เมื่อปี 2012 ซิงเกิล Call Me Maybe จากอัลบั้ม Kiss อัลบั้มที่สองของ คาร์ลี เรย์ เจปเซ็น (Carly Rae Jebsen) สร้างปรากฏการณ์ให้เธอดังระเบิดด้วยการไต่ชาร์ตเพลงทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป จนเจปเซ็นเป็นนักร้องสาวชาวแคนาดาต่อจาก อาวริล ลาวีน ที่คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งของชาร์ตมหาหินอย่างบิลบอร์ด ฮ็อต 100 ได้เป็นลำดับต่อมาหลังจากซิงเกิล Girlfriend เคยส่งลาวีนครองตำแหน่งนี้เมื่อปี 2007

Call Me Maybe ดังระเบิดเสียจนไม่ว่าคุณจะไปปรากฏตัวที่ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ไปจนร้านเหล้า อย่างน้อยที่หนึ่งที่ใดต้องเปิดซิงเกิลนี้ของเจปเซ็นประกอบสักครั้ง เนื้อเพลงสดใสที่ว่าด้วยการอ่อยผู้แบบน่ารักน่าชังว่าโทรหาฉันบ้างนะ กับมิวสิกวิดีโอที่เจปเซ็นแสดงเป็นสาวน้อยเปิ่นๆ เล่นหูเล่นตาให้หนุ่มข้างบ้านสุดฮ็อต (แถมตอนจบยังหักมุมได้แบบเรียกรอยยิ้มมุมปาก) ทั้งหมดนี้ส่งให้เจปเซ็นกลายเป็นที่จดจำทันที เธอออกรายการโชว์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเป็นว่าเล่น แถมยังถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปอยู่ในซีรีส์ฮิตอย่าง Glee

คงไม่เกินเลยถ้าเราจะบอกว่าปี 2012 คือปีของเธอและซิงเกิลนี้อย่างแท้จริง หลายคนคาดการณ์ว่าอนาคตของแม่นักร้องสาวชาวแคนาดาจะสดใสในอุตสาหกรรมดนตรี ต่อจากนี้ไปโลกจะต้องร้องเพลงแทบทุกเพลงของเธอได้…

หากแต่ความฮิตของเจปเซ็นไม่ได้รับการสานต่อนัก Call Me May Be กลายเป็นเพลงฮิตระดับ ‘ปรากฏการณ์’ เพียงเพลงเดียว แม้ว่าอัลบั้ม Kiss จะขายดีแบบฟาดลำดับที่ 6 ของชาร์ตบิลบอร์ด 200 กับจำนวน 46,000 ก๊อปปี้ในการวางขายสัปดาห์แรก, ส่งเจปเซ็นชิงรางวัลอัลบั้มแห่งปีและเพลงแห่งปีจากเวทีแกรมมี่ หากแต่ความสำเร็จในลำดับต่อมานั้นกลับแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด จนหลายๆ คนแซวว่าเธอเป็นนักร้อง One Hit Wonder หรือดังเพลงเดียว เพราะถนัดจากนั้น Emotion อัลบั้มลำดับที่สามกับซาวด์ยุค 80s ผสมรวมกับแนวอัลเตอร์เนทีฟ และซิงเกิลแรก I Really Like You กับมิวสิกวิดีโอที่ได้ ทอม แฮงค์ส ร้องเพลงคลอไปตลอดทั้งเพลง แม้อัลบั้มจะประสบความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์ หากแต่ในด้านยอดขายนั้นมันไปได้ไม่สวยนัก ดังที่เรารู้ อาจจะด้วยกลิ่นอายที่ขยับไปทางดนตรีนอกกระแส ทำให้มันไม่อาจสร้างแรงสะเทือนได้มากเท่า Call Me May Be จากอัลบั้มก่อนหน้าของเธอ

กระทั่งเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งในอัลบั้มที่สี่ Dedicated และซิงเกิล Party for One —เนื้อเพลงที่พูดถึงการสร้างความสุขด้วยตัวเอง— ได้รับคำชื่นชมอย่างงดงามว่าเป็น “เพลงชาติในการเยียวยาตัวเองที่เราเฝ้ารอมาเนิ่นนาน” และ “หลักฐานที่ชี้ชัดว่าเจปเซ็นนั้นเปี่ยมสุขกับสถานะนักดนตรีของเธออย่างแท้จริง”

Dedicated ที่ได้ แจ็ค อันโตนอฟฟ์ (Jack Antonoff) —ผู้เคยร่วมโปรดิวซ์อัลบั้ม 1989 ของเทย์เลอร์ สวิฟต์มาก่อนแล้ว— นั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ ทำให้เจปเซ็นสลัดคราบความเป็นสาวน้อยน่ารักสดใสที่ติดตัวมาตั้งแต่สองอัลบั้มแรก กลายเป็นหญิงสาวผู้มองโลกในแง่บวก เธอรัก เธอเจ็บปวดและรักใหม่อีกครั้งในท่วงทำนองที่ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรี 80s เนื้อเพลงที่พูดถึงบาดแผลจากการเลิกรา, การต้องอยู่คนเดียว ตลอดไปจนความรักตัวเองและเปิดใจรับรักครั้งใหม่ ทำให้เธอถูกมองว่าในที่สุดก็หลุดออกมาจากการเป็น ‘น้กร้องสาวสดใส’ เสียที

“ฉันก็อายุ 33 แล้วนะ!” เจปเซ็นโวยวายไปพลางหัวเราะไปพลาง หากจะมีสักอย่างที่เธอไม่ได้สลัดหลุดออกไปจากอัลบั้มก่อนๆ ก็คงเป็นอารมณ์ขันและรอยยิ้มกว้างขวางที่ประดับบนใบหน้าเสมอ “ตอนทำอัลบั้มนี้ ฉันอยู่ในช่วงเลิกกับแฟนคนก่อน ต้องอยู่ตัวคนเดียวและเริ่มความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกับเพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนรักแล้ว” เธอตอบถึงแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มอย่างเขินๆ “และอัลบั้มนี้ก็สำรวจทุกห้วงความรู้สึกระหว่างนั้นทั้งหมดเลย นั่นคือช่วงอกหัก ช่วงโดดเดี่ยวและช่วงที่พบรักใหม่”

และหากเราไล่ฟังเพลงในอัลบั้ม Dedicated จนครบ ก็คงเห็นตรงกันว่ามันเป็นดังที่เจปเซ็นว่า นั่นคือมันบันทึกช่วงเวลาและความรู้สึกในหลายๆ ปีที่ผ่านมาของเธออย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความชอกช้ำในเพลง Happy Not Knowing ที่พูดถึงช่วงเวลาแสนเปราะบางระหว่างเธอกับคนรักคนเก่าผ่านท่วงทำนองสดใส ตามมาด้วยเพลงเนื้อหาชื่นใจ ‘อยู่คนเดียวไม่เห็นเป็นไร’ ใน Party For One และรักใหม่ที่ผลิบาน Now That I Found You กับเนื้อเพลงแสนสุขอย่าง “My heart’s a secret, mmm, I think I’m coming alive, yeah, I think I’m coming alive with you”

สิ่งสำคัญของ Dedicated ที่ทำให้มันกวาดหัวใจนักวิจารณ์เพลงและคนฟังได้ นอกเหนือจากกลิ่นอายยุค 80s แล้วยังเป็นดนตรีแบบละครเพลงที่เธอได้รับอิทธิพลและไอเดียมาหลังจากดูหนังเรื่อง Popeye (1980) หนังคัลต์คอมเมดี้สุดป่วนของโรเบิร์ต อัลต์แมน ที่สาวน้อยโอลีฟ ออยล์ (แชลลี ดูวัลล์) ร้องเพลง He Needs Me คู่กับป๊อปอาย (โรบิน วิลเลียมส์) และเจปเซ็นตกหลุมรักซาวด์ชวนเหวอ เสียงเครื่องสายกับท่อนฮุคที่ร้องซ้ำๆ จนเธอเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง Everything He Needs ที่คงบรรยากาศล่องลอยของสาวผู้ตกหลุมรักแบบเดียวกับที่โอลีฟเคยครวญถึงป๊อปอาย

เรื่องราวสุดเซอร์เบื้องหลังเพลงนี้คือ เธอต้องขอลิขสิทธิ์เพลงจากดิสนีย์ผู้เป็นเจ้าของหนัง ท่ามกลางคนรอบตัวที่ไม่เห็นด้วยว่าเธอจะขอสิทธิ์มาได้ เจปเซ็นเลยขับรถบุกไปดิสนีย์แลนด์พร้อมสัญญาปลอมให้คนใส่ชุดมิกกี้ เมาส์เซ็นสัญญาแล้วเธอก็ถ่ายรูปส่งกลับไปให้ค่ายเพลงตัวเองพิจารณา แน่นอนว่าเจ้าสัญญาปลอมนี้ไม่ได้ผล แต่อย่างไรค่ายเพลงของเธอก็ไปเจรจากับดิสนีย์จนซื้อสิทธิ์มาได้นั่นล่ะนะ

อาจจะต่างจากนักร้องเพลงป๊อปหลายๆ คนที่ออกอัลบั้มอย่างมีจังหวะและตรงเวลาทุกสองหรือสามปีเพื่อให้ตัวเองไม่เลือนหายไปจากความทรงจำและการรับรู้ของคนดู แต่หลังจากอัลบั้ม Emotion เจปเซ็นห่างหายจากหน้าสื่อไปพักใหญ่ คล้ายไม่ได้สนใจกับกระแสที่อาจจะจางหายไปจากความสนใจของผู้คน เจปเซ็นออกปากว่า ชื่อเสียงที่ถาโถมมาสู่เธอเมื่อแปดปีก่อนนั้นไม่ได้ทำให้เธอสบายเนื้อตัวนัก เธอไม่ชินกับการถูกดักถ่ายรูป ไม่ลงรอยกับการถูกขุดเจาะเรื่องส่วนตัวเสียจนการที่เธอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นป๊อปสตาร์

การที่อัลบั้มต่อมาไม่เปรี้ยงเท่า Kiss นั้นก็ถือว่าดีแล้ว เพราะอย่างน้อยเธอก็หายใจสะดวกขึ้นในพื้นที่ที่ชื่อเสียงไม่เข้ามากล้ำกรายเท่าที่คนดังคนอื่นๆ ต้องเผชิญ แถมเธอยังไม่พยายามจะทำตัวให้ ‘ขายได้’ อย่างการเข้าไปอยู่ในแวดวงคนดังหรือย้ายบ้านมาอยู่ในลอสแองเจลิสอย่างถาวร เธอว่าเธอไม่เห็นความสำคัญของการขายตัวตนและเรื่องราวแบบนั้นลงหน้าสื่อเพื่อความโด่งดัง

“ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ตอนใหม่ๆ น่ะคุณยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าคุณอยากมีตัวตนแบบไหน เป็นยังไง และทันทีที่คุณปล่อยให้คนอื่นมาบอกว่าคุณควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ก่อนที่คุณจะได้นิยามตัวเอง มันก็เป็นช่วงเวลาที่อันตรายมากๆ นะ สำหรับฉัน ช่วงปี 2012 ไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นก็จริง แต่มันก็ทำให้ฉันอยากเก็บตัวเงียบสักพัก โดยเฉพาะตอนที่มีคนมาบอกว่า ‘ถ้าออกไปร้านอาหารตอนนี้ เธอได้เจอปาปารัซซี่ดักถ่ายรูปแน่ๆ’ ซึ่งมันทำให้ฉันแกร่วอยู่ในบ้านต่อไปอีกพักเลย”

ความเห็นของเจปเซ็นหลายอย่างอาจจะสวนทางอุตสาหกรรมป๊อป ทั้งการใช้ชีวิต แนวเพลงที่หยิบจับเอากลิ่นอายเพลงยุค 80s มาใช้ ไปจนบุคลิกโดยรวมของเธอ (อย่างเห็นได้ชัดว่า เธอไม่ใช่นักร้องที่เล่นกับปาปารัซซี่หรือเที่ยวออกงานเซเลบฯ ต่างๆ) เพราะปกอัลบั้ม Dedicated ที่เป็นภาพเธอยืนเปลือยหลังให้คนดู ก็เป็นภาพที่เธอออกปากเสียงต่อสู้กับโปรดิวเซอร์ที่ยืนยันว่า เธอควรจะลง “หน้า” ตัวเองใหญ่ๆ ลงบนปกอัลบั้มสิ ไม่ใช่แผ่นหลังซึ่งดูเป็นใครก็ได้!

“ฉันไม่ชอบเลยที่หน้าคุณ ตัวตนคุณกลายเป็นจุดขายหลักในอุตสาหกรรมเพลงป๊อป” เธอยืนกราน “ฉันบอกพวกเขาว่า นี่ๆ ฉันอายุ 33 ปีแล้วนะ เคยเอาหน้าตัวเองไปอยู่บนปกอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว ตอนนี้คงไม่ต้องแล้วมั้ง

“สำหรับศิลปินบางคน ภาพลักษณ์มันสำคัญมากๆ ซึ่งฉันคิดว่า พระเจ้า ฉันทำไม่เป็นแบบนั้นไม่ได้แหงๆ แม้ว่าฉันจะมั่นใจกับอายุและความเพี้ยนๆ ของตัวเองก็ตามเถอะ แต่ฉันไม่คิดว่าตัวตนของฉันมันเหมาะกับกระแสในอุตสาหกรรมนี้เท่าไหร่ โอเค การเลือกเปลือยหลังขึ้นปกอาจจะเป็นตัวเลือกที่แย่ก็ได้ แต่ฉันก็เลือกเองแล้วนี่”

และด้วยคำวิจารณ์อัลบั้มแง่บวก ซิงเกิลทะยานขึ้นชาร์ตหลายเพลงติด ตัวเจปเซ็นเพิ่งประกาศ The Dedicated Tour ยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเหนือและยุโรป เธอก็ยังคงไม่ชินกับชื่อเสียง (และแน่นอนว่าเหล่าปาปารัซซี่) อยู่ดี แถมยังยืนยันว่าการพยายามทำตัวเป็นซูเปอร์สตาร์นั้นไม่ได้จำเป็นในอาชีพของเธอสักนิด

“ฉันอยากเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน ไม่ใช่คนดัง” เธอปิดท้าย

Tags: ,