ไม่นานมานี้หลายคนอาจเคยเห็นคลิปสาวมุสลิมต่อคิวยาวเหยียด รอซื้อผ้าคลุมศีรษะหรือฮิญาบแบรนด์ NUNUH (นูนูห์) ที่เซ็นทรัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จนทำให้สงสัยว่า แบรนด์นี้เป็นแบรนด์สัญชาติอะไร และมีดีอย่างไรจนทำให้คนมารอซื้อคอลเลกชันใหม่อย่างล้นหลาม
ความจริงแล้ว NUNUH ไม่ใช่แบรนด์จากต่างประเทศที่นำเข้ามาขายแต่อย่างใด แต่เป็นแบรนด์ไทยจากบริษัท นูนูห์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร้านขายผ้าคลุมที่เปิดสาขาแรกในปัตตานีเมื่อปี 2551 จนปัจจุบันขยายไปถึง 5 สาขา ในปัตตานี ยะลา หาดใหญ่ และในกรุงเทพฯ คือสาขามิสทีน บนถนนรามคำแหง รวมถึงยังมีการส่งออกไปขายต่างประเทศ
ด้วยความนิยมระดับนี้ The Momentum จึงติดต่อไปพูดคุยกับ เอม-อรนิภา ชนากานต์ เจเนอเรชัน 2 แห่งแบรนด์ NUNUH ถึงจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจในรุ่นพ่อแม่ และเรื่องคุณภาพสินค้าทั้งการตัดเย็บ เนื้อผ้า แบบ และลวดลาย จนทำให้ผ้าคลุม NUNUH มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นครองใจสาวมุสลิม
อรนิภาเริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า คุณแม่ของเธอมักสวมใส่ผ้าคลุมศีรษะที่เย็บโดยคุณย่าบุญธรรมของเธอ แล้วได้รับคำชมอยู่เสมอ เพราะว่าผ้าคลุมเหล่านั้นเป็นการตัดเย็บแบบ Ready to Wear ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอียิปต์ สามารถสวมใส่ได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลากลัดเข็มกลัดทุกครั้งที่ใส่
“สมัยก่อนคุณย่าบุญธรรมของเราเป็นคนเย็บเสื้อผ้า แล้วเขาเป็นคนที่เย็บเสื้อผ้า ผ้าคลุมให้ใส่ตลอด คุณแม่ก็เลยใส่ผ้าคลุมที่คุณย่า คุณแม่บุญธรรมของคุณแม่ ใส่มาก็มีคนเริ่มบอกว่า ผ้าคลุมสวยนะ เก๋นะ”
เธอเล่าต่อไปว่า ในอดีตผ้าคลุมศีรษะสตรีมุสลิมในไทยมีให้เลือกน้อย ในท้องตลาดมักขายเป็นผ้าผืนใหญ่ ต้องกลัดเข็มกลัดตอนคลุม แม้จะมีผ้าคลุมที่นำเข้ามาจากมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย แต่ในเรื่องของความหลากหลาย รวมถึงความสะดวกในการสวมใส่ทุกวันยังไม่ตอบโจทย์ จุดนี้ทำให้คุณพ่อ (ภาณุมาศ ชนากานต์) เริ่มมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจผ้าคลุมศีรษะ
“คุณพ่อเห็นว่ามันน่าจะเป็นธุรกิจได้นะ เขาเลยเริ่มต้นลองเอามาขายที่บ้านก่อน ผลตอบรับตอนนั้นก็โอเค แล้วเขาก็สังเกตว่า ทำไมลูกค้าประจำเริ่มมาซื้อบ่อย แล้วก็เริ่มมีบางคนซื้อไปขายต่อแล้ว คุณพ่อเลยตัดสินใจเปิดร้านสาขาแรกที่นราธิวาส เป็นร้านขายปลีก ซึ่งช่วงเปิดร้านแรกๆ ยอดขายไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี กว่าจะเห็นผลตอบรับที่ชัดเจน” อรนิภาเล่า
นอกจากเรื่องดีไซน์การตัดเย็บที่สวมใส่สะดวกแล้ว เนื้อผ้าที่เป็นผ้ายืดยังเพิ่มความสบายในการสวมใส่ ทั้งยังไม่ต้องรีดก่อนใส่ และอีกเรื่องที่โดดเด่นคือ สีสันกับลวดลายบนผืนผ้า ซึ่งอรนิภาเล่าว่า ในอดีตสินค้าของร้านต้องใช้ผ้าที่ขายตามตลาดมาตัดเย็บ ทำให้มีตัวเลือกน้อย ส่วนใหญ่เป็นสีพื้นเรียบๆ ลวดลายไม่หลากหลาย แต่ในปัจจุบันทางแบรนด์มีการออกแบบลวดลายเองและสั่งผลิตผ้าขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มเติมผิวสัมผัสของผ้าหลายรูปแบบ ทั้งใช้ผ้าแจ็กการ์ด (Jacquard) ที่มีลวดลายในตัว ผ้าอัดพลีต และผ้าใส่กลิตเตอร์ ซึ่งเป็นการสั่งผลิตใหม่ ไม่ซ้ำกับผ้าที่ขายในท้องตลาด
“ความต้องการของสาวๆ เปลี่ยนไปเยอะ สมัยก่อนเราสามารถซื้อผ้าเท่าที่มีขายตามร้านขายผ้า เป็นผ้าสำเร็จแล้ว เราก็แค่เลือกลายมาตัดเย็บให้ตรงตามความต้องการของเรา แต่ปัจจุบันนี้เรามีการออกแบบเองเลย โทนสีด้วย รวมทั้งมีการใช้เนื้อผ้าที่หลากหลายมากขึ้น”
เมื่อถามว่า มีโทนสีหรือลวดลายแบบใดที่สาวมุสลิมชื่นชอบเป็นพิเศษ อรนิภาตอบว่า แล้วแต่ช่วงวัยและโอกาสที่ใช้ เนื่องจาก NUNUH มีลูกค้าหลายหลายวัย มีรสนิยมและความต้องการแตกต่างกัน สินค้าของร้านจึงมีทั้งผ้าคลุมแบบที่ใส่ในชีวิตประจำวัน ใส่ไปเที่ยว และใส่ออกงาน
โดยหากเป็นผ้าคลุมสำหรับใส่ออกงาน ลูกค้าวัยรุ่นมักจะเลือกผ้าคลุมแบบสกายไลน์ (Skyline) เป็นการคลุมผ้าสไตล์สาวอาหรับ ปลายผ้าจะเป็นชิ้นยาวสำหรับพันคอ ทำให้ดูโมเดิร์นยิ่งขึ้น ในขณะที่ลูกค้าวัย 40-50 ปี มักจะเลือกจะเลือกผ้าคลุมแบบปักมุก หรือคริสตัลสำหรับใส่ออกงาน และหากเป็นผ้าคลุมศีรษะที่ใส่ในชีวิตประจำวัน อรนิภาบอกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบรุ่นคัพเค้ก ซึ่งเป็นลายแบบออมเบรหรือไล่สี ซึ่งเป็นรุ่นที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์คนต่อคิวยาวรอซื้อจนล้นถนนที่สาขานราธิวาสเมื่อปี 2563 แม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม
ขณะที่ในปัจจุบันอรนิภาบอกว่า ลูกค้ามีความต้องการผ้าคลุมที่เรียบง่ายและใส่ได้บ่อยมากขึ้น
“ช่วงปีหลังๆ เรารู้สึกว่า ลูกค้าจะชอบลายที่สามารถใส่ได้บ่อยขึ้น เป็นสีพื้น เป็นมินิมอล แต่ในความมินิมอลเราก็จะมีใส่โมโนแกรมเข้าไปในผ้าเรา ลูกค้าจะมองว่า มันใส่ได้ง่ายกว่าเป็นลวดลาย” เธอกล่าว
อรนิภาเล่าว่า ภาพของลูกค้าที่ต่อคิวซื้อผ้าคลุมจะเป็นทุกครั้งที่ออกคอลเลกชันใหม่ และเกิดขึ้นในเกือบทุกสาขา เมื่อถามว่านี่คือจุดสูงสุดของแบรนด์หรือยัง เธอบอกว่าแม้จะเป็นความสำเร็จ ได้รับการยอมรับ แต่ยังคงพยายามพัฒนาคุณภาพสินค้าไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะวัตถุดิบหรือผ้าที่สั่งผลิตเอง เพราะสิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อ คือคุณภาพของผ้าที่สวมใส่สบาย สวมใส่แล้วรู้สึกมั่นใจ และยังต้องค้นหานวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในหลายเรื่อง เช่น ผ้าที่ใส่แล้วเย็น ใส่แล้วไม่ร้อนเพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน รวมถึงผ้าซับเหงื่อได้ สามารถใส่ออกกำลังกายได้
“เรายึดมั่นว่าเราเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ ผู้หญิงที่แตกต่าง แต่ว่ายังอยู่ในแนวทางของหลักศาสนา คือเราก็ยังคลุมผม แต่เราก็ยังสวยได้อย่างถูกต้อง อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ารอซื้อสินค้าเรา เพราะเราพรีเซนต์ตัวเองว่า เรามีอัตลักษณ์แบบนี้ลูกค้าก็เลยชอบ เพราะว่ามันน่าจะตอบโจทย์การเป็นตัวของเรา” อรนิภากล่าว
อย่างไรก็ตามแม้แบรนด์ NUNUH มีความชัดเจนทั้งในเรื่องของตัวตนและกลุ่มเป้าหมายหรือตลาด แต่การเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัวก็มีความท้าทายอยู่ในไม่น้อย
“เราว่ามีความยากมากในการที่เราจะรักษามรดกตรงนี้ ที่พ่อแม่เขาทำมาดีแล้ว ซึ่งเราต้องทำให้มันไปต่อได้ไกลกว่าเดิม แล้วมันไม่มีคำตอบให้เราเห็น เราต้องหาไปเรื่อยๆ ว่า อะไรที่จะสามารถทำให้ธุรกิจไปต่อได้ และอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการทำงานกับคุณพ่อคุณแม่ เราต้องปรับตัวในช่วงแรกเยอะ แต่ก็โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนเปิดกว้าง รับฟังคนรุ่นใหม่” เธอบอกเล่าถึงความตั้งใจ
Tags: Feature, Business, ฮิญาบ, NUNUH, Nunuh Internaional, นูนูห์, ผ้าคลุมนูนูห์