Feature, พระ, พระสงฆ์, วัดพระบาทน้ำพุ, หลวงพ่ออลงกต, อลงกต