“…เมื่อไทยเป็นของไทย ออกไปไม่ใช่ของมัน
จักรวรรดิอเมริกัน มันเที่ยวรุกรานไม่ว่าบ้านเมืองใคร
แบ่งแยกแล้วทำลาย นาทรายนาหินกอง
อยู่กินกันอย่างพี่น้อง ไอ้ผู้ปกครองมันมาจุดไฟ…”
บทเพลงอเมริกาอันตราย โดย ทองกราน ทานา และวีระศักดิ์ สุนทรศรี สองนักดนตรีเพื่อชีวิตที่ร่วมกันประพันธ์เพลงนี้ขึ้นในปี 2518 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการรณรงค์ของภาคประชาชน เพื่อต่อต้านการตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย
ความน่าสนใจของบทเพลงนี้ นอกจากจะสะท้อนมุมมองของผู้แต่งต่อการเข้ามาของจักรวรรดิอเมริกันในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่บทเพลงที่มีการกล่าวถึง ‘บ้านนาทราย’ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดหนองคาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬในปี 2554
ความสำคัญของนาทรายที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลง คือการเป็นอดีตพื้นที่เผชิญหน้าระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในปี 2517 ซึ่งแม้จะมีการห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงด้วยอาวุธ แต่ชาวบ้านยังคงอาศัยและใช้ชีวิตในหมู่บ้านกันตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หลังวันที่ 24 มกราคม 2517 หมู่บ้านนาทรายกลับถูกเผาทำลายจนเหลือเพียงผืนดินว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเศษขี้เถ้า มีชาวบ้าน 4 ชีวิตต้องจากไป และอีกนับร้อยต้องพลัดถิ่นไปอยู่ที่อื่น
แม้ช่วงแรกจะเต็มไปด้วยความสับสนและปริศนาว่าฝ่ายรัฐหรือคอมมิวนิสต์เป็นผู้ลงมือ แต่สิ่งที่ชัดเจนตลอดมาคือ เหตุการณ์ ‘เผาบ้านนาทราย’ ไม่สามารถแยกออกจากความสูญเสียทางการเมืองได้ ทว่าเรื่องราวนี้กลับถูกกล่าวถึงน้อยครั้ง ไม่ปรากฏในบทเรียนประวัติศาสตร์ ไม่มีการจัดงานรำลึกหรือไว้อาลัยให้แก่ผู้สูญเสีย ราวกับว่าโศกนาฏกรรมที่นาทรายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เพื่อย้ำเตือนว่าในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยังมีความรุนแรงใดอีกบ้างที่ถูกหลงลืม The Momentum จึงเดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านนาทราย ผู้เป็นปากคำทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านทั้งความร้อนจากเปลวไฟ ความหวาดกลัวต่อการกดทับของอำนาจและชนชั้นนำ และยังคงมีบาดแผลจากเหตุการณ์ในวันนั้นหลงเหลืออยู่จนถึงวันนี้
ไม่กี่เดือนก่อนเผานาทราย
ทุกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยล้วนมีที่มา เหตุการณ์ ‘เผานาทราย’ ก็มิได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ
หลังจากเปลวไฟที่แผดเผาหมู่บ้านนาทรายเมื่อต้นปี 2517 เริ่มสงบลงไม่นาน นักข่าวกลุ่มหนึ่งร่วมกับนักศึกษาและอาจารย์ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ ด้วยความหวังที่จะสืบหาต้นตอที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมือง จนเกิดเป็นนิตยสารรายปักษ์ ‘ศูนย์’ เพื่อเอกราช และประชาธิปไตย ซึ่งรวบรวมบทสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจากหน้าหนังสือพิมพ์ เพิ่มเติมด้วยคำให้การของชาวบ้านผู้ประสบเหตุ พร้อมบทวิเคราะห์สถานการณ์ที่ปูทางไปสู่ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคอีสาน รวมถึงที่หมู่บ้านนาทราย
สรุปความจากหนังสือได้ว่า เหตุการณ์ที่นำไปสู่หายนะที่หมู่บ้านนาทรายเริ่มต้นมาจากความพยายามสร้างสถานการณ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชน ที่กำลังจับจ้องสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ CIA หลังหน่วยงานนี้ถูกเปิดโปงเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2517 ว่า ‘ปลอมแปลงจดหมาย’ ที่อ้างว่าเขียนขึ้นโดยหัวหน้าคอมมิวนิสต์ ส่งไปให้กับนายกรัฐมนตรีและกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) ช่วงปลายปี 2516 เพื่อขอเจรจาหยุดยิง แลกกับการที่รัฐบาลต้องให้คอมมิวนิสต์มีเขตปกครองตนเอง
นอกจากกรณีจดหมายปลอมแล้ว CIA ยังถูกเปิดโปงเพิ่มเติมว่าได้จัดตั้งบริษัทบังหน้าเพื่อนำเข้าและส่งออกสินค้าในประเทศไทยโดยไม่เสียภาษีเป็นมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
การเปิดโปงดังกล่าวปลุกกระแสการขับไล่หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ให้ลุกลามไปทั่วประเทศ เพราะถูกมองว่าเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในและทำลายอธิปไตยของชาติ กระทั่งวันที่ 21 มกราคม 2517 ขณะที่ CIA ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและถูกประชาชนขับไล่ ก็มีการประโคมข่าวสถานการณ์ในภาคอีสานว่า กำลังจะถูกคอมมิวนิสต์ลาวยึดครอง มีการประกาศ ‘ปลดแอกอีสาน’ ตามมาด้วยข่าวคอมมิวนิสต์บุกยึดหมู่บ้านนาทรายในวันที่ 22 มกราคม 2517 โดยอ้างว่า มีการบังคับชาวบ้านให้ขุดหลุมบังเกอร์และใช้หมู่บ้านเป็นฐานคมนาคมเชื่อมต่อไปยังอำเภอบึงกาฬ
หลังจากนั้นข่าวการเปิดโปงหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ก็อันตรธานไป กลายเป็นข่าวคอมมิวนิสต์ที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงแก่ประชาชน และปลุกความสนใจของสื่อมวลชนขึ้นมาแทน
“คอมมิวนิสต์ยึดหมู่บ้านนาทรายไว้ได้ บังคับให้ชาวบ้านขุดหลุมบังเกอร์รอบหมู่บ้าน มีทั้งหลุมบุคคลและหลุมปืน รวมทั้งหลุมหลบภัยใต้ถุนบ้านทุกหลัง ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชักธงแดงขึ้นเป็นเขต ตั้งด่านการคมนาคมระหว่างหมู่บ้านนาทรายกับอำเภอบึงกาฬ ทางราชการกำลังหามาตรการปราบปรามขั้นเด็ดขาดต่อไป” คือเนื้อหาข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2517
เมื่อเนื้อข่าวระบุเช่นนั้น หมู่บ้านที่อยู่ไกลโพ้นจากส่วนกลางจึงกลายเป็น ‘ดาวเด่น’ ในชั่วพริบตา และถูกมองว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงที่ได้จากเอกสารและการพูดคุยกับชาวบ้านนาทรายจะพบว่า มีคอมมิวนิสต์เดินทางผ่านมายังหมู่บ้านและพยายามสร้างเครือข่ายภายในพื้นที่จริง แต่ก็ไม่ใช่ชาวบ้านทั้งหมดที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทว่าในข่าวกลับไม่กล่าวถึงประเด็นนี้ ทำให้เกิดการ ‘เหมารวม’ ว่าชาวบ้านทั้งหมดคือฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ
และชวนให้คิดว่า ข้อความ ‘มาตรการปราบปรามขั้นเด็ดขาดต่อไป’ ในเนื้อข่าว จะหมายถึงการปราบปรามคอมมิวนิสต์เพียงอย่างเดียวหรือไม่
ไม่ถึงสัปดาห์ก่อนเผานาทราย
หลังการปะทะกันระหว่างชุดรักษาความปลอดภัยกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ 2 ครั้งในบริเวณใกล้เคียงช่วงกลางเดือนมกราคม 2517 การเข้าออกหมู่บ้านนาทรายก็เริ่มยากยิ่งขึ้น เนื่องจากการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่
สถานการณ์ยิ่งเข้มข้นขึ้นหลังวันที่ 20 มกราคม 2517 เมื่อเกิดเหตุสะเทือนขวัญต่อเนื่องหลายครั้ง ทั้งการยิงปืนเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านหลังนำควายไปชำแหละนอกหมู่บ้าน สะพานที่เชื่อมหมู่บ้านนาทรายไปยังหมู่บ้านอื่นถูกวางเพลิงจนเหลือแต่ตอโดยไม่ทราบฝ่าย กระทั่งการเสียชีวิตของชาวบ้านที่เพียงออกไปเยี่ยมญาติในหมู่บ้านใกล้เคียง
“ช่วงนั้นชาวบ้านนาทรายเริ่มพากันออกไปอยู่ตามบ้านพี่น้องที่หมู่บ้านอื่น เป็นช่วงเดียวกับที่พา ไชยสุวรรณ กับกลม ติดมา ซึ่งเป็นญาติกันถูกฆ่าอยู่กลางทางที่รอบข้างเป็นป่า จากนั้นสถานการณ์มันก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ” บุญยงค์ ชะนะประดิษฐ์ ชาวบ้านนาทรายวัย 72 ปี บอกเล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตนยังอยู่ในวัย 20 ต้นๆ
เขาเล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่ชาวบ้านเสียชีวิตอย่างน่าอนาถกลางป่าหลังไปเยี่ยมญาติ ไม่มีใครเข้ามาจัดการ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สืบสวนคดี ในวันเดียวกันนั้นชาวบ้านจึงต้องเผาศพ ณ ที่เกิดเหตุโดยไม่ได้จัดพิธีใดๆ
ความตายปริศนาของชาวบ้านได้แผ่ซ่านความหวาดกลัวไปทั่วนาทราย
“ตอนนั้นมองว่าสถานการณ์มันเริ่มรุนแรงแล้วล่ะ ประชาชนธรรมดาเวลาจะออกจากบ้านก็ต้องระแวดระวังตัว จะไปหาญาติก็ลำบาก ไหนจะมีคำสั่งของเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาประชิดหมู่บ้านเพิ่มอีก ทีนี้ยิ่งออกลำบากเลย”
ยิ่งใกล้วันที่หมู่บ้านแห่งนี้จะกลายเป็นโศกนาฏกรรม เจ้าหน้าที่ก็ยิ่งประชิดหมู่บ้านมากขึ้น การเข้าออกเป็นไปอย่างยากเย็น เนื่องจากมีการกำชับชาวบ้านให้หลีกเลี่ยง เพราะหากเกิดการปะทะกับผู้ก่อการร้ายขึ้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ‘ใครคือคนดี’
แต่ค่ำคืนของวันที่ 23 มกราคม 2517 ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยหารู้ไม่ว่า ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีหลังจากที่พวกเขาลืมตาตื่นในเช้ามืดวันถัดไป
24 มกราคม 2517: เผานาทราย
“ปัง”
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดที่ท้ายหมู่บ้าน ปลุกทั้งคนและวัวควายให้ตื่นพร้อมกันในช่วงตี 5 ของวันที่ 24 มกราคม 2517 ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นเสียงปืนที่ยิง จันศรี ไชยนนท์ ชาวบ้านธรรมดาที่กำลังเดินไปเข้าส้วมในป่า
บุญยงค์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 20 ปี อยู่ในเหตุการณ์
“เขาใช้ปืน M79 ยิงนายศรีตอนที่ไปส้วมในป่าก่อน ตอนนั้นวัวควายพากันตกใจจนเชือกแทบรัดคอตาย เสียงปืนเหมือนเป็นสัญญาณว่าจะบุกหมู่บ้านแล้ว หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ราว 190 คน เดินเข้ามาจากฝั่งโรงเรียน มายืนประชิดบ้านทุกหลังแล้วเรียกให้เจ้าของบ้านลงมา”
เจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอความกรุณา แต่ตะโกนว่า “ถ้าไม่ลงมา กูจะยิงมึง” เพื่อรักษาชีวิต ชาวบ้านหลายคนจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เว้นแต่ครอบครัวของ ผัน ใส และเอบ มัทราช
“เขาถูกฆ่าพร้อมกันทั้งครอบครัว เพียงเพราะไม่ยอมลงมาจากบ้าน เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นไปบนบ้านแล้วยิงหมดทุกคน”
‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ คือคำที่บุญยงค์ใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมัทราช พวกเขาถูกเผาไปพร้อมกับบ้าน แม้แต่เด็กอายุ 6 ขวบ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิต
ทุกครอบครัวในนาทรายต่างเผชิญกับความสูญเสีย ทั้งทรัพย์สินและเงินทองที่หยิบติดตัวมาไม่ทันล้วนถูกเผาทำลายไปพร้อมกับบ้าน ชาวบ้านทำได้เพียงนั่งมองเปลวไฟและกลุ่มควันที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้พยายามหลับตาเพื่อปิดกั้นภาพอันน่าสลด แต่ไอร้อนที่ปะทะผิวกายกับเสียงดังครืนของบ้านที่ไหม้เกรียมและพังทลายลงมานั้นยังคงชัดเจน
ชาวนาทรายคงคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า ชุมชนของพวกเขาสูญสลายไปแล้ว
“ตอนบ้านโดนเผา เสียงมันดังอย่างกับระเบิด ตู้มๆ ต้ามๆ เป็นเสียงของไหปลาร้าที่วางอยู่บนบ้าน พอบ้านไฟไหม้ ไหก็ตกลงมาระเบิดบนพื้นใต้ถุนบ้าน” ชายวัย 72 ปี ประจักษ์พยานจากเหตุการณ์วันนั้นกล่าว
เปลวไฟยังไม่ทันดับ เจ้าหน้าที่ก็ถือกระดาษขึ้นมาอ่านรายชื่อชาวบ้านนาทราย 25 คน ใครถูกเรียกชื่อต้องลุกขึ้นยืน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้ปืนจี้และคุมตัวไปตามท้องถนนที่โอบล้อมด้วยเศษซากและขี้เถ้า โดยไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาถูกพาไปยังที่ใด
บุญยงค์เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ถูกเรียกตัว จึงทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ ที่กำลังเสียขวัญ
“สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดคืออะไรคุณรู้ไหม คือการที่เจ้าหน้าที่เข้ามาพูดกับชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ตรงนั้นว่า ไปดูบ้านของตัวเองสิ จำได้ไหม บ้านของตัวเองน่ะ บ้างก็ขึ้นมึงกู บอกว่า มึงไปดูบ้านมึงเลย มึงจำได้ไหม
“โอ๊ย จะไปจำได้อย่างไรหนอ มันถูกเผาวอดไปแล้ว” บุญยงค์พึมพำ ไม่ใช่แค่บ้านทั้งหลังที่เหลือแต่เพียงขี้เถ้า แม้แต่ข้าวสารในยุ้งฉางซึ่งเป็นความหวังเดียวในการมีชีวิตรอดก็ถูกเผาจนสิ้น
เมื่อไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความสูญเสีย ชาวบ้านนาทรายจำนวนหนึ่งจึงเดินสวนทางออกจากหมู่บ้าน พวกเขาคิดว่าไม่เหลือสิ่งใดให้กลับไปหาอีกแล้ว จึงเลือกเดินทางพลัดถิ่นไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น บ้านหนองจันทร์ บ้างก็ไปไกลถึงจังหวัดอุดรธานีหรือสกลนคร ในสภาพที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา
บุญยงค์พยายามใจแข็งกลับเข้าไปดูบ้านของเขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป “เกาะคอกันร้องไห้ตอนเข้าไปดูบ้าน แล้วก็พากันไปขึ้นรถประจำทางสมัยก่อน ไปไหนต่อไหน บางคนแวะลงกุมภวาปี บางคนขอลงหนองหานไปอยู่บ้านญาติพี่น้อง ส่วนคนไม่มีญาติก็ไปขออยู่กับเพื่อนก่อน”
นาทรายในวันนั้นเหมือนเมืองที่ถูกลบออกจากแผนที่ บ้านเรือน 160 หลังกลายเป็นขี้เถ้า มีเพียงซากปรักหักพังและเสียงร้องไห้ระงมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากจะเปรียบเทียบ สถานการณ์ที่เห็นคงไม่ต่างจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากแต่เกิดจากฝีมือของ ‘คน’
0
เมื่อเปลวไฟที่หมู่บ้านนาทรายสงบ ข่าวความตึงเครียดชายแดนอีสานก็เงียบหายไปเช่นกัน การเปิดโปง CIA ก็ไม่ถูกพูดถึงอีก แม้แต่ พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นที่บินไปดูที่เกิดเหตุ ยังกล่าวว่า ‘ไม่มีอะไรพิเศษ’ ส่วนหน้าหนังสือพิมพ์ก็โยนความผิดให้คอมมิวนิสต์เป็นผู้เผา ซึ่งสวนทางกับการรับรู้ของชาวบ้านนาทรายอย่างสิ้นเชิง
“ก็เห็นมีพวกอาสารักษาดินแดน กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นแหละเข้ามาเผา บางคนก็เป็นญาติพี่น้องใกล้เคียงกัน ผมเห็นหน้าเขาแล้วรู้ว่าเขาเป็นใคร… ชาวบ้านนาทรายเขาเห็นตรงกันทั้งหมด ทั้งหมู่บ้านเห็นเต็มสองตา ไม่มีใครลุกขึ้นแล้วพูดว่าบ้านนาทรายถูกเผาโดยคอมมิวนิสต์ ไม่มีครับ” บุญยงค์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
กระแสข่าวต่างๆ ทั้งการขุดบังเกอร์รอบหมู่บ้าน การตั้งฐานที่มั่นคอมมิวนิสต์ หรือเหตุการณ์เผานาทรายที่ถูกระบุว่า เริ่มจากการ ‘ปะทะ’ ล้วนดูเหมือนเป็น ‘สิ่งสร้างขึ้น’ เพื่อลวงให้เชื่อว่านาทรายมีคอมมิวนิสต์ นายอำเภอบึงกาฬในยุคนั้นถึงกับกล่าวหาว่าชาวบ้านนาทรายกว่าร้อยละ 90 ได้รับการอบรมจากคอมมิวนิสต์แล้ว
แต่หากตรวจสอบอย่างถ่องแท้ จะพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
“เขาคิดว่าชาวบ้านนาทรายเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมู่บ้าน พวกราชการเขาคิดแบบนั้น” บุญยงค์ระบุ ซึ่งท้ายที่สุด การใส่ร้ายป้ายสีชาวบ้านก็นำมาสู่ความสูญเสีย ทั้งชีวิตของชาวบ้าน 4 คนที่จากไปโดยไม่มีโอกาสได้แก้ต่าง
อย่างไรก็ตาม แสงสว่างแห่งความยุติธรรมยังพอมีอยู่บ้าง หลังเหตุการณ์ผ่านไปไม่นาน นักศึกษากลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ปช.ปช.) นำโดย ธีรยุทธ บุญมี เข้ามาสำรวจเศษซากพร้อมกับสืบหาข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ตรงของชาวบ้าน ซึ่งกลายมาเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า ‘เจ้าหน้าที่ต่างหากที่เผา’ และได้เปิดเผยความจริงนี้ออกมาในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
ชาวบ้านนาทรายจดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้เสมอ พวกเขาจำได้แม้กระทั่งใบหน้าของผู้ที่ถือปืนและจุดไฟ
ผู้ที่ถูกชี้ตัวมีทั้ง ร้อยตำรวจโท ชูพันธ์ บุญประคอง หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยทางอากาศและกู้ภัย (หน.นปค.), ร้อยตำรวจเอก ประจวบ บัวขาว ปลัดอำเภอโทฝ่ายป้องกัน, จ่าสิบตำรวจ สวาสดิ์ (ไม่ทราบนามสกุล) หน่วยล่าสังหารของ กอ.ปค. นอกจากนั้นยังมีอาสารักษาดินแดน แวว บัวชุม และพรหมา ไกยะแสง ส่วนคนอื่นๆ ก็สามารถชี้ตัวได้ทุกคน
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2517 พลโท สายหยุด เกิดผล (ยศในขณะนั้น) ผู้อำนวยการ กอ.ปค. ออกมายอมรับว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ จึงยอมชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมอ้างว่าจะยกเลิกนโยบายตาต่อตาฟันต่อฟันทางการเมือง และจะสร้างบ้านให้ใหม่
“ให้เงินครบทุกหลังก็จริง แต่ให้น้อย ค่าข้าวที่เผาไปพร้อมบ้าน พ่อผมได้แค่หมื่นกว่าบาท ไปซื้อบ้านหลังหนึ่งก็ 8,000-9,000 บาทแล้ว ค่ายุ้งข้าวก็ไม่ได้ มันจะไปคุ้มอะไร”
The Momentum ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน 3 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันว่า เงินชดเชยที่รัฐบาลมอบให้เพื่อ ‘ไถ่โทษ’ นั้น ได้สูงสุดเพียง 3 หมื่นบาทสำหรับบ้านที่ถูกไฟไหม้ทั้งหลังรวมยุ้งข้าว ซึ่งไม่ครอบคลุมทรัพย์สินอื่นๆ ที่ถูกเผาไปด้วย
“ไม่พอหรอกครับ เขาให้แค่ค่าบ้าน ค่ายุ้งข้าวที่เขาเผาเขาก็ไม่ได้ให้ แต่จะไปร้องเรียนว่าไม่พอก็กลัวอีก” บุญยงค์เล่า ซึ่งสะท้อนว่าเหตุการณ์เผาบ้านนาทรายได้กัดกินความกล้าของชาวบ้านจนเหลือแต่ความกลัว ไม่กล้าร้องเรียนถึงการเยียวยาที่ไม่เพียงพอ
ยังไม่นับรวมครอบครัวผู้เสียชีวิตที่บุญยงค์เล่าว่า “ไม่ได้รับการเยียวยาอะไรเลย” จากภาครัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากความเกรงกลัวอำนาจรัฐของบรรดาญาติผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกัน
ในวันนี้ ไม่มีร่องรอยของความสูญเสียหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านนาทรายอีกต่อไป หากมองด้วยสายตาของคนนอก ย่อมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าที่แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่ขัดแย้งทางความคิดที่นำมาซึ่งความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์
ความเจ็บปวดของหมู่บ้านนาทรายไม่ปรากฏให้เห็น ไม่มีอนุสาวรีย์หรืออนุสรณ์สถานเพื่อไว้อาลัยชาวบ้านผู้วายชนม์ ไม่มีพิพิธภัณฑ์หรือศูนย์เผยแพร่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น หลักฐานแห่งความเจ็บปวดที่บ้านนาทรายคงอยู่เพียงในใจของชาวบ้านไม่กี่รายที่ยังมีชีวิต และยังคงมองเห็นภาพความรุนแรงนั้นฉายซ้ำในความทรงจำ แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม
เราถามคำถามสุดท้ายกับบุญยงค์
“มีใครได้รับโทษจากเหตุการณ์นี้หรือไม่”
เขาตอบอย่างสิ้นหวังว่า
“ไม่มีใครได้รับโทษเลยสักคน”
แม้จะผ่านมาหลายทศวรรษ แต่ดูเหมือนว่าชาวบ้านนาทราย ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว ยังไม่เคยได้รับความยุติธรรมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
อ้างอิง
https://www.openbase.in.th/files/pridibook218.pdf
Tags: หมู่บ้านนาทรายสามัคคี, เผานาทราย, พรรคคอมมิวนิสต์