519,684 คน คือจำนวนแรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทย ทำงานอยู่ในภาคส่วนของเศรษฐกิจ ทั้งเกษตรกรรม งานบริการ ก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรม ทว่าในปัจจุบันมีการประเมินว่า มีแรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศแล้วกว่า 3 แสนคน และเป็นการกลับแบบกะทันหัน
สิ่งนี้อาจเป็นที่พึงพอใจสำหรับชาวไทยหลายคนที่มีความต้องการให้ชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศโดยเร็วนับตั้งแต่ความขัดแย้งตรงแนวชายแดนเริ่มปะทุขึ้น แต่ไม่ใช่สำหรับภาคส่วนที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวกัมพูชาอย่างแน่นอน
สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร คำพูดที่ว่า “ไล่แรงงานกัมพูชากลับประเทศให้หมด” มีสิ่งใดที่ต้องคิดอย่างลึกซึ้ง แล้วประเทศไทยมีความพร้อมหรือไม่กับสถานการณ์แบบนี้ The Momentum พาไปสำรวจมุมมองทั้งผู้ประกอบการ เครือข่ายนายจ้าง และเครือข่ายแรงงานไปพร้อมกัน
ตั้งแต่การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาเกิดขึ้นตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ภาพการเดินทางกลับมาตุภูมิของแรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทยก็เริ่มชัดเจนขึ้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อมีกระแสของ ‘ข่าวลือ’ ว่า ทางการของกัมพูชาเรียกคนกัมพูชาในไทยให้เดินทางกลับโดยด่วน มิเช่นนั้นทรัพย์ที่อยู่ในกัมพูชาจะถูกยึด ลบสัญชาติ ไปจนถึงการข่มขู่ครอบครัวให้โทรหาลูกหลานให้เดินทางกลับกัมพูชาโดยด่วน
แต่จากมุมมองของ นิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว นอกจากข่าวลือ เหตุผลที่ทำให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศคือ ‘ความปลอดภัย’ เนื่องจากความบาดหมางของ 2 ประเทศ ได้โหมกระแสความเกลียดชัง ชาวกัมพูชาในประเทศไทยกลัวจะถูกตามล่าตัวและถูกทำร้าย ในขณะที่ระบบยุติธรรมของไทยยังไม่เข้าถึงแรงงานข้ามชาติมากพอ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แรงงานกัมพูชาตัดสินใจที่จะเดินทางกลับมาตุภูมิ
“อีกปัจจัยคือ คนไทยทำตัวเหมือนศาลเตี้ย ออกมาตามล่า มารวมกลุ่มทำร้ายคนกัมพูชา เลยทำให้เขากลับด้วย เพราะเขากลัวว่าอยู่ไปแล้วจะมีความเสี่ยงหรือเกิดปัญหากับเขา”
นิลุบลจัดพฤติกรรมเหล่านี้ของคนไทยว่า ‘คิดน้อย’ เพราะเป็นปัจจัยที่บีบให้แรงงานกับพูชาหันหลังให้กับการเป็นแรงงานในประเทศไทย จากการสำรวจของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 มีแรงงานกัมพูชาในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 519,684 คน ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับ 2 รองจากแรงงานพม่า แต่ขณะนี้พวกเขาเดินทางออกจากด่านฝั่งไปแล้วราว 3 แสนคน
“แล้วแรงงานเหล่านี้เขาแทรกซึมอยู่ในทุกประเภทกิจการ ซึ่งหลักๆ คือประมงและเกษตรกรรม ซึ่งในภาคประมงแม้จะไม่มีสงครามก็ขาดแคลนแรงงานมาโดยตลอด ขณะเดียวกันแรงงาน 1 คนสามารถมีนายจ้างได้ถึง 3 คน แต่แรงงานก็ยังไม่พออยู่ดี
“แต่ในช่วงเวลานี้ถามว่า ภาคไหนที่ได้รับกระทบก็คงเป็นภาคเกษตร เพราะช่วงนี้จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลลำไย ถ้าไม่มีแรงงาน เกษตรกรก็จะขาดทุน ไหนจะลำไยร่วงเพราะเก็บไม่ทัน ก็ทำให้ราคาร่วงอีก”
กิจการภาคอื่นๆ ก็กระทบไม่น้อย อย่างเช่นภาคการก่อสร้าง สะท้อนจากมุมมองของ อมร บุญเลิศ ผู้รับเหมาก่อสร้างของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เคยมีแรงงานกัมพูชากว่า 60 คน แต่ปัจจุบันนี้เหลืออยู่เพียง 30 คน
“ปัจจุบันบริษัทของเราใช้แรงงาน 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือชาวกัมพูชาและพม่า เราใช้งานชาวกัมพูชาประมาณ 30-50% ไปกับงานด้านสถาปัตยกรรมและงานโครงสร้าง ในขณะที่คนไทยอยู่ในส่วนของงานนี้ไม่ถึง 20% เท่านั้น และยังคงลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นกิจการของเราจึงได้รับผลกระทบโดยตรง”
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายนี้ยังสะท้อนว่า การสูญเสียแรงงานอย่างกะทันหัน ทำให้บริษัทสูญเสียต้นทุนที่จ่ายเพื่อให้แรงงานมีความพร้อมในการทำงาน เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการประกันสังคม ซึ่งบริษัทมีหน้าที่ในการดูแล อย่างไรก็ตามเพื่อให้กิจการยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อมรระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างสรรหาแรงงานสัญชาติอื่นๆ เข้ามาทดแทนแรงงานชาวกัมพูชา “แต่ติดปัญหาเรื่องความเชี่ยวชาญและภาษา เพราะกว่า 90% คนกัมพูชาจะสามารถพูดภาษาไทยได้และเคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาก่อนประมาณ 4-5 ปี
แม้ภายหลังแรงงานสัญชาติพม่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงติดปัญหาด้านการสื่อสาร ซึ่งอมรมองว่า ชาวพม่าเพียง 50% เท่านั้นที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ ในขณะที่ลักษณะงานของแรงงานพม่าเน้นงานโครงสร้างและกรรมกรเป็นหลัก จึงติดปัญหาในด้านทักษะที่ไม่เหมือนกัน หากจะนำมาทดแทนแรงงานกัมพูชาที่เน้นงานสถาปัตยกรรมเป็นส่วนมาก
มายด์ ผู้ประกอบกิจการรับจ้างติดตั้งเครื่องจักรโรงสี ในจังหวัดสมุทรปราการ เป็นอีกหนึ่งกิจการที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากแรงงานชาวกัมพูชาหายไปอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ช่างติดตั้งเครื่องจักรมีไม่เพียงพอ
“ตอนนี้เราเหลือแรงงานกัมพูชาแค่ 3 คน จากเดิมมี 7 คน ทำให้ช่างติดตั้งไม่พอ ที่สำคัญคือคนที่กลับบ้านเขามีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งอยู่แล้ว พอจะเอาคนใหม่เข้ามาก็ต้องมีต้นทุนในการสอนทั้งระยะเวลากว่าที่จะทำให้เขาเชี่ยวชาญ”
ทั้งนี้เมื่อแรงงานหายไปจากระบบกะทันหัน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อ ความต้องการแรงงานจึงฉุกเฉินเช่นกัน แต่ระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานของไทยยังคงช้า มีขั้นตอนที่ยืดยาด ทั้งการตรวจสุขภาพ การทำวีซ่า ที่ต้องรออนุมัติจากกรมแรงงานก่อน และเมื่อกระบวนการชักช้า แต่งานยังคงต้องเดินหน้าต่อเนื่อง นายจ้างอาจพาแรงงานที่รอการอนุมัติไปทำงานก่อน และจะกลายเป็นแรงงานเถื่อนเนื่องจากระบบอนุมัติการเป็นแรงงานให้แรงงานข้ามชาติช้าเกินไป
ส่วนสถานการณ์ที่ความต้องการแรงงานสูงขึ้น แต่แรงงานกลับสูญหาย แน่นอนว่า เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน การขาดแรงงานจะทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก ส่งออกสินค้าไม่ได้เนื่องจากไม่มีแรงงานผลิต รัฐจะเก็บภาษีได้น้อยลงจากภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐจะต้องนำมาใช้ในการบริหารประเทศ สร้างถนน สร้างสะพาน ล้วนแล้วมาจากการเก็บภาษีของภาคธุรกิจ ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่นายจ้างไม่มีแรงงาน แต่ยังรวมไปถึงภาพกว้างในระดับประเทศที่จะมีงบประมาณพัฒนาชาติลดลงด้วย
“กระทบตอนนี้คือเราขาดแคลนแรงงาน ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตั้งแต่สถานประกอบการที่จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศ เศรษฐกิจบ้านเรามันเดินด้วยเงิน การสร้างถนน ระบบสาธารณูปโภคในประเทศต้องใช้เงิน เราอย่ามองแค่คนกัมพูชาที่เขาจะได้รับผลกระทบจากการที่เขาไม่ได้ทำงานที่ไทย หรืออย่าไปมองว่าเขาไม่ใช่คนสร้างประเทศไทย
“จริงๆ อยู่ที่เขาไม่ได้เป็นคนสร้างชาติให้เรา แต่ว่าเขาเป็นหนึ่งในฟันเฟือง หากไม่มีเขามาทำงาน แล้วเศรษฐกิจจะขยับอย่างไร เมื่อขยับไม่ได้ก็ไม่มีเงินเข้าไปสู่ภาครัฐ ธุรกิจทั้งเล็กใหญ่ต้องเสียภาษี เพื่อให้รัฐเอามาบริหารจัดการว่าจะเอาไปใช้ดูแลคนไทย พวกเขาอาจแทรกซึมเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในธุรกิจหนึ่ง แต่หากจุดเล็กๆ เหล่านั้นมันหายไปพร้อมกัน เศรษฐกิจไทยก็จะดับวูบไป ปัญหามันก็จะขยายวงกว้าง” นิลุบลระบุ
คำถามคือเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร คำตอบแรกๆ ที่มีในใจคนไทยหลายคน คงหนีไม่พ้น ‘ให้คนไทยทำ’ ซึ่งจากการสอบถามจากนายจ้างและเครือข่ายนายจ้าง เห็นตรงกันว่าอาจทำได้ แต่เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในส่วนของงานก่อสร้างที่อมรให้ความเห็นว่า ลักษณะงานไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของคนไทย ทั้งยังต้องทำงานในสภาพอากาศที่ร้อน และบางครั้งต้องทำงานกลางคืน ขณะเดียวกันประเภทงานที่แรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาทำเป็นงานประเภท 3D (Dirty Job, Dangerous job, Demanding หรือ Difficult Job) จึงไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของคนไทย
คำตอบที่ 2 รองจากการเอาคนไทยมาทำงานแทนแรงงานข้ามชาติคือ การสรรหาแรงงานสัญชาติอื่นๆ เข้ามาทำงาน ซึ่งล่าสุดรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะนำแรงงานมาจากศรีลังกาทดแทนชาวกัมพูชาที่สูญจากระบบแรงงานไป ทว่าเมื่อสอบถามไปยัง อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงาน Migrant Working Group มองว่า ‘ไม่ตอบโจทย์’ เพราะการเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยมีต้นทุนสูง เนื่องจากต้องเข้าประเทศผ่านอากาศยาน ขณะที่แรงงานกัมพูชา พม่า และลาว สามารถเดินทางทางบกเข้าประเทศได้ จึงมีต้นทุนที่ถูกกว่ามาก
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งของปัญหาแรงงานกลับประเทศคือ การแก้ปัญหาของภาครัฐมีลักษณะ ‘รอ’ ให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยตามแก้ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ผู้ประสานงาน Migrant Working Group ที่เห็นว่า “รัฐบาลไม่ได้เตรียมไว้เลยว่า จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ไม่มีการทำแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา ซึ่งโดยกฎหมาย กรรมการนโยบายคือรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน จะต้องทำแผนยุทธศาสตร์มารองรับสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งกฎหมายเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2560 แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มียุทธศาสตร์อะไร ขนาดเปลี่ยนรัฐมนตรีมา 4-5 ท่านแล้ว”
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขในมุมมองของอดิสร สิ่งแรกคือการมี ‘ยุทธศาสตร์’ ในการรองรับสภาวะที่เกิดวิกฤติแรงงาน อย่างที่ 2 คือการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่ต้องเพิ่มมิติการคิดคำนึงถึงสถานการณ์ในประเทศของแรงงานเข้าไป และอย่างที่ 3 คือการอำนวยความสะดวกและจัดระบบให้การเคลื่อนย้ายของแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
“ในระยะยาวคือการทำให้การเคลื่อนย้ายของแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนสามารถทำได้จริง ในตอนนี้ยังมีความยุ่งยากในการจัดการ มีค่าใช้จ่ายที่แพง จะทำให้การนำเข้าแรงงานจากชาติอื่นๆ เข้ามาในไทยคล่องตัวมากขึ้น หากเกิดสถานการณ์แบบที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่อดิสรคิดว่าเป็นไปไม่ได้คือ การ ‘หักดิบ’ ไม่รับแรงงานจากประเทศกัมพูชาเข้ามาทำงานในประเทศไทย เนื่องจากว่าประเทศเรายังมีความต้องการแรงงาน ขณะเดียวกันประเทศกัมพูชามีชายแดนติดกับไทยไม่สามารถแยกขาดจากกันได้
“ความต้องการแรงงานเร่งด่วนของไทยยังคงมี และหากชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามาเป็นแรงงานผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น ในแง่นี้จะเป็นปัญหาและเกิดผลเสียมากกว่าการที่เขาเดินทางเข้ามาเป็นแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นผมจึงมองว่า เรายังหนีไม่พ้นกับการใช้งานแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชา”
อย่างไรก็ดีความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อระบบแรงงาน ลุกลามไปยังระบบเศรษฐกิจของประเทศควรจบด้วยการตกลงเจรจายุติความขัดแย้งโดยเร็ว เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ในระหว่างที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินไป อดิสรมองว่ารัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต้องจับทิศทาง จัดระบบให้ดี กับความต้องการแรงงานในประเทศไทยที่สูงขึ้นจากการขาดแรงงานกัมพูชาไป ซึ่งไม่ใช่แค่การจัดระบบใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เฉพาะปัจจุบัน แต่ต้องมองไปถึงอนาคตหากเกิดสถานการณ์ลักษณะเดียวกันนี้อีก
“ที่สำคัญหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดการระบบแรงงานในประเทศต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะเมื่อดูศักยภาพของกระทรวงแรงงานไทยในวันนี้ ผมก็มองว่า ยังไม่ตอบโจทย์เท่าไร” อดิสรกล่าว
Tags: เกษตรกรรม, แรงงาน, อาชีพ, กระทรวงแรงงาน, ความขัดแย้ง, แรงงานไทย, กรมการจัดหางาน, แรงงานกัมพูชา, กรรมกร, เศรษฐกิจ, ขาดแคลนแรงงาน