เคยถึงจุดสุดยอดมากสุดกี่ครั้งคะ?
ฉันเคยถึงจุดสุดยอดมากสุด 43 ครั้ง ใช่ค่ะ 43 ครั้งในการมีเซ็กซ์หนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ยอดเซ็กซ์สุดแพรวพราวที่ประสบความสำเร็จอย่างที่คุณกำลังจินตนาการ เพราะฉันเฟคทั้งหมด
ใช่ค่ะ เฟคมันทั้งหมด 43 ครั้งนั่นแหละ
แล้วรู้ได้ยังไงล่ะว่าตัวเองถึงจุดสุดยอดมากถึง 43 รอบ ใช่ (อีกครั้ง) เพราะเขาเป็นคนนับให้ฉันด้วยความปลื้มใจ! คำถามก็คือ นี่คือการเอากันประเภทไหน ที่ผู้ชายตั้งต้นนับจำนวนว่าทำผู้หญิงเสร็จไปกี่ครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ และผู้หญิงต้องนั่งบังคับอวัยวะกึ่งกลางร่างกายตัวเองให้ตุบตอดระรัวเร็วรวมทั้งสิ้น 43 ครั้งเพื่อให้ผู้ชายภาคภูมิใจ?
ฉันเอาอะไรมาคิดว่าเขาภูมิใจ? เพราะเขาแสดงอาการภูมิใจในครั้งที่ฉัน ‘แสดง’ และห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัดในครั้งที่ฉัน ‘ไม่แสดง’ พูดตามตรงว่าฉันก็ไม่ได้แสดงตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามีอะไรกันหรอก ก็คนมันไม่เสร็จน่ะ จะให้บอกว่าตัวเองเสร็จไปทำไม
แต่ท่าทีที่เขาดูไม่มีความสุขเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป หรือการถามฉันซ้ำๆ ว่า “เป็นไง เสร็จหรือยัง” และเมื่อฉันส่ายหัวตอบว่ายัง เขาก็ถามซ้ำว่าที่เขาทำอยู่นั้น “ไม่ดีเหรอ?” ทำให้ฉันรู้สึกกดดัน รู้สึกผิดปกติ รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจบรรลุอะไรบางอย่างในกิจกรรมระหว่างกัน ซ้ำร้ายเมื่อเขาเล่าว่าผู้หญิงคนก่อนๆ ชื่นชมบูชาเขาเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ฉันคิดว่า เอ๊ะ หรือที่ฉันถึงจุดสุดยอดช้า เป็นความผิดปกติของฉันเอง?
ด้วยความที่ยังใหม่ต่อกิจกรรมทำนองนั้นเหลือเกิน และเมื่อเขาเร่งเร้าบ่อยเข้าๆ ฉันจึงต้องเสแสร้งให้เขาสมใจปรารถนา และทันทีที่ฉันประกาศออกมาว่า “เสร็จแล้ว” ก็ไม่ต่างอะไรจากพรศักดิ์สิทธิ์ที่เป่าเสกเร่งเร้าให้เขาเป็นสุข อิ่มเอม ภูมิใจ และฉันสัมผัสได้ทันที่ว่า เซ็กซ์ระหว่างเราได้ก้าวเข้าสู่อีกเขตแดนหนึ่งที่ฉันคนก่อนหน้าที่ยังไม่ (แกล้ง) ถึงจุดสุดยอดจะเข้าใจได้เลย
ทันทีที่ฉันประกาศออกมาว่า “เสร็จแล้ว” ก็ไม่ต่างอะไรจากพรศักดิ์สิทธิ์ที่เป่าเสกเร่งเร้าให้เขาเป็นสุข อิ่มเอม ภูมิใจ
การร่วมเพศสำหรับผู้ชายบางคนจึงไม่ใช่การร่วมเพศเพื่อความสุขสมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการร่วมเพศที่วัดปริมาณความภูมิอกภูมิใจว่า ทำให้ผู้หญิงเสร็จสมอารมณ์หมายไปได้มากสุดกี่ครั้ง ฟังๆ ดูก็เหมือนจะดีใช่ไหมที่เขาแคร์อะไรกับการถึงจุดสุดยอดของฉันขนาดนี้ แต่อีกทางหนึ่ง เขาก็แค่อยากจะฟังเสียงร้องครวญคราง และพยักหน้ารับเป็นจำนวนครั้งขณะเอากันมากกว่าจะอยากพูดคุยถามไถ่ฉันจริงๆ (ไม่ว่าจะตอนเอากันหรือไม่ก็ตาม)
มันจึงเป็นความล้มเหลวของการพูดเรื่องเซ็กซ์กันอย่างเปิดเผย ผู้หญิงไม่กล้าปริปากบอก ว่าฉันต้องการอะไร ชอบอะไร ชอบให้ทำท่าไหน แช่ท่านี้นานๆ หน่อยนะ มันช่วยฉันได้ เพราะผู้หญิงที่เอ่ยปากบอกความต้องการของตัวเองจะเป็นผู้หญิงแรด ผู้หญิงร่าน ผู้หญิงมักมากในกาม และตามค่านิยมที่สังคมกำหนดการเอากับผู้หญิงที่เชี่ยวชาญเรื่องเซ็กซ์และความต้องการของตัวเองไม่น่าภูมิใจเท่ากับมีอะไรกับผู้หญิงไร้เดียงสาต่อเรื่องนี้
อีกความหมายหนึ่งคือ ผู้หญิงที่กล้าพูดเรื่องนี้อาจถูกตีความว่าไม่ได้ผ่านผู้ชายมาแค่คนเดียว หรืออย่างน้อยต้องผ่านการช่วยตัวเองมาแล้วอยากโชกโชน ซึ่งผู้ชายบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ช่วยตัวเองแล้วต้องสอดอะไรใส่เข้าไปในช่องนั้นของพวกเธอ (หรือต่อให้เอาใส่เข้าไป มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรอยู่ดี) จินตนาการว่าอวัยวะกึ่งกลางร่างของพวกเราจะเสียหายจากการช่วยตัวเองจึงเป็นความล้มเหลวของการไม่พูดถึงเรื่องเพศอย่างเปิดเผยอีกเช่นกัน
ผลของการที่เราเรียนรู้เรื่องนี้น้อยเกินไป ผู้ชายเองก็ไม่รู้จักธรรมชาติของผู้หญิงมากพอว่า เฮ้ย พวกเราไม่ได้เสร็จง่ายขนาดนั้น ช่วยตัวเองยังต้องใช้เวลานานฉิบหายเลย ต้องควานหาจุดที่ใช่ เขี่ยในจังหวะที่ชอบด้วยปริมาณและความถี่ที่พอดี หรือบางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจุดที่สร้างความสุขสันต์ให้พวกเราไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเอา ‘อะไร’ สอดเข้าไป แต่เป็นจุดที่อยู่ข้างนอก ‘ช่องนั้น’ ซึ่งเรียกว่าคลิตอริสต่างหาก
เพราะฉะนั้น การให้แท่งเนื้อของใครสักคนใส่เข้าไป จึงไม่ได้ทำให้เราเสร็จได้โดยง่าย และการเร่งรัดถามเอาความจากเราว่า “เสร็จหรือยัง” ซ้ำๆ ระหว่างการเอากัน มีแต่ทำให้เราหมดอารมณ์และรู้สึกผิดต่อตัวเองเข้าไปใหญ่
การถึงจุดสุดยอดไม่ใช่สิ่งที่ถูกพูดถึงมากนักในห้องเรียนเพศศึกษาตอนมัธยม (ในโรงเรียนมัธยมของฉัน) เอ๊ะ หรือจริงๆ แล้วเรื่องนี้อาจต้องพูดกันตั้งแต่สมัยประถมแล้วหรือเปล่า เพราะครั้งแรกที่ฉันได้ยินเพื่อนผู้ชายพูดถึงกิจกรรมที่ทำให้ถึงจุดสุดยอดอย่างการชักว่-ว ก็เป็นตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้น ป.4 เท่านั้น การศึกษาภาคบังคับที่บังคับว่าเราควรเรียนรู้อะไร ไม่เรียนรู้อะไรจึงมาช้ากว่าสัญชาตญาณและการเรียนรู้ของเพื่อนๆ ผู้ชายสุดก๋ากั่นของฉันในขณะนั้นอยู่นั่นเอง
มันจึงไม่สำคัญว่า สังคมอันดีงามจะบอกว่าเราควรหรือไม่ควรเรียนรู้อะไร เพราะสุดท้าย เราก็จะหาหนทางเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่ามันสมควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้เด็กๆ ต้องไปเรียนรู้กันเอง ลองผิดลองถูกกันเอง แทนที่จะได้คำแนะนำ หรือมีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้พูดคุย ถกเถียงกันในสายตาที่ผู้ใหญ่จะให้คำปรึกษา (ไม่ใช่ตัดสิน) ได้
อ่ะ อ่ะ แต่อย่าคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันจะช้ากว่าเพื่อนผู้ชายมากนัก เพราะฉันเรียนรู้การถึงจุดสุดยอดด้วยตัวเองในตอนประถมศึกษาปีที่ 4 เช่นกัน มันคือการลองผิดลองถูกกึ่งรู้สึกแปลกประหลาด เพราะวิชาเดียวที่พอจะพูดเรื่องการช่วยเหลือตัวเองคือพระอาจารย์ในวิชาพุทธศาสนาด้วยการเทศนาสั่งสอนว่าการหมกมุ่นเรื่องเพศ การดูหนังโป๊ และการช่วยเหลือตัวเองเป็นบาป!
วิชาเดียวที่พอจะพูดเรื่องการช่วยเหลือตัวเองคือพระอาจารย์ในวิชาพุทธศาสนาด้วยการเทศนาสั่งสอนว่าการหมกมุ่นเรื่องเพศ การดูหนังโป๊ และการช่วยเหลือตัวเองเป็นบาป!
ตอนนั้นฉันยังไม่โตและไม่รู้จักคิดวิเคราะห์มากพอจะตั้งคำถามเกี่ยวกับพระสงฆ์ ศีลธรรม หรือศาสนาว่ามากำหนดกรอบให้เรื่องเพศได้อย่างไร แต่ฉันกลัวหัวหดกับคำสอน (ที่ภายหลังรู้สึกว่าเป็นคำขู่มากกว่านั้น) จนการเรียนรู้เรื่องจุดสุดยอดและการช่วยเหลือตัวเองจึงเต็มไปด้วยความสุขสมระคนกับความอิหลักอิเหลื่อ ปนเปกับความผิดบาป กลัวจะตกนรกขุมที่ 3 (ขุมที่เกี่ยวกับเรื่องกามาตามที่พระอาจารย์บอก) จนฉันคิดว่า ฉันจะไม่ได้ผุดได้เกิดบนสวรรค์แห่งความสุขเรื่องเพศเสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงที่ลึกลับดำมืดจนฉันอยากจะควานเข้าไปในหลืบร่องช่องนั้นของตัวเองแล้วตรวจพิสูจน์โดยละเอียดก่อนจะประกาศความออกเป็นความรู้ให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในทางกลับกันเมื่อฉันเกิดสงสัยว่าไอ้อาการคันๆ (สำหรับฉันมันคันอย่างที่เขาพูดกันจริงๆ โว้ย) ที่อวัยวะส่วนนั้นในวัยประถมเมื่อถูกสัมผัสมันคืออะไรกันแน่ ความรู้สึกตามปกติ? ความรู้สึกไม่ปกติ? หรือมันคือจุดสุดยอดในตำนานจริงๆ?
ตอนที่ฉันลอบดูหนังโป๊เรื่องแรกๆ ได้ ก็ตื่นตาตื่นใจกับกับน้ำสีขาวขุ่นที่พวยพุ่งออกมาจากแท่งเนื้อของผู้ชายพอสมควร แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า นี่คือการถึงจุดสุดยอดของมนุษย์ที่มีแท่งเนื้อยื่นออกมา
คุณูปการที่หนังโป๊พอจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิง คือการที่มีน้ำใสๆ พุ่งออกมาจากช่องนั้น ซึ่งสำหรับฉัน มันก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเลย (และยังอดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า) ผู้ชายบางคนก็พลอยเข้าใจผิดไปด้วย ถึงกับถามฉันซ้ำ ๆ ว่านี่เสร็จแล้วจริงเหรอ? ทำไมไม่มีน้ำพุ่งออกมา? เราทำไม่ดีพอหรือเปล่าน้ำถึงไม่พุ่งออกมา?
การณ์กลายเป็นว่าน้ำใส ๆ ที่พุ่งออกมาจากหลืบร่องช่องคลอดนั้นเป็นสัญญานขั้นกว่าแห่งความภาคภูมิใจ ไม่ต่างจากการทำให้ผู้หญิงเสร็จได้คือได้เกรด A ในขณะที่ถ้าทำให้เสร็จแล้วน้ำพุ่งได้คือได้ A+++ เดชะบุญที่ฉันแสร้งบังคับให้น้ำพุ่งออกจากอวัยวะส่วนนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นน้ำในตัวฉันอาจจะหมดร่างไปแล้วก็เป็นได้
แม้ผู้ชายจะอยากเห็นจุดสุดยอดของผู้หญิงแทบเป็นแทบตาย หรือผู้หญิงเองก็อยากเห็นผู้ชายถึงจุดสุดยอดเจียนขาดใจ แต่ถ้าคนทั้งคู่เอากันแล้วไม่ถึงเป้าหมาย จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมาช่วยตัวเองให้ดู ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เราก็อดเสียความมั่นใจไม่ได้จริงๆ
เราเองก็ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมต้องเสียความมั่นใจ? การทำให้ใครไม่ถึงจุดสุดยอดสำหรับฉันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อาจผิดหวังเล็กน้อย (ถึงแทบไม่รู้สึกเลย) แต่ฉันไม่แน่ใจว่า ในแง่ความภาคภูมิใจ เราต้องสูญเสียความมั่นใจขนาดนั้นไปทำไม? ผู้ชายก็ยังใช้นิ้วให้ผู้หญิงได้ ผู้หญิงอาจใช้ปากให้ผู้ชายได้ แต่คล้ายกับว่า การไม่ได้ใช้อวัยวะเพศทำให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดจะเป็นความล้มเหลวในความเป็นชาย (หรือความเป็นหญิง) เสียเหลือเกิน
โชคดีที่ตอนนี้ฉันเรียนรู้ความต้องการของตัวเองจนไม่ต้องแกล้งเสร็จอีกต่อไปแล้ว และฉันมีความสุขกับการได้แลกเปลี่ยนความต้องการระหว่างกันกับคนที่ฉันนอนด้วยอย่างเปิดเผย รวมถึงสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนบอกความต้องการของตัวเอง พอๆ กับที่ยืนยันว่า การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเรามีความสุข (เพียงอย่างเดียว) อาจมีบางท่าทาง บางลีลา บางบทสนทนา บางความสัมพันธ์ เพราะถ้าฉันอยากเสร็จ ฉันอาจใช้นิ้ว ใช้ลิ้น ใช้เซ็กซ์ทอยอื่นๆ ทดแทนได้ แต่ถ้าฉันชอบนิสัยใจคอ ความเข้าใจกันและกัน หรือความเป็นคุณ มันจะไม่มีอย่างอื่นมาทดแทนได้เลย
ถ้าฉันอยากเสร็จ ฉันอาจใช้นิ้ว ใช้ลิ้น ใช้เซ็กซ์ทอยอื่นๆ ทดแทนได้ แต่ถ้าฉันชอบนิสัยใจคอ ความเข้าใจกันและกัน หรือความเป็นคุณ มันจะไม่มีอย่างอื่นมาทดแทนได้เลย
ในบริบทอุดมการณ์ที่เรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม การสอนเพศศึกษาเป็นเพียงการเอาภาพโรคติดต่อทางเพศมาขู่ให้กลัว และมนุษย์ไม่กล้าพูดเรื่องความต้องการของตัวเองกับคู่นอนอย่างเปิดเผย จุดสุดยอดสิริรวม 43 ครั้งแบบปลอม ๆ ของฉันในวัยกระเตาะจึงไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ไม่ว่าฉันหรือเขา แต่เป็นระบบคิด ค่านิยมเรื่องเพศ และการศึกษาอันคับแคบที่ไม่เปิดโอกาสให้เรามีเสียงพูดคุยเรื่องนี้มากกว่าเสียงครางในห้องนอนตลอดชั่วการเอากันครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
และการถึงจุดสุดยอดมันก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายได้เสร็จไปได้กี่ครั้ง มันไม่ใช่เกมแข่งขันเอาชนะว่าใครเก่งกว่าใคร หรือต้องมานั่งนับแต้มให้ทะลุ 43 ครั้ง แต่มันเป็นการสื่อสารกันจนเข้าใจว่า ทั้งตัวเองและอีกฝ่ายชอบอะไรแบบไหน หรือแม้แต่การสบายใจที่จะไม่ถึงจุดสุดยอด สำหรับฉันมันก็คือจุดสุดยอดแห่งการสื่อสารในความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง
Tags: ความสัมพันธ์, orgasm, เพศสัมพันธ์, จุดสุดยอด, sex