ใครเติบโตมาในย่านเล็กๆ คงจดจำร้านโชห่วยหรือร้านชำแถวบ้านได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในชุมชนต่างจังหวัดที่กว่าจะเจอร้านขายของสักแห่งต้องขับรถออกไปไกล 2-3 กิโลเมตร บางพื้นที่แม้เจ้าของร้านจะอัธยาศัยดีหรือไม่ถูกกันครอบครัวแค่ไหน ก็จำเป็นต้องอุดหนุนอยู่ดี เพราะไม่มีร้านอื่นให้ไป ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าที่วางขายในร้านก็มีไม่กี่อย่าง บางร้านลูกค้าไม่มีสิทธิเลือกหยิบสินค้าด้วยตนเองด้วยซ้ำ

จนกระทั่งยุคของห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อที่ขยายตัวไปตามพื้นที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนในชุมชนเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป หันไปซื้อของในห้างมากขึ้น เพราะได้เลือกสินค้าหลากหลายยี่ห้อที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ สินค้าดูสะอาด พื้นที่กว้างขวาง เดินเลือกได้สบายใจ และที่สำคัญสามารถพลิกสินค้าดูวันเดือนปีที่หมดอายุก่อนซื้อ เพราะหลายคนไม่ได้ซื้อแค่ของ แต่ถือว่าซื้อความสบายใจด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้านชำหลายร้านให้ไม่ได้ ส่งผลให้ร้านชำหลายร้านซบเซาลง

บาดแผลของร้านขายของชำที่ครอบครัวมุกดาม่วงได้สัมผัสมาตั้งแต่ร้านโชห่วยของคุณปู่ นำมาสู่การสร้าง ‘อีหล่า มาร์เก็ต’ ร้านโชห่วยแนวใหม่ของชาวบ้านหนองใส ในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งนำโดย พีเจี้ยน-รักอิสระ มุกดาม่วง ที่หวังให้โชห่วยทั่วไทยสะดวกสบายแบบห้างร้านสมัยใหม่ (Modern Trade) แต่ขายของสำคัญในครัวเรือน เช่น ถ่านไม้ ครกส้มตำ และยังคงไว้ซึ่งสินค้ายี่ห้อที่คนในชุมชนนิยมชมชอบ

นอกจากคุยกับพีเจี้ยนถึงกิจการร้านโชห่วยแล้ว พีเจี้ยนที่ในตอนนี้จากเมืองใหญ่กลับมาอยู่บ้านเกิดได้เกือบ 10 ปี เขามองเห็นอนาคตของอุดรธานีเป็นอย่างไร และคาดหวังให้จังหวัดนี้เป็นไปในทิศทางไหน

ร้านชำมาตรฐานที่คนต้องเดินเลือกของได้

อีหล่า มาร์เก็ตเริ่มต้นกิจการเมื่อปี 2561 ซึ่งชื่อ ‘อีหล่า’ มาจากไอเดียของคุณแม่ พีเจี้ยนเล่าว่า ก่อนจะมีอีหล่า มาร์เก็ต ต้องย้อนไปถึงตอนที่คุณปู่ของเขาเปิดร้านขายโชห่วยที่บ้านหนองใส ในตอนนั้นไม่ได้มีชื่อร้าน และปัจจุบันปิดตัวลงไปแล้ว ส่วนพิกัดร้านอีหล่า มาร์เก็ตในปัจจุบันก็เป็นคนละจุดกับร้านเดิมของปู่ แต่ยังอยู่ในพื้นที่บ้านหนองใสเช่นเดิม

“ด้วยความที่เราเป็นคนรุ่นใหม่ เราเลยมองว่าควรจะมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการให้คนจำเราได้ อยู่ดีๆ แม่เดินมาพูดว่าเอาชื่ออีหล่าไหม เราซื้อชื่อนี้จากแม่เลย ไม่คิดต่อแล้ว เพราะมันค่อนข้างจบ พอมาตกตะกอนคำว่าอีหล่า มันความหมายดี ฟังแล้วน่าเอ็นดูด้วย เราเลยไม่ลังเลที่จะใช้ชื่อนี้” พีเจี้ยนเล่าถึงที่มาของชื่อร้าน

เมื่อถามถึงคอนเซปต์ของร้าน พีเจี้ยนเล่าว่า อีหล่า มาร์เก็ตเกิดขึ้นจากการแก้ Pain Point ของร้านชำหรือร้านโชห่วยสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบ คุณภาพสินค้า สิทธิของลูกค้าในการเลือกซื้อ รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบร้าน 

“เรามี Pain Point เป็น 10 ข้อ แล้วเอามาออกแบบทั้งหมดว่า ร้านใหม่ของเราจะหนีออกจากข้อเสียเหล่านั้นได้อย่างไร เพื่อไม่ให้กลับไปเป็นรูปแบบร้านค้าสมัยเก่า”

โจทย์สำคัญที่พีเจี้ยนยึดถือคือ ลูกค้าต้องมีสิทธิเดินเลือกซื้อสินค้าเหมือนร้าน Modern Trade ซึ่งจากเป็นมาตรฐานที่ร้านค้าชุมชนหลายประเทศก็ได้ปรับเปลี่ยนให้มีมาตรฐานเช่นนี้แล้ว

ซึ่งในความคิดหลายคนอาจมองว่า อีหล่า มาร์เก็ตเป็นร้านที่ดูพิเศษหรือสวยงามเกินกว่าจะอยู่ในชนบท แต่สำหรับพีเจี้ยนเขามองว่า อีหล่า มาร์เก็ต คือต้นแบบของร้านขายของธรรมดาๆ ที่ควรมีในทุกชุมชน

“สมัยก่อนคนไม่มีสิทธิเลือกของ เพราะเวลาไปร้านโชห่วย เราต้องบอกเจ้าของร้านว่าจะซื้ออะไร อยากได้อะไร เจ้าของร้านจะเดินไปหยิบมาให้จากตู้ข้างหลัง ซึ่งจริตของคนซื้อของมันไม่เหมือนกัน บางคนไม่ได้อยากได้น้ำปลาขวดใหญ่ที่จะหมดอายุในอีก 3 เดือน เพราะเขาใช้ไม่ทัน แต่พอเป็นร้าน Modern Trade คนสามารถเดินเลือกได้ จะหยิบขวดล็อตใหม่ที่อยู่ได้อีก 1 ปีก็ได้ ถ้าเราไม่พอใจก็ไม่ต้องหยิบไปใส่ตะกร้า ไปจ่ายเงิน 

“เราสร้างเรื่องที่ควรจะเป็น คนควรเลือกบริโภคได้ เพราะต่างประเทศก็มีมาตรฐานการค้าขายแบบนี้ ร้านขายของตามชุมชนของหลายประเทศก็เป็นอย่างนี้แล้ว ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้หรูหรา แต่พื้นฐานคือต้องเดินเลือกได้”

จุดแข็งคือสินค้าที่ตอบโจทย์ชุมชน

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า การที่ร้านโชห่วยในชุมชนมีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากร้านโชห่วยแบบเดิม ร้านลักษณะนี้อาจเหมาะกับคนรุ่นใหม่ แต่สำหรับผู้สูงอายุที่อาจยึดติดกับร้านชำแบบเก่า อาจรู้สึกไม่คุ้นเคยจนไม่กล้าเข้าร้าน ทว่าความจริงแล้วผู้สูงอายุในชุมชนยังคงแวะเวียนเข้ามาซื้อของอีหล่า มาร์เก็ต เพราะที่นี่มีสินค้าที่ต้องการ

“ผู้สูงวัยยังเข้ามาซื้อร้านเราอยู่ เขาบอกว่าสินค้าที่นี่ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย ของจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งจริงๆ มันควรจะเป็นแบบนี้ และที่สำคัญเรามีสินค้าที่ตรงตามความต้องการของเขา” พีเจี้ยนเล่า

หัวใจของร้านจึงอยู่ที่การขายของคนที่คนในชุมชนต้องการจริงๆ เพราะหากลองขบคิดว่าอะไรที่ร้านแถวบ้านมีขาย แต่ร้านสะดวกซื้อไม่มี คำตอบคงมีหลากหลายอย่าง

“จุดแข็งของเราคือ เราอาจดูภูมิฐานขึ้น แต่ภายในใจเราเป็นคนที่อ่อนโยน หรือเป็นคนที่เข้าใจชุมชนอยู่ เรามีรสนิยมที่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งต่างจาก Modern Trade ชัดเจน เช่น ปลาร้ายี่ห้อท้องถิ่นที่คนในชุมชนชอบ ร้านสะดวกซื้อไม่เคยมีขาย หรือของใช้พื้นฐานอย่างถ่านทำกับข้าวที่ Modern Trade ไม่มี”

อีหล่าโมเดล แรงบันดาลใจให้ร้านชำในจังหวัดอื่น

ความสำเร็จของอีหล่า มาร์เก็ต นอกจากจะมีลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสายแล้ว แต่โชห่วยแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบให้กับร้านชำในอีกหลายจังหวัด และยังเป็นสถานที่ที่มีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาศึกษาดูงาน

“ตอนนี้หลายจังหวัดมีร้านที่เริ่มปรับตัว ในเพจอีหล่า มาร์เก็ตก็มีคนส่งข้อความมาเยอะมากว่า ขอบคุณมากที่ทำร้านแบบนี้ ตอนนี้เขาได้ทำร้านของตัวเองแล้วนะ และยังส่งรูปมาให้ดูด้วย

“สิ่งที่การันตีว่าเรามาถูกทางแล้วคือ มีคนมาศึกษาดูงาน ทั้งชาวบ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย เรากำลังสร้างแรงบันดาลใจให้คนโชห่วยมีความหวังอีกครั้ง และทำให้เด็กนักศึกษาเห็นแนวทางในการต่อยอดไอเดีย” เขากล่าวอย่างภูมิใจ

อนาคตของอุดรธานี

ร้านอีหล่า มาร์เก็ตที่เปิดให้บริการมา 7 ปี รวมเวลาคิดและทำร้านรวมเกือบ 10 ปี ที่พีเจี้ยนกลับมาใช้ชีวิตปักหลักอยู่ที่บ้านเกิด เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอุดรธานี ตลอดจนคนรุ่นใหม่มากมายที่กลับมาอยู่บ้าน

“ช่วงหลังเรามีเวลาออกไปข้างนอกมากขึ้น จึงได้เห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเราที่มีความคิดคล้ายๆ กัน อยากปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ในเมือง เขาก็มีความตื่นตัวและพลังมาก”

พีเจี้ยนเล่าว่า คนรุ่นใหม่มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาอุดรธานี เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และความสามารถ แต่สิ่งที่เขาอยากเห็นคือ การพัฒนาเมืองที่เริ่มต้นจากภายในสู่ภายนอก โดยเริ่มจากการสนับสนุนภาคส่วนเล็กๆ อย่างชุมชนก่อน และค่อยขยายสู่จุดที่ใหญ่ขึ้น

“ถ้าอุดรฯ เป็นคน ผมอยากให้อุดรฯ เป็นคนที่แข็งแรง และเข้าใจตัวเองมากขึ้น ตอนนี้อุดรฯ ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองมาก เห็นจังหวัดอื่นทำอะไรก็อยากทำบ้าง ทั้งที่อุดรฯ มีของดีมากมายที่สามารถพัฒนาตัวเองออกไปเป็น Inside Out ได้” พีเจี้ยนกล่าวทิ้งท้ายถึงสิ่งที่หวังในจังหวัดตัวเอง

ขอบคุณการสนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพจาก Canon Imaging Thailand

Tags: , , , , , , , , , , ,