เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่คนไทยให้ความสนใจคงต้องเป็นข่าวของ นานา-ไรบีนา ตันวิมล กับเวย์-ปริญญา อินทชัย หรือ เวย์ ไทเทเนียม สามีภรรยาซึ่งถูกแจ้งข้อหาฉ้อโกงจากการกู้ยืมเงิน หลังจากที่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นสังคม ปัญหาที่คนหยิบยกมาวิจารณ์ในวงกว้างเห็นจะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ของครอบครัวอินทชัยที่ดูหรูหรา และแน่นอนว่าต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ผู้คนเห็นในมุมนี้

ดิจิทัลฟุตพรินต์ หรือร่องรอยดิจิทัลของนานา ในรายการ The Time Machine EP.11 ออกอากาศทางช่องยูทูบของ คารีสา สปริงเก็ตต์ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 โดยรายการได้เชิญนานากับ ฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์ มาพูดคุยถึงสามีของตนเองทั้งเวย์ และฮิวโก้ หรือ เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์ ซึ่งคลิปของรายการได้กลับมาเป็นไวรัลอีกครั้ง เสมือนเป็นหลักฐานพยานยืนยันการใช้เงินของนานาที่ทุ่มให้กับสามีอย่างเต็มที่ 

ในคลิปมีการเปรียบเทียบระหว่างฮิวโก้ กับเวย์ ที่แม้ทั้งคู่จะเป็นศิลปิน แต่มีสไตล์แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งนานากล่าวว่า แนวดนตรีส่งผลต่อไลฟ์สไตล์กับการแต่งกาย 

โดย ฮิวโก้เป็นนักดนตรีที่ผสมผสานระหว่างแนวร็อคแอนด์โรล (Rock’ n roll), บลูส์ (Blues) และคันทรี่ (Country) ทุกคนจะเห็นฮิวโก้คู่กับกีตาร์ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าอยู่เสมอ แม้ไม่อาจทราบได้ว่าแต่ละชิ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ แต่ภายนอกดูเป็นลุคที่ดูไทม์เลส และนานายังบอกอีกว่า สำหรับเสื้อผ้าของฮิวโก้ยิ่งคลาสสิคยิ่งดี แต่สำหรับเวย์ ไทเทเนียม ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์ในวงฮิปฮอปนั้นต่างออกไป เพราะต้องมีความสดใหม่ หรืออัปเดตเทรนด์เสื้อผ้าหน้าผมและเครื่องประดับตลอดเวลา

ฮิปฮอปเป็นแฟชั่นกระแสหลัก แต่คำถามคือทำไมต้องเป็นของแพงเท่านั้น

นานากับเวย์อาจพูดไม่ผิดนัก เพราะวัฒนธรรมฮิปฮอปกับแฟชั่นเป็นของคู่กันมานานหลายทศวรรษ สรุปโดยสั้นๆ เป็นเพราะเหตุผลที่หลายคนทราบกันดีว่าฮิปฮอปคือแนวเพลงของคนผิวดำ จากกลุ่มคนชายขอบในสังคมที่ก้าวข้ามความเปราะบางของชีวิต ถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุด สามารถครอบครองทุกสิ่งที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง เพชร บ้านหรู รถซูเปอร์คาร์ หรือผู้หญิง ซึ่งสะท้อนออกมาจากผ่านเนื้อเพลง หรือภาพไลฟ์สไตล์ของแร็ปเปอร์ที่ปรากฏบนสื่อ

จนฮิปฮอปก็กลายเป็นแฟชั่นกระแสหลัก และศิลปินฮิปฮอปมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของแฟชั่นไปในที่สุด เพราะบรรดาแร็ปเปอร์ต่างตบเท้าเข้ามาในอุตสาหกรรมแฟชั่น ทั้งการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเอง เป็นตัวแทนหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์เนมไฮเอนด์ (Hi-End) ไม่ว่าจะเป็น ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ (Pharrell Williams) ที่เคยเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Louis Vuitton และก่อตั้งแบรนด์ ‘Billionaire Boys Club (BBC)’ สตรีตแวร์แต่ลักชัวรีเป็นของตัวเอง

รวมถึง แร็ปเปอร์เจเนอเรชันใหม่ขวัญใจ Gen Z อย่าง ไทเลอร์ เดอะครีเอเตอร์ (Tyler, the Creator) ผู้มีแบรนด์ ‘le FLEUR*’ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าไฮเอนด์ แม้ว่าจะได้ปิดตัวลงไปในปีนี้ เหลือเพียงแบรนด์ ‘Golf Wang’ ที่เป็นเสื้อผ้าสายสตรีต ไปจนถึง เคนดริก ลามาร์ (Kendick Lamar) ที่แม้ปรากฏตัวไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาบนหน้าสื่อก็อยู่ในชุดแบรนด์เนมทั้งหมด

ข้ามมาที่ฝั่งเอเชียก็มีแร็ปเปอร์ที่โด่งดังระดับโลกอย่าง เจย์ พัค (Jay Park) หรือที่คนไทยถนัดเรียกกันว่า เจย์ปาร์ค เขาได้ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก (Global Brand Ambassador: GBA) ของแบรนด์ Gucci และยังไม่นับรวมศิลปินที่ใส่ Quiet Luxury เสื้อผ้าเรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ทว่าแท้จริงแล้วราคาสูงเกินจินตนาการ

ในโลกความจริง ไม่ใช่ศิลปินทุกคนจะประสบความสำเร็จ หรือมีชื่อเสียงจนได้เป็นตัวแทนของแบรนด์ไฮเอนด์ หลายคนไม่มีรายได้มากพอที่จะกว้านซื้อสินค้าหรูหราได้ทุกซีซัน หรือประโคมใส่ของแพงตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ภาพจำของเพลงแร็ป หรือวัฒนธรรมฮิปฮอปจะผูกโยงกับความร่ำรวยซ้ำๆ มานานหลาย 10 ปี แต่เงินในบัญชีของศิลปิน จำนวนไม่น้อยอาจสวนทางกับภาพที่สังคมหรือแฟนเพลงอยากเห็น

ทว่า ความมั่นคงของศิลปินไม่ได้วัดที่เงินทอง หรือรถหรูเพียงอย่างเดียว หากแต่ตั้งอยู่บนฐานแฟนเพลงที่มั่นคง และรายได้ที่ยั่งยืนมาจากการสนับสนุนที่ต่อเนื่องของแฟนเพลงด้วย

ฮิปฮอปไม่ได้ติดหรูเสมอไป

แม้ฮิปฮอปจะสะท้อนภาพความฟุ่มเฟือย ใช้เงินซื้อความสุข โชว์ไลฟ์สไตล์หรูหรา ทว่าเงินนั้นคือเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง อย่างไรก็ตามฮิปฮอปหรือเพลงแร็ปไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องเงินหรือความสำเร็จเสมอไป เพราะในปัจจุบัน ศิลปินรุ่นใหม่เขียนเนื้อเพลงเล่าถึงการค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวบนเส้นทางที่ไม่มั่นคงนักของตนเอง สื่อว่ายังไม่ได้มีร่ำรวยหรือมีทุกอย่างเท่าที่คาดหวังไว้ เช่น ริช ไบรอัน (Rich Brian) แร็ปเปอร์สัญชาติอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ยังมีศิลปินฮิปฮอปหน้าใหม่มาพร้อมการแต่งกายที่เรียบง่าย ไม่ได้ตะโกนความรวยออกมาจากเสื้อผ้า (แม้ความจริงอาจจะเป็นของแพง) ยกตัวอย่างเช่น ‘SKAI ISYOURGOD’ แร็ปเปอร์ชาวจีนวัย 27 ปี ที่โด่งดังและเป็นไวรัลใน Tiktok ด้วยเพลง ‘Blueprint Supreme’ (2024) และเพลง ‘Stacks from All Sides’ (2024) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม ‘เพลงปลุกใจจีนเทา’ แม้เนื้อเพลงจะยังอวดรวย แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแร็ปเปอร์หนุ่มจีนคนนี้เรียบง่ายเหมือนคนจีนแถวห้วยขวาง ที่ไม่จำเป็นต้องอวดรวยผ่านแฟชั่น ไม่ต้องหาสัญลักษณ์แบรนด์เนมต่างๆ มาแปะประดับร่าง ซึ่งสิ่งนี้อาจเปลี่ยนค่านิยมในสังคมและวงการฮิปฮอป 

SKAI ISYOURGOD ยังเป็นกรณีตัวอย่างของแร็ปเปอร์ที่โด่งดังเพราะผลงานมากกว่าสไตล์ เพลงของเขาดังก่อนคนจะรู้จักว่าศิลปินคือใคร และในวันนี้หลายคนที่ร้องเพลงของเขาได้ อาจยังไม่รู้จักหน้าตาตัวตนของเขาก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม จากกรณีของนานากับเวย์ อาจทำให้ศิลปินแนวฮิปฮอปที่ยังติดหรู แต่ตัวเลขในบัญชีติดลบ และติดหล่มความฟุ้งเฟ้อ ต้องหันกลับมาพิจารณาตนเอง ย้อนมองกลับไปยังรากฐานของการเป็นศิลปิน ซึ่งนั่นคือผลงานเพลง ที่จำเป็นต้องทำเพลงให้ดีและน่าสนใจก่อน เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้แฟนเพลงยังคงอยู่ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือสไตล์การแต่งตัว แต่เป็นทัศนคติของแร็ปเปอร์ที่สื่อสารออกมาผ่านเนื้อแร็ป และทักษะความสามารถในการแสดงบนเวที

อ้างอิง:

https://www.youtube.com/watch?v=11_CTZAczoM 

https://stuyspec.com/article/the-evolution-of-hip-hop-fashion 

https://hespokestyle.com/hip-hop-fashion/?srsltid=AfmBOoqNHoQz4ThmrAH_DWEN6UWxMC9bbdK1UxbhOjeZEXbvr8R-ZiPz 

https://robbreport.com/lifestyle/news/how-hip-hop-won-over-the-luxury-industry-1234752018/ 

https://www.vogue.com/slideshow/kendrick-lamar-fashion 

https://www.gq.com/gallery/kendrick-lamar-style-best-dressed 

Tags: , ,