มาสคอตเพนกวินสีฟ้า ‘Don Pen’ ฮัปปิสีเหลือง ตอกถังสาเก คัมไป!

ทันทีที่การจิบสาเกในพิธีกรรมอันเป็นธรรมเนียมการเฉลิมฉลองของญี่ปุ่นจบลง ก็เป็นสัญญาณที่บอกว่า ดอง ดอง ดองกิ (Don Don Donki) สาขาแรกในประเทศไทย เปิดตัวอย่างสมบูรณ์แล้วที่ดองกิ มอลล์ ทองหล่อ ศูนย์การค้าที่รวมเอาสินค้าจากญี่ปุ่นส่งตรงมาถึงสู่เมืองไทย ให้เราจับจ่ายกันได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วบินไปถึงญี่ปุ่นอีกแล้ว

สำหรับคนที่คุ้นเคยกับญี่ปุ่นเป็นอย่างดี คงไม่ต้องมีคำอธิบายต่อว่าร้านดองกิที่ญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากแค่ไหน และอยู่ในใจจนเป็นร้านที่จะพลาดแวะไม่ได้เพราะอะไร แต่เราก็อยากจะขยายภาพให้เห็นอีกสักหน่อย สำหรับคนที่อาจจะยังไม่รู้จักดองกิดีพอ

ดอง กิโฮเต้ ร้านถูกและดีที่เปรียบดั่งแดนมหัศจรรย์

ดอง กิโฮเต้ ก่อตั้งขึ้นโดยทาคาโอะ ยาสุดะ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1980 ตอนนั้นเขาเปิดเป็นร้านค้าปลีกเล็กๆ ในย่านซูงินามิ ในโตเกียว โดยใช้ชื่อร้านว่า ‘Just Co’ แค่เพียงสองปี ร้านของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนนโยบายเป็นร้านค้าส่งในปี 1982

การเปลี่ยนเปลงเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 1989  เมื่อเขาเริ่มเปิดสาขาแรกในฟุชู ซึ่งอยู่โตเกียวเช่นกัน และเปลี่ยนชื่อธุรกิจเป็น Don Quijote พร้อมกับกลับลำจากร้านค้าส่งมาเป็นร้านค้าปลีกเช่นเดิม

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการอยู่อย่างถูกที่ถูกทางของดอง กิโฮเต้ เพราะไม่กี่ปีให้หลัง บริษัท Don Quijote จำกัด ก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมิถุนายน 1998 และเป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากเศรษฐกิจฟองสบู่ของญี่ปุ่น เพราะสินค้าราคาประหยัดของเขา ช่วยให้คนญี่ปุ่นสามารถใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ จึงช่วยดันยอดขายให้กับร้านค้าขึ้นไปอีก

หากมองลึกไปถึงความสำเร็จของดอง กิโฮเต้ หรือที่ผู้คนนิยมเรียกกันติดปากว่า ‘ดองกิ’ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากความหลากหลายของสินค้าที่มีให้จับจ่าย รวมถึงการเป็นร้านค้าปลอดภาษีที่สินค้าราคาไม่แพง จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวรวมถึงคนญี่ปุ่นเองด้วย การที่หลายสาขาในญี่ปุ่นโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวนั้นเปิดทั้งวันทั้งคืน เกิดจากยาสุดะมักใช้เวลาช่วงกลางคืนจัดร้านของตัวเองอยู่บ่อยๆ ในช่วงต้นที่พนักงานยังมีไม่เพียงพอ และมีลูกค้าเข้ามาซื้อของยามดึกอยู่เสมอ เขาจึงขยายเวลาปิดร้านออกไปเป็นตีสามจนถึงตีห้า ไปจนถึงเปิดตลอด 24 ชั่วโมงแล้วแต่สาขาเพราะมองเห็นทางทำกำไร ขณะที่ร้านค้าส่วนใหญ่มักจะปิดกันเวลา 2-3 ทุ่มเท่านั้น

ด้วยนิยามถูกและดี หรือภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ที่สุดของความสะดวกสบายและดิสเคานต์สโตร์’ อย่างที่ยาสุดะกล่าว สินค้าของร้านนี้มีตั้งแต่ สินค้าตามฤดูกาล อาหาร ขนม เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เครื่องสำอาง ของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องครัว อุปกรณ์กีฬา กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องเขียน เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่นเด็ก ไปกระทั่งของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ การจัดวางสินค้าที่แน่นทุกตารางเป็นกุศโลบายหนึ่งที่จะทำให้สินค้าที่เราไม่ได้ต้องการเตะตาระหว่างที่เรากำลังควานหาสินค้าเป้าหมายอยู่ และแน่นอนว่าหลายครั้งสินค้านอกสายตาก็ฉกเงินไปจากกระเป๋าเราไปเกินกว่าจะตั้งตัว

ความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ยอดขายในปีงบประมาณ 2017 สูงถึง 828,800 ล้านเยน และมีสาขามากกว่า 360 สาขาในญี่ปุ่น และเปิดสาขาสหรัฐอเมริกา ฮาวาย สิงคโปร์ และประเทศไทยเป็นสาขาล่าสุด ทั้งยังตั้งเป้าว่าจะขยายสาขาในญี่ปุ่นให้ได้ 500 สาขา ภายในปี 2020

ดอง ดอง ดองกิ ในดองกิ มอลล์ สวรรค์ของคนรักสินค้าญี่ปุ่น

22 กุมภาพันธ์ คือดีเดย์ที่ดอง กิโฮเต้เปิดให้บริการในไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นประเทศที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากเคยเปิดที่สิงคโปร์ไปแล้วเมื่อปี 2017 โดยดอง กิโฮเต้สาขานี้ จะชื่อร้านว่า ‘ดอง ดอง ดองกิ’ (Don Don Donki) ตั้งอยู่ภายในดองกิ มอลล์ ทองหล่อ ซอย 10 (หรือเอกมัย ซอย 5) ของบริษัท เจซีซี-ทีโอเอ จำกัด ภายใต้คอนเซ็ปค์ ‘Food. Fun, Culture & Amusement Mall’ ที่แตกต่างไปจากดองกิในญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนภาพไลฟ์สไตล์ของคนกรุงที่นิยมการช็อปปิ้งและใช้เวลาในพื้นที่อเนกประสงค์มากกว่าตรงเข้าช็อปปิ้งอย่างเดียว

ทำนองเพลง ‘Miracle Shopping’ ที่ติดหูและฝังหัวในทำนองญี่ปุ่น ซึ่งแต่งโดยพนักงานของดองกิชื่อทานากะ มาอิมิ เปิดคลอตลอดการทำการของร้านดองกิ แปลงเนื้อเป็นไทยตามภาษาของแต่ละประเทศ อย่างที่สิงคโปร์เองก็แปลงเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ ท่ามกลางชั้นของสินค้าที่จัดวางไว้เป็นโซน แต่ไม่อัดแน่นจนบีบทางเดินเท่าสาขาในประเทศก่อตั้ง ทำให้การเดินหาสินค้าค่อนข้างจะทำได้ง่ายกว่า

โซนอาหารในชั้นล่างมีเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของสดและของแปรรูปจากญี่ปุ่น ปลาดิบราคาดีน่าจะเป็นของที่เราติดมือกลับบ้านได้ไม่ยาก สตรอว์เบอร์รี่ต่างสายพันธุ์ราคาต่างกันไปทั้งแบบพรีเมียมและเกรดรองลงมา ขาดไม่ได้คือมันเผาตำรับต้นฉบับ ที่มีมันหวานอีกสองสามสายพันธุ์ให้ซื้อกลับมาเผาเองได้ ฯลฯ ส่วนขนมของขบเคี้ยวที่เคยซื้อกลับมาเป็นของฝาก วางเรียงบนชั้นอยู่หลายแถว

พื้นชั้นสอง จะเป็นชั้นที่หลายคนอาจตกอยู่ในวังวนได้ทั้งวัน โดยเฉพาะโซนเครื่องสำอางซึ่งเป็นที่นิยมที่สุดของคนไทยเมื่อไปญี่ปุ่น ตอนนี้มีให้เลือกอย่างที่เรียกได้ว่าละลานตา รวมไปถึงของใช้จิปาถะ อุปกรณ์ครัว อุปกรณ์เครื่องเขียน ของจุกจิก ฯลฯ ที่ดองกิเคลมว่าได้มาตรฐานญี่ปุ่นแท้ๆ ทั้งคุณภาพและความครีเอทีฟในการออกแบบ

นอกจากร้านดอง ดอง ดองกิ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในพื้นที่สองชั้น ชั้นสามเป็นโซนซึ่งรวมเอาร้านค้าจากญี่ปุ่นมาเปิดสาขาไว้ที่นี่ อาทิ ร้าน Fugetsu ซึ่งเป็นร้านโอโคโนมิยากิและยากิโซบะจากโอซาก้า ที่ชนะการประกวดโคะนะมง หรืออาหารที่ทำจากแป้งมาสามปีซ้อน ร้านแกงกะหรี่ซุปใส Suage จากฮอกไกโด ที่คิดค้นสูตรโดยร้านอาหารในซัปโปโร เลือกระดับความเผ็ดได้จาก 10-100 ที่เพิ่งเปิดร้านสาขาในต่างประเทศเป็นที่แรก รวมไปถึงร้านกาแฟ On the Table จากโตเกียว ร้านสเต็ก Tajiyama ฯลฯ ส่วนร้าน Mitsumoto Coffee ที่มีสาขาอยู่กว่า 40 ร้านทั่วญี่ปุ่น ก็มาเปิดที่เมืองไทยเป็นสาขาแรก และมีเมนูที่ญี่ปุ่นไม่มี คือเบอร์เกอร์ที่เนื้อแพตตี้หรือเนื้อบดชิ้นโตจนล้นขอบขนมปัง และขนมหวานที่ทำเมนูใหม่ขึ้นที่สาขานี้

ชั้นสี่เป็นพื้นที่เอนเตอร์เทน โดยเฉพาะสำหรับคนชอบร้องเพลง ด้วยร้านคาราโอเกะที่มีห้องขนาดใหญ่สุดสำหรับ 30 ที่นั่งพร้อมโต๊ะพูล ห้องขนาดรองลงมา และห้องสำหรับเด็กที่ปูพื้นนิ่มเพื่อให้เด็กๆ กระโดดได้อย่างเต็มที่ ในราคาต่อหัวที่เริ่มต้นตั้งแต่ 160-300 บาทต่อคน ขึ้นกับช่วงเวลา และราคาลดหลั่นลงอีกเมื่อไปกันหลายคน ภายในชั้นเดียวกันมีสวนสนุกคิดตี้ หรือ ‘Hello Kitty Go Around’ ที่จะเปิดเต็มตัวราวกลางเดือนมีนาคม

ชั้นบนสุดคือชั้นห้า เป็นพื้นที่สำหรับคนบ้าพลัง เพราะจัดเป็น ‘D-Sport Stadium’ สนามกีฬาในร่ม อย่างเบสบอลและปีนผา  

ดองกิ มอลล์ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นพื้นที่แห่งใหม่ที่เลือกเวลาไปแบบไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นได้ เราขอปิดท้ายด้วยท่อนฮุกของเพลงธีม เผื่ออยากจะซ้อมไว้ร้องคลอพลางเลือกของไปพลาง

…ดอง ดอง ดอง ดองกิ ดอง ดอง ดองกิ สวรรค์ที่แสนวิเศษ ที่นี่ช่างดีที่สุดสำหรับฉัน

ดอง ดอง ดอง ดองกิ ดอง ดอง ดองกิ ออกไปค้นหาเถอะ ให้เจอสิ่งที่แปลกไปดูสักที…

Tags: , , ,