ว่ากันว่านิยามของ ‘ความรัก’ ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยและรวดเร็ว ผู้คนสามารถทำความรู้จักหรือบอกรักกันง่ายขึ้น เพียงใช้ช่องทางบนโซเชียลมีเดียเป็นสื่อกลาง แต่ขณะเดียวกัน การบอกเลิกหรือหย่าร้างก็ง่ายดายเพียงพริบตาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก หากใครต่อใครจะโหยหา ‘ชีวิตคู่’ ในอุดมคติที่จีรังและยั่งยืน

หากมองย้อนกลับไปดูมุมมองความรักของ ‘คนรุ่นเก๋า’ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีปัจจัยอีกมากมาย นอกเหนือไปจากวิธีสื่อสารเพื่อเกี้ยวพาราสี ยังมีเรื่องของระบอบ ชนชั้น วรรณะ และชาติพันธุ์กำเนิด เป็นกำแพงหลายชั้นที่สกัดกั้นความรักไว้อยู่ อาจเปรียบได้ว่านี่เป็น ‘ประวัติศาสตร์ความรัก’ ฉบับพกพา

นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้ ยังมีคำถามอีกมากมายถึงขนบธรรมเนียมในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเรื่องการคลุมถุงชน การหนีตามกัน หรือแม้กระทั่งคู่รักเพศเดียวกัน ว่าในอดีตนั้นใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไร และได้รับการยอมรับจากสังคมเช่นปัจจุบันหรือไม่?

ในฐานะ ‘ผู้อาวุโส’ ผู้ผ่านโลกมามากกว่า 9 ทศวรรษ เราถือโอกาสสนทนากับ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิด นักเขียน ปัญญาชนอาวุโส กับ 15 คำถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘รักๆ ใคร่ๆ’ ในประวัติศาสตร์ ผ่านสายตาของผู้ผ่านโลกมามากมายอย่างเขา เพื่อไขข้อสงสัยถึงประเด็นมุมมองเรื่องความรักของผู้คนสมัยก่อน พร้อมแง่คิดเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ที่สุลักษณ์ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการขับเคลื่อนประเด็น สังคม การเมือง ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ความรักของคนสมัยก่อน มีข้อจำกัดหรือต่างจากสมัยนี้ขนาดไหน

สมัยผมเป็นเด็กๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนชนชั้นไหน หากเป็นชนชั้นล่าง พอแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็หนีตามกันไป ถ้าเป็นผู้ลากมากดีขึ้นมาหน่อยเขาก็จับบวชเณร เพราะอย่างน้อยช่วงที่บวชก็ไปทำความชั่วในทางเพศไม่ได้ ส่วนชนชั้นกลางก็ต้องมีพิธีสู่ขอแต่งงานกัน แต่ชนชั้นล่างกับชนชั้นสูงมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ไม่มีการสู่ขอ ตระกูลชนชั้นสูงแทบจะได้กันเองเกือบหมด ยกตัวอย่างง่ายๆ กรณีของรัชกาลที่ 5 ที่น้องสาวท่านเป็นเมียท่านเกือบทุกคน ไม่มีพิธีสู่ขอแต่งงานอะไรทั้งนั้น เพราะส่วนใหญ่เขาให้ความสำคัญกับงานศพมากกว่า

ตราบจนถึงปี 2475 เจ้าผู้หญิงจะมีสามีที่ไม่อยู่ในระดับเจ้าไม่ได้เลย แม้เปลี่ยนการปกครองเองก็ตาม เหมือนกรณีของสมเด็จพระพี่นางฯ (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) แต่งงานกับนายอร่าม (พันเอก อร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) มีสามีที่ไม่ใช่เจ้าก็ต้องลาออกจากราชวงศ์ ก่อนในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านจะคืนตำแหน่งอิสริยยศให้ตามเดิม เจ้าต้องได้กับเจ้าเท่านั้น ได้กับไพร่ไม่ได้

พิธีแต่งงานกันเองในวงศ์ตระกูลของชนชั้นสูงมีที่มาที่ไปจากไหน

ชนชั้นสูงเราไปเชื่อตามแบบพระพุทธเจ้า ที่ตระกูลศากยวงศ์ เขาไม่มีความสัมพันธ์กับวงศ์ตระกูลใดๆ จึงให้คนในตระกูลแต่งกันเอง พอลูกคลอดออกมาก็เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทันที เอาแบบชมพูทวีป แต่ถ้าเป็นฝรั่งกรณีพี่น้องได้กันเอง ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด เสียหายมาก

ถ้าเป็นคนระดับชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง มีวิธีจีบกันอย่างไร

สมัยก่อนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ถ้าจีบกันก็ต้องใช้วิธีแต่งกลอน เขียนเพลงยาว ถ้าเขียนหนังสือไม่เป็น ก็ต้องไปจ้างให้คนอื่นแต่งให้ อีกอย่างคือการให้หมากให้พลู ซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญ แต่ถ้ากลัวครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวไม่ยกลูกให้ ก็ต้องนัดแนะสถานที่หนีตามกันไป พอพ่อตาแม่ยายหายโกรธถึงกลับมาไหว้ขอขมา ไม่อย่างนั้นต้องตัดขาดจากตระกูลกันไป

สถานที่หนุ่มสาวมีโอกาสได้เจอะเจอ จีบกัน ส่วนใหญ่ก็มีแค่พวกงานวัด งานมหรสพ คล้ายเหตุการณ์วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่เณรแก้วสบตาปิ๊งกับสาวตอนสวดมนต์เทศน์อยู่บนธรรมาสน์

ประเพณีวัฒนธรรมคลุมถุงชนมีที่มาที่ไปอย่างไร

ประเพณีคลุมถุงชนส่วนมากเกิดขึ้นในชนชั้นกลาง ไม่ใช่แค่คนไทย คนจีนกับแขกเองก็ใช่ เพราะไม่ต้องการให้สมบัติติดตัวตระกูลหายไปไหน ตามหลักเรือล่มในหนองทองจะไปไหนเสีย ในระดับเจ้าเองก็เช่นกันนะ เจ้าเขามีเมียหลายคน ทั้งหาเองหรือมีคนเอามาให้

คุณต้องเข้าใจว่าสมัยก่อนใครๆ ก็อยากฝากลูกสาวถวายตัวเข้าวังหลวงไปเป็นเจ้าจอม ท่านถึงได้มีเมียเยอะ ต่างจากประเทศอื่นที่มีกษัตริย์อย่างอังกฤษ ที่เขานับถือศาสนาคริสต์และนับถือหลักผัวเดียวเมียเดียว เหมือนกรณีพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ท่านจะหย่าเมียคนแรก ท่านต้องพิสูจน์และให้พระสันตะปาปาประกาศว่าแท้จริงเมียคนแรกหมั้นกับพี่ชายท่านมาก่อน ที่ท่านแต่งรับมาเป็นเมียเพราะรับมาดูแลต่อจากพี่ชายที่ตาย ที่นั่นเคร่งครัดกันมาก

ถ้าเป็นเช่นนั้นการที่คนสมัยก่อนมีหลายเมีย เป็นการขัดแย้งกับหลักศาสนาพุทธที่นับถือกันหรือไม่

จริงๆ แล้วพื้นฐานศาสนาพุทธ ไม่ได้ห้ามว่าคุณต้องมีแค่ผัวเดียวเมียเดียว ศาสนาพุทธยึดหลักจริยธรรม คือ

1. ต้องไม่เอาเปรียบชีวิตซึ่งกันและกัน

2. ไม่เอาเปรียบทางทรัพย์สิน

3. ไม่มีการเอาเปรียบทางเพศ

ขณะเดียวกัน ในทางศาสนาพุทธ คุณจะเป็นเกย์หรือเพศอะไรก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าคุณจะอยู่กินกัน คุณต้องเปลี่ยนราคะให้เป็นกามฉันทะ เปลี่ยนตัณหาให้กลายเป็นความรักความเมตตาซึ่งกันและกัน นั่นจะทำให้ชีวิตรักยืนยาว อย่างทิเบตที่เขานับถือศาสนาพุทธ เมียก็มีผัวหลายคนด้วยความจำเป็น เพราะบ้านเขาประชากรผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย

ศาสนาพุทธเองก็มีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับการเลือกคู่ครองของคนไทยสมัยก่อนบ้าง ถ้าคุณไม่เคยบวชแต่ไปขอลูกสาวเขา เขาก็ไม่ให้ หมายความว่าคุณต้องมีการศึกษาพื้นฐานศาสนาก่อน ส่วนพวกพิธีอะไรศาสนาพุทธเขาก็ไม่ค่อยมายุ่ง ต่างจากศาสนาอื่นๆ อย่างมากก็แค่นิมนต์พระมาสวดอวยชัยในงานแต่ง

อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าถึงวัฒนธรรมความรักของคนหนุ่มสาว ช่วงที่ไปศึกษายังประเทศอังกฤษ

ตกใจอยู่นะ ผมไปอังกฤษครั้งแรกตอนอายุ 19 เจอลูกสาวเจ้าของบ้านที่ไปอาศัยอยู่ ติดรถสปอร์ตเขาไปโรงเรียน เจอเขานุ่งสั้นห่มสั้น ต่างจากที่ประเทศไทยมาก ตอนพักเที่ยงดื่มน้ำชา กาแฟ ก็เจอสาวฝรั่งเข้ามาดูดปากทักทาย ไอ้เราก็ตื่นเต้นสิ แต่ตอนหลังถึงมารู้ว่าเขาทำแบบนั้นกับหนุ่มทุกคน เพราะเขาอยากรู้หนุ่มคนไหนไฟแรง (ยิ้ม)

วัฒนธรรมความรักของเมืองนอกต่างจากที่ไทยมาก ที่นั่นอิสระมากกว่าเยอะ ผมก็มีผู้หญิงมาติดพันบ้าง แต่ก็ไม่ได้วุ่นวายถึงขนาดเอามาเป็นเมีย ผมให้ความระมัดระวังเคารพเรื่องเพศ อย่างมากก็แค่กอดจูบ

ถ้าจะรักกันในฐานะแฟนได้นะ แต่ถ้าจะถึงขั้นเป็นสามีภรรยาคงไม่ไหว เพราะวัฒนธรรมมันต่างกันมาก และนิสัยผมเป็นคนไม่ยอมเมีย คนไทยแต่งงานกับฝรั่งที่อยู่ยืดจริงๆ มีน้อย ถ้ามีคงเป็นคู่ของ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กับภรรยา มาร์กาเร็ต สมิธ

ผู้คนสมัยก่อนมีมุมมองต่อความรักแบบ LGBTQ อย่างไร

ศาสนาพุทธไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย พูดกันอย่างไม่เกรงใจ ประเทศไทยเป็นเมืองเดียวที่ฝรั่งพอใจมาอยู่ที่นี่ เพราะทูตฝรั่งหลายรายส่วนใหญ่เป็นเกย์ พอเกษียณเขาก็ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เมืองไทยคุณสามารถมีแฟนเพศเดียวกันได้เปิดเผย อย่างมากคุณก็แค่ถูกนินทาลับหลังเล็กๆ น้อยๆ คุณจะรักผู้ชายรักผู้หญิง มันก็เรื่องของคุณ สุดท้ายเขาก็เห็นเป็นคนธรรมดา ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน

คุณน่าจะเคยได้ยินเรื่องของ มิสเตอร์ อเล็กซ์ กริสเวิลด์ (Alexander Brown Griswold) เขาเป็นเศรษฐีใหญ่จากอเมริกา มาอยู่เมืองไทยเพราะสนใจศาสนาพุทธ สนใจวรรณคดีไทย แล้วเขามามีแฟนเป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ชาวบ้านต่างรู้กันทั่วไป ทั้งสองคนรักกันมาก

ต่อมาภายหลังด้วยความที่แฟนแกเป็นอาจารย์แนวเข้มงวดเกินไป เลยโดนลูกศิษย์โกรธแค้นวางระเบิดตาย มิสเตอร์อเล็กซ์ร้องห่มร้องไห้เสียใจมาก หรืออย่าง จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) เอง ก็มีแฟนเป็นผู้ชายทั้งนั้น แม้แต่ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีแฟนผู้ชายเยอะแยะ เพียงแต่แกปฏิเสธไม่ยอมรับ

แต่ในทางกฏหมายก็ถือยังไม่ได้รับการยอมรับ

ทำอย่างไรได้ เริ่มแรกกฏหมายเราหยิบยกข้อกำหนดมาจากฝรั่ง ที่ไต้หวันตอนนี้กฏหมายสมรสเพศเดียวกันเขาก็แก้แล้ว ผู้หญิงรักกับผู้หญิงเขาก็จดทะเบียนสมรสให้แล้ว ประเทศเราตอนนี้กฏหมายสมรสยังล้าหลัง ถ้าทันสมัยมีหัวคิดทันสมัยหน่อยก็แก้ได้ กฏหมาย 112 เองก็เช่นกัน

ประเด็นความรักแต่เห็นต่างทางการเมืองก็เหมือนกัน คุณต้องรู้จักแยกแยะ เรื่องไหนการบ้าน เรื่องไหนการเมือง ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไม่ได้

ทำไมคนสมัยก่อนถึงตัดสินใจแต่งงาน มีลูก เร็วกว่าปัจจุบัน

ธรรมชาตินะคุณ สมัยก่อนผู้หญิงมีระดู ผู้ชายมีน้ำอสุจิ อายุ 14-15 ก็ตัดสินใจมีลูกมีเต้ากันได้แล้ว แต่พอเรารับวัฒนธรรมความคิดแบบคนตะวันตกมา ก็กลายเป็นว่าต้องเรียนจบ อายุ 30-40 ถึงมีลูกกันได้ มันอยู่ที่ว่าวัฒนธรรมชาตินั้นปลูกฝังมากันอย่างไร ทางศาสนาคริสต์เรื่องเอนจอยเซ็กซ์ เขาถือเป็นเรื่องน่าอาย ผิดบาป การแต่งงานเป็นผัวเมียเพียงเพื่อให้มีลูกเท่านั้นเอง ช่วยตัวเองยังถือว่าผิดบาปเลย

คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อของลอร์ดแอกตัน (Lord Acton) เจ้าของวลี ‘Power tends to corrupt, absolute power corrupts absolutely.’ แกเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิกที่เคร่งครัดมาก แกนอนกับเมียเสร็จ ต้องคุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอนร้องขอต่อพระเจ้า ว่าการนอนครั้งนี้ขอให้พระเจ้าประทานลูกให้

หลายคนเข้าใจว่าผู้หญิงสมัยก่อนมีสิทธิ์เลือกคู่ครองได้น้อยกว่าผู้ชาย ข้อนี้จริงเท็จแค่ไหน

ไม่แน่เสมอไป ผู้หญิงที่เขามีอำนาจวาสนา เขาก็มีสิทธิ์เลือก หลายคนน่าจะไม่รู้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองเดียวที่ผู้หญิงมีความเป็นใหญ่

คนจีน คนแขก เขาอยากได้ลูกชาย ไม่อยากได้ลูกสาว แต่คนไทยอยากได้ลูกสาว เพราะลูกสาวจะมีความใกล้ชิดพ่อแม่มากกว่าลูกชาย คุณเห็นไหมล่ะ ทำไมเขาถึงใช้คำว่าพ่อตาแม่ยาย ไม่ใช้คำว่าพ่อปู่แม่ย่า แล้วยิ่งทางเหนือด้วยแล้วเขาสืบตระกูลทางฝั่งผู้หญิงนะ ไม่ใช่สืบตระกูลทางผู้ชาย พวกคนจีนที่มาอาศัยอยู่ในไทยก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ที่อื่น เวลาตายเขาเอาป้ายหลุมศพสามีขึ้นคนเดียว แต่ที่นี่ต้องเอาป้ายภรรยาขึ้นด้วย เพราะผู้หญิงเขาไม่ยอม

ผู้หญิงเขาเงียบๆ แต่เขาเก่งกว่าผู้ชายนะ ผัวไปหาเงิน แต่การใช้เงินเมียเป็นคนคุม ไอ้ที่เขาบอกกันว่าชายเป็นใหญ่ จริงๆ ชายมีทีท่าแค่เป็นใหญ่ และไอ้ที่บอกว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ไอ้พวกนี้ไม่รู้จักช้างจริง คุณเคยเห็นช้างเดินไหม เวลาช้างจะเดินเท้าหลังมันขยับก่อนเท้าหน้าถึงจะตามไป

ตัวอย่างคู่รักในอดีตคู่ไหนบ้าง ที่อาจารย์มองว่าเป็นคู่รักที่คบกันมานาน มีความเข้าใจกัน และมีชีวิตคู่ที่ยั่งยืน

ไม่ว่าจะสมัยไหนจะให้รักจริงๆ เข้าใจกันจริงๆ มีน้อยผมนับแทบได้ไม่กี่คู่ ที่นึกออกและผมพูดอยู่ตลอดมี 4 คู่ คือ

1. อาจารย์ปรีดีกับท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ สองคนนี้รักกันเกื้อกูลกันสารพัด

2. คุณดิเรก กับหม่อมหลวงปุ๋ย (นพวงศ์) ชัยนาม

3. หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ณ อยุธยา กับ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา

4. อาจารย์กรุณา กับอาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย

ทั้ง 4 คู่รักกันจริงๆ และไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวข้อง อย่างคู่หม่อมเจ้าสิทธิพร ตอนนั้นท่านเป็นอธิบดีกรมกษาปณ์และกรมฝิ่น แต่ท่านยอมลาออกมาใช้ชีวิตเป็นชาวนาอยู่กับหม่อมศรีพรหมมา หรือท่านปรีดีเองก็ตาม แม้คณะราษฎรหลายคนมีเมียเยอะ แต่ท่านมีรักเดียว

พูดอย่างไม่เกรงใจ การใช้ชีวิตท่านปรีดีเปรียบเสมือนพระ อุทิศเลือดเนื้อให้กับชาติบ้านเมือง ความเห็นแก่ตัวท่านน้อยที่สุด คนเอาผิดท่านไม่ได้ ถึงหาว่าท่านปลงพระชนม์ในหลวง ตัวท่านผู้หญิงพูนศุขเองก็มีอิทธิพลต่อท่านมาก อย่างตอนกบฏวังหลวง ถ้าอาจารย์ปรีดีไม่ได้ภรรยาช่วยซ่อนตัวไว้นาน 6 เดือน ท่านถูกฆ่าตายไปแล้ว เงินทองทั้งหมดคุณผู้หญิงก็ขายเอาไปซื้อบ้านอยู่กินกันที่ฝรั่งเศส

ในอายุวัย 90 ปี อาจารย์มีมุมมองความรักต่างไปจากตอนวัยหนุ่มไหม

ยิ่งแก่มากเท่าไร ความใคร่มันก็น้อยลงเท่านั้น ถ้าเพิ่มความรักให้กันไม่ได้ มันก็เหงาลง แต่ถ้ามีความรักเท่าเดิม ถึงคู่ครองเราแก่ลง ไม่ต้องเอากันก็ยังรักกันได้ ความรักที่ว่าก็ยังส่งต่อไปถึงลูก คนสมัยก่อนยังขาดตรงนี้ไป ส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจในลูก ชอบบังคับให้เขาเป็นหมอ เป็นขุนนาง เป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้

เรื่องความรักความเข้าใจต่อลูก จุดนี้ผมชื่นชมกลุ่มคนนับถือศาสนาคริสต์ นิกายเควกเกอร์ (Society of Friends) มากนะ ถึงเขาจะมีคนนับถือทั่วทั้งโลกอยู่แค่ 2 แสนคน แต่เขาไม่มีการบังคับขืนใจให้ลูกตัวเองต้องหันมานับถือศาสนาเหมือนกัน เขาให้สิทธิ์ลูกคิดตัดสินใจเอง ผมก็เหมือนกัน ผมไม่เคยสอนให้ลูกผมนับถือศาสนาพุทธ ถ้าเขาเห็นดีด้วยเขาถึงตัดสินใจนับถือตามเรา

อาจารย์มีโอกาสเจอกับภรรยา (นิลฉวี ศิวรักษ์) ได้อย่างไร

น้องชายผมแต่งงาน เมียผมเขามาเป็นเพื่อนเจ้าสาว ก็เลยได้มาเจอกัน เป็นเรื่องธรรมดาของคนสมัยนั้น ถ้าจะเอาละเอียดผมเคยเขียนเล่าไว้แล้วในหนังสือ ‘ช่วงแห่งชีวิต’

คู่รักที่อยู่มาด้วยกันยาวนานแบบอาจารย์ มีวิธีอย่างไรทำให้ชีวิตคู่ราบรื่นและยืนยาวถึง 67 ปี

หลักสำคัญ คือ 1. ต้องเปิดเผยซึ่งกันและกัน กับ 2. ต้องอดทนซึ่งกันและกัน ควรมีข้อตกลงครองคู่ร่วมกันบางอย่าง เช่น ถ้าทะเลาะกัน งอนกัน ไม่พูดกันวันเดียวพอนะ หลังจากนั้นต้องกลับมาคุยกันเหมือนเดิม ถ้ารู้ว่าตัวเองผิดก็ต้องมาขอโทษ เพราะบางคนทะเลาะกันไม่พูดกันแค่หนเดียว สุดท้ายมันก็พัง

อยากฝากข้อคิดเรื่องความรักอะไรถึงเด็กรุ่นใหม่บ้าง

เรื่องความรักมันเป็นของดี แต่ถ้าเกิดเมื่อไร ความรักผันแปรเป็นความใคร่ นั่นคืออันตราย เพราะจะกลายเป็นเพียงแค่ความรู้สึกอยากครอบครอง ความรักที่แท้จริงต้องเป็นความรักที่ยินดีจะให้ เปรียบเหมือนพระศอของพระศิวะที่เป็นสีดำ เพราะท่านดื่มยาพิษปกป้องอีกฝ่าย ความรักเองก็เหมือนกัน ต้องกล้าดื่มยาพิษเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ยิ่งเห็นคนรักมีความสำคัญกับตัวเองมากเท่าไร โอกาสที่ชีวิตคู่จะยืนยาวก็มีมากตามไป

หลักๆ แล้วผมไม่ได้หมายความต้องการให้แยกความรักออกจากความใคร่ ทั้งสองอย่างต้องเคียงคู่ไปด้วยกัน เพียงแต่ความใคร่เป็นเพียงแค่ความโหยหาพอได้มามันก็หมดไป เหมือนคนหิวอยากอาหารก็กินนู่นกินนี่ ถ้าเป็นคนได้กันทีสองทีมันก็เบื่อ ไม่ถูกใจมันก็เบื่อ แต่ความรักมันมีค่ามากกว่านั้น ความรัก ทำให้เราเห็นถึงข้อเสีย จุดอ่อนเขา ก็พร้อมยินดีจะช่วยแก้ไขกัน ให้อภัยกัน

Tags: , , , ,