ในอีก 20 ปีข้างหน้า เราอาจได้ยินคนรุ่นใหม่พูดอย่างเต็มปากว่า “ฉันโตมาได้เพราะแม่ใช้ ChatGPT เลี้ยง”

ทุกวันนี้บรรดาพ่อแม่เจน Y หันมาใช้ AI อย่าง ChatGPT เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการเลี้ยงลูกมากขึ้น ไม่ใช่ในความหมายของการปล่อยเด็กให้เล่นมือถือหรือดูการ์ตูน แต่เป็นการใช้เพื่อเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงใช้จัดระเบียบตารางชีวิตที่แสนยุ่งเหยิงของพ่อแม่ที่ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย เพื่อให้ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีกับลูกมากขึ้น กระทั่งสามารถเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นได้

ผลการศึกษาของสมาคมคอมพิวเตอร์เอซีเอ็ม (Association for Computing Machinery: ACM) รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2024 พบว่า พ่อแม่ 71% เคยใช้ ChatGPT และมีจำนวนมากกว่าครึ่งที่ใช้เพื่อเลี้ยงลูกโดยเฉพาะ รวมถึงใช้เพื่อขอกลยุทธ์ในการเลี้ยงดู และวางแผนกิจกรรมให้ลูก

หนึ่งในตัวอย่างคือ ลิเลียน ชมิดต์ (Lilian Schmidt) คุณแม่วัย 33 ปี จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่ต้องทำงานประจำพร้อมเลี้ยงลูก อีกทั้งสามีของเธอก็งานยุ่งไม่แพ้กัน การทำงานแบบเข้างาน 9 โมงเช้า และเลิกงาน 5 โมงเย็น ทำให้ตกอยู่ในภาวะหมดไฟ เธอจึงใช้ ChatGPT เป็นโค้ชส่วนตัวในการเลี้ยงลูก เช่น ช่วยวางแผนเมนูอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือให้คำแนะนำยามเธอกับสามีตกอยู่ในสภาวะเครียด เหนื่อยล้าจากการทำงาน

แต่ถึงกระนั้นครอบครัวชมิดต์ไม่ได้พอใจทุกคำตอบของ ChatGPT และเริ่มคิดว่า หาก AI ตัวนี้มีความคิดเหมือนกับเธอก็คงดี จึงได้สร้างบอทขึ้นมาเพื่อให้ป้อนคำสั่งหรือพรอมต์ (Prompt) เพื่อให้คำตอบที่ได้ตรงตามแนวคิดของเรามากที่สุด

“ฉันทำให้ ChatGPT เป็นเหมือนโค้ชที่มากประสบการณ์ของเด็กวัยเตาะแตะ ถ้าฉันจะขอให้มันวางแผนมื้ออาหาร ฉันจะพรอมต์ให้มันเป็นนักโภชนาการสำหรับมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะกับเด็ก” ชมิดต์กล่าว

ครอบครัวชมิดต์คือตัวอย่างของพ่อแม่เจน Y ที่ใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยแนะนำสิ่งต่างๆ เพราะชีวิตประจำวันแทบไม่มีเวลาคิดหรือสร้างสรรค์อะไรให้ลูก แต่สำหรับพ่อแม่อีกหลายครอบครัวก็อาจใช้เพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถของตัวเอง เช่น ถาม ChatGPT ว่าควรซักเสื้อกันหนาวของเด็กเล็กบ่อยแค่ไหน ให้ช่วยแนะนำสูตรขนม หรือถามว่าไดโนเสาร์แต่ละตัวมีความต่างกันอย่างไร

ซึ่งเหตุผลที่พ่อแม่เลือกหาคำตอบจาก ChatGPT เพราะข้อดีคือเข้าถึงง่าย ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวลาที่ต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน อย่างเช่นขอวิธีสื่อสารกับลูกเมื่อลูกงอแงไม่ยอมไปโรงเรียน และหากใครเคยใช้จะทราบว่า AI ตัวนี้ไม่เคยตัดสินเรา แม้ว่าคำถามของเราจะดูฉลาดน้อยแค่ไหนก็ตาม ChatGPT จึงได้ใจพ่อแม่ยุคใหม่ไปเต็มๆ 

นอกจากนี้ยังมีการใช้แชตบอตหรือ AI เป็นที่พึ่งพาทางใจ อย่าง โยกิ มัตสึโอกะ (Yoky Matsuoka) ซีอีโอพานาโซนิก เวลล์ (Panasonic Well) โครงการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบริษัทพานาโซนิก ที่พัฒนาเทคโนโลยี AI กล่าวว่า “เมื่อฉันต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากในฐานะพ่อแม่และลูกสาวคนหนึ่ง มันช่วยแนะนำไอเดียที่เป็นรูปธรรมให้ฉัน เพื่อช่วยให้สุขภาพดีเมื่อฉันเกิดความเครียด เช่น แนะนำให้ออกกำลังกายหรือทำสมาธิ แม้ฉันจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยมันก็เป็นประโยชน์”

อย่างไรก็ตาม นิโคลัส ซี. จาคอบสัน (Nicholas C. Jacobson) รองศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลชีวการแพทย์ จิตเวชศาสตร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ จาก Dartmouth College สหรัฐฯ เตือนว่า “AI ไม่รู้จักลูกของคุณ ครอบครัวของคุณ หรือไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น มันไม่สามารถเลียนแบบการตัดสินใจทางการแพทย์ของหมอได้ หรือความรู้เชิงลึกที่พ่อแม่มีได้” 

นอกจากนี้การใช้ ChatGPT บ่อยเกินไปจะทำให้พ่อแม่เสียความเชื่อมั่นในตัวเอง และยังมีข้อควรระวังในการใช้ ChatGPT คือการเปิดเผยข้อมูลสำคัญของคนในครอบครัวที่มากเกินไป

สุดท้ายแม้การใช้ ChatGPT เลี้ยงลูกจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันและพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนเลือกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลลูกในครอบครัว

ที่มา:

https://nypost.com/2025/07/30/lifestyle/i-co-parent-with-chatgpt-i-love-turning-off-my-brain-and-letting-ai-help-raise-my-child/ 

https://www.parents.com/parents-using-ai-11750945 

Tags: , , , ,