เดือนพฤษภาคม…

เป็นเวลากว่าทศวรรษที่เมื่อเดือนพฤษภาคมเวียนมา ภาพการชุมนุมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องวนกลับมาอีกครั้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้จากเหตุการณ์พฤษภาฯ 2535 หรือพฤษภาฯ 2553 

ในหลายการชุมนุม ประชาชนไม่ได้เป็นฝ่ายชนะเสมอไป ‘ผู้รอดชีวิต’ ต้องกลับมานั่งหวนรำลึกถึง ‘ผู้จากไป’ และ ‘ถอดบทเรียน’ ในทุกปีว่า ความสูญเสียเหล่านั้นมีคุณูปการอย่างไร และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง

ในวาระครบรอบ 12 ปี ของการสลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 ในปีนี้ ดูเหมือนว่า รัฐไทย สังคมไทย ยังไม่เคยเรียนรู้หรือไม่แม้แต่จะตระหนักถึง ‘ความเป็นธรรม’ ของประชาชนที่ตกหล่นไประหว่างทางของประวัติศาสตร์การเมือง

จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ ‘กลุ่มบุคคล’ บางกลุ่มถืออาวุธปืนยิงประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 99 ศพ แม้แต่วัดก็กลับกลายเป็น ‘เขตกระสุน’ ภาพเหล่านี้ไม่เคยจางหายไป โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว

‘แหวน’ – ณัฏฐธิดา มีวังปลา เป็นหัวหน้าอาสาสมัครพยาบาลที่ ‘เผอิญ’ รอดชีวิตจากเหตุการณ์ภายในวัดปทุมวนาราม อันถือเป็นเขต ‘อภัยทาน’ แต่กลับมีกระสุนยิงเข้ามาในวัด จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 6 ราย และในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นพยานปากเอกให้กับผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยยืนกรานว่า เป็นฝีมือของ ‘ทหาร’ ที่ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นคำให้การที่ตรงกับภาพ คลิปวิดีโอ และคำตัดสินของศาลก็ไปในทางเดียวกัน

ทว่าวันนี้ ผ่านไป 12 ปี ก็ยังไม่เคยมีการจับกุม ‘ใคร’ ได้สักคน และกลับกลายเป็นตัวเธอเองที่ถูกศาลทหารสั่งจำคุกในคดีพกพาระเบิด จนต้องถูกคุมขังอยู่นานกว่า 3 ปี กระทั่งศาลตัดสินยกฟ้อง

“ไม่รู้ว่าเราจำได้อย่างไร แต่ภาพเหล่านี้ยังคงติดตา และไม่เคยหายไปจากใจเราเลย จนกว่าทั้ง 6 คน หรือ 99 ศพนั้นจะได้รับความเป็นธรรม”

ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน คุณแหวนเข้าร่วมการชุมนุมตอนนั้นได้อย่างไร

เราเข้ามาในพื้นที่การชุมนุมเพราะมาตามหาน้องชายคนเล็ก ซึ่งแม่บอกว่าน้องหนีมาเป็นการ์ดให้กับคนเสื้อแดง ช่วงก่อนหน้านั้น น้องกับแม่ทะเลาะกันบ่อย แม่เขาเป็นห่วงน้องชายมากเลยฝากความหวังให้เรามาช่วยหา

ตอนนั้นคนอุดรธานีเข้าร่วมม็อบกันเยอะมาก เรายังถามเลยว่าลงมาทำไมกันเยอะแยะ อ้อยไม่มีตัดกันหรือไง งานที่บ้านก็มีเยอะอยู่แล้ว ทำอย่างกับว่างกันที่มาชุมนุมเรียกร้อง ขณะนั้น เรายังไม่ได้สนใจเรื่องการเมือง เรียกว่าเป็นประเภทดับเบิลอิกนอแรนซ์ เพราะถือว่าเศรษฐกิจบ้านฉันมี ธุรกิจฉันไปได้ ฉันสามารถส่งลูกเรียนอินเตอร์ฯ ได้ ลูกอีกคนก็คลอดที่โรงพยาบาลเอกชน เดือนหนึ่งก็ทำเงินได้หลายสตางค์ การช่วยเหลือสังคมของคนมีเงินก็คือการใช้เงิน อย่างเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา เราก็ช่วยเหลือสังคมผ่านเงินบริจาค

วันนั้น แม่ถึงกับต้องขอร้องเพื่อให้เราเข้าไปตามหาน้อง แม่โทรมาวันหนึ่งเป็นสิบรอบ ให้เข้าไปตามหาน้องให้ที เพราะมีข่าวยิงกัน แม่ก็เป็นห่วง แม่ดูข่าวทุกวัน ก็พบว่ามีคนตายอีกแล้ว คนล้มอีกแล้ว ให้ไปดูว่าใช่น้องไหม แม่พูดจนร้องไห้ ทำให้เราตัดสินใจไป 

ตอนนั้นเรามีลูกเล็ก 6 เดือน แต่เราก็มีเงินมากพอที่จะสามารถจ้างคนดูแลลูกได้ แต่วันนั้น เราก็ไม่ได้ศึกษาเศรษฐกิจมากพอว่า เศรษฐกิจแบบในวันนั้นกำลังจะพัง

แสดงว่าคุณไม่ได้ตั้งใจเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่แรก แล้วความคิดเหล่านั้นเปลี่ยนไปได้อย่างไร เปลี่ยนไปตอนไหน

พอเริ่มมีคนโดนยิงในม็อบ ทั้งเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 หรือตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา มีผู้บาดเจ็บเยอะ เราก็สงสาร ช่วยซื้อยาพาราเซตามอล ช่วยซื้อพลาสเตอร์ยา และน้ำเกลือ เข้าไปแจกทุกเต็นท์แพทย์ ตอนนั้น เราถือว่าสร้างโบสถ์สร้างวัดสร้างวิหาร เราสร้างมาหมดแล้ว แต่เรายังไม่ได้สร้างอีกอย่าง คือการช่วยเหลือชีวิตผู้คน

จุดเปลี่ยนของชีวิตคือการได้ช่วยชีวิตคนโดยไม่ได้เป็นแพทย์ เราเป็นพยาบาล แต่ไปอยู่หน้างานได้ เป็นสิ่งที่เราทำแล้วเป็นเราเลย ถ้าคนเดือดร้อนแล้วเราช่วยเขาได้ เราดีใจมากเลย ก็เริ่มคิดว่าถ้าไม่มีปลอกแขนหรือสัญลักษณ์อะไร เดี๋ยวจะไม่สามารถแยกได้ว่าใครผู้ชุมนุม ใครผู้ช่วยเหลือ เราจึงเริ่มใส่สัญลักษณ์ เป็นกางเกงขาว เสื้อขาว ขอบแดง มีสัญลักษณ์ที่เสื้อ และช่วยทุกคนเรื่อยมา

จุดมุ่งหมายและความหวังของคนเสื้อแดงในตอนนั้นคืออะไร

จริงๆ เราไม่รู้จักแกนนำเสื้อแดงแม้แต่คนเดียว แต่รู้จักคุณลุงคนหนึ่งที่เป็นหน่วยแพทย์เสนารักษ์ที่ดูแลมวลชน ได้พูดคุยกับเขา คุยแล้วใช่ ตอบคำถามเราไม่เหมือนกับข่าวที่ออกมา เราถามเขาว่าที่ต้องมาเดือดร้อนขนาดนี้ มาเพื่ออะไร ทำไมถึงมา คำตอบคือ เขามาต่อสู้เพื่อสิทธิของเขาที่ถูกแย่งชิงไป สมัยนั้นเขาไม่ต้องการนายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้ง ต้องการนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วการมีนายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้งอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะ คือสิ่งที่ประชาชน คนชั้นรากหญ้า เขาไม่ยอมรับ

คำตอบนั้นทำให้เราเกิดคำถามตามมาว่า ทำไมเขาถึงต้องการหีบเลือกตั้ง เอาไปเพื่ออะไร เขาตอบว่า เขาอยากเลือกนายกฯ ที่ตอบโจทย์ประชาชนได้ ทำให้เศรษฐกิจดี กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องการนายกฯ ที่หน้าหนาวเอาแต่ผ้าห่มไปแจก เขาต้องการนายกฯ ที่เข้ามาพัฒนาและสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชน

จากตรงนั้น คิดว่าคุยครั้งเดียวคงไม่พอ เราก็เข้ามานั่งคุย นั่งถามจนได้รับคำตอบที่กระจ่างขึ้นเรื่อยๆ แถวบ้านเราเต็มที่แค่เลือกผู้ใหญ่บ้าน เรารู้อยู่แค่นั้น เมื่อก่อน เรามองว่าทำไมต้องเปลี่ยนนายกฯ บ่อย ๆ เพราะนายกฯ คนไหนก็เหมือนกัน เพราะทุกสิ่งยังคงไม่พัฒนาเหมือนเดิม แต่เมื่อทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร) เข้ามา มันใช่ แม่เราป่วย เราจ่ายแค่ 30 บาท แม่ก็ได้รับการรักษา เพราะรู้สึกว่ามีระบบรัฐบาลแบบนี้ ระบบบริหารแบบนี้ ทำให้เราเริ่มมาสนใจการเมือง หลังจากที่ไปคุยในที่ชุมนุมแล้ว

ถ้ามองย้อนกลับไปในวันนั้น คุณแหวนตอบตัวเองได้หรือยังว่า มีจุดมุ่งหมายแบบเดียวกับ ‘คนเสื้อแดง’

เราว่าตอนนี้เราเป็นมากกว่าคนเสื้อแดง เรามองตัวเรา ข้อเรียกร้องของเรา ที่มีมากกว่าแค่ใส่เสื้อสีแดง ข้อเรียกร้องของเราไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง ข้อเรียกร้องของเราไม่ใช่แค่ความเป็นธรรมที่ฉาบฉวย แต่ข้อเรียกร้องของเราคือความเป็นธรรมที่แท้จริง และได้มาอย่างบริสุทธิ์ เราอยากให้ความเป็นธรรมนี้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายแพทย์ที่ถูกฆ่าตาย แต่ฝ่ายทหารด้วย

คำว่าเสื้อแดงหรือคนเสื้อแดง คุณเอาอะไรเป็นตัวชี้วัด ไม่มีใครมาตอบเราได้เลย ตรุษจีนเราก็เห็นใส่เสื้อสีแดงเต็มเยาวราช สงกรานต์ก็เห็นใส่เสื้อสีแดงลายดอก คนเสื้อแดงเป็นใครก็ได้ที่จับเสื้อแดงขึ้นมาใส่แล้วก็เป็นคนเสื้อแดงใช่ไหม 

ถ้ามาถามเรากลับว่า ‘คนเสื้อแดง’ ต้องเอาอะไรเป็นตัวชี้วัด เราวัดจากจิตใจพวกเขา เอาความกล้าหาญ จิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่มีความเสียสละ จิตใจที่มั่นคง สิ่งเหล่านี้ มันมากไปกว่าสีเสื้อ ฉะนั้นสีแดงเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของกลุ่มเราที่ออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม เสื้อที่เราต้องใส่คือเสื้อสีแดง สัญลักษณ์ที่ต้องใช้คือผ้าแดง ธงแดง 

แต่ถามว่าเป็นเสื้อแดงแล้วไง อุดมการณ์และจิตวิญญาณอยู่ในนี้ (เอามือทุบอก) ไม่ว่าคุณจะเป็นสีเสื้ออะไร ขอให้อุดมการณ์ของคุณยังอยู่ ขอให้จิตใจของคุณเข้มแข็งตั้งมั่น ไม่ว่าคุณจะใส่สีเสื้ออะไรก็ไม่มีใครมาทำลายคุณได้

ก่อนที่หน่วยงานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะเข้าควบคุมสถานการณ์ และใช้ยุทธการ ‘ขอคืนพื้นที่’ หรือการสลายการชุมนุมตรงพื้นที่ราชประสงค์ เหตุการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

วันที่ 13-15 พฤษภาคม 2553 เราเข้าไปในม็อบ กว่าจะกลับบ้านแต่ละคืนก็ดึก เที่ยงคืน แต่ช่วงวันที่ 16-19 พฤษภาคม คือช่วงที่เราเข้าไปแล้วออกไม่ได้ เขาปิดทุกเส้นทางเข้า มีเสียงปืนดังขึ้นมาเป็นระยะ พื้นที่ราชประสงค์เป็นเหมือนแอ่งกะทะที่มีตึกสูงล้อมรอบ เวลามีเสียงปืนเสียงกระสุนข้างนอกจะไม่ได้ยิน แต่คนข้างในจะได้ยิน เสียงดังก้องมาก

ระหว่างนั้นมีเสียงกระสุนปืนตลอดทุกคืนควบคู่ไปกับการปราศรัย มีสายลับหรือฝ่ายตรงข้ามส่งเข้ามาหาข่าว เขาเข้ามาเจาะลึกว่าเต็นท์ไหนมีอาวุธสงคราม ตรงไหนน่าสงสัย หลังเวทีมีอาวุธสงครามไหม เขาก็จะเข้ามาแทรกซึมอยู่กับการ์ด อยู่กับฝูงชนตลอดเลย

เวลามีคนตะโกนว่า สายสืบๆ ภาพที่เห็นคือมีผู้ชายกำลังโดนรุมทำร้ายเพราะจับได้ว่าเป็นสายสืบ เราบอกว่าไปทำเขาทำไม แต่เราก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่มีการปะทะกัน เราจะไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามปรามหรือการแยกคู่กรณีที่กำลังทะเลาะกัน เราเข้าไปไม่ได้ เราทำได้แค่อยู่ห่างๆ และรอปฐมพยาบาล เป็นอะไรที่ทรมานจิตใจมาก แต่คนที่กระทำและคนที่ถูกกระทำ เขาก็มีเหตุผลของเขา มีความโกรธแค้นกันประมาณหนึ่ง เราก็มีหน้าที่ทำแผล เขาจะให้ทำแผล หรือไม่ให้ทำ ก็เป็นสิทธิของเขา

ย้อนกลับมาวันที่ 16-19 พฤษภาคม 2553 ที่เราติดอยู่ในนั้นออกไปไม่ได้ พอเราจะออกมาจากการชุมนุมก็มีการดักยิง ล้อมยิง แต่เราไม่รู้ว่าใคร เห็นเป็นกลุ่มทหารก็จริง แต่อยู่ไกลพอสมควร เพราะมันเป็นช่วงกลางคืน 

ในวันที่ 17 พฤษภาคม เราเดินออกมาตรงแยกราชเทวี เดินข้ามสะพานหัวช้าง เพื่อจะหาแท็กซี่กลับบ้าน เราเดินไปก็เจอทหารอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาใส่ผ้าบัฟฟ์ปิดหน้า เขาถามว่าคุณเป็นใคร เราหิ้วกระเป๋ายาอยู่ กระเป๋าที่ใส่ยา ใส่ชุดทำแผล เราก็เปิดให้เขาดู แล้วบอกว่าเราเป็นอาสาพยาบาลที่ช่วยเหลือคนข้างใน เราบอกเขาว่าขอออกไปข้างนอก อยากกลับบ้าน สักพักเขาก็บอกเราว่า “ผมเตือนนะพี่ ผมไม่อยากให้พี่เดินกลับไปตอนนี้ พี่เดินจากตรงนี้พี่รอดจากพวกผม แต่ถ้าพี่ข้ามสะพานไปฝั่งนู้น ไม่มั่นใจว่าพี่จะรอดหรือเปล่า” จากตรงนั้นเองทำให้เราตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อความปลอดภัย คือถามว่าช่วงกลางวันเราจะกลับบ้านได้ไหม ตอนกลางวันกลับได้ แต่พอจะกลับก็มีผู้ชุมนุมป่วย ท้องเสีย เป็นไข้ เป็นลม ทำให้เราละหน้าที่ออกจากตรงนั้นไม่ได้เลย

คืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 มีการเจรจากันระหว่างแกนนำกับฝ่ายรัฐบาล ตอน 4 ทุ่ม มีการตกลงว่าพรุ่งนี้ วันที่ 19 พฤษภาคม จะยุติการชุมนุม และให้ประชาชนทยอยกลับบ้านไป แต่ประชาชนก็ลุกฮือ อยากสู้ตาย ไม่ยอมรับเงื่อนไขของผู้ที่เข้ามาร่วมเจรจาบนเวที สุดท้าย ก็มีกลุ่ม 18 ส.ว. ที่ขึ้นมาเจรจา ตัวแทนประชาชนก็ลุกฮือ เราคิดแค่ว่าถ้า 19 พฤษภาคม ยุติการชุมนุม เราก็คงได้กลับบ้าน

เหตุการณ์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 สิ่งที่ ‘คนข้างนอก’ รับรู้คือความรุนแรง ควันไฟ และวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง อยากรู้ว่า ‘คนข้างใน’ เห็นอะไรบ้าง

วันนั้นแกนนำประกาศยุติการชุมนุมตั้งแต่เวลา 11 โมง ขอให้พี่น้องเดินทางกลับบ้าน รอให้รถมารับ มีการโทรต่อรองกันเรื่อยๆ ทางแกนนำก็ขอให้มวลชนกลับก่อน ส่วนตัวเองจะกลับทีหลัง แต่สุดท้าย ประชาชนก็ไม่ยอม คนถือปืนข้างนอกเริ่มยิงให้เห็น ตั้งใจยิงให้ล้ม

เขายิงให้รู้ว่า ถ้ามึงไม่กลับกูก็จะฆ่าทั้งหมดเลย ถ้ามึงไม่ลงจากเวทีตอนนี้ กูก็จะฆ่าทั้งหมดเลยทั้งแสนคน กระสุนจริงล้วนๆ ภายหลังแกนนำเดินไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สถานการณ์เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น

ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือผู้ตายคนไหนถูกยิงต่ำกว่าหัวเข่า ถ้ามีก็เอามาดู เอามายืนยันแล้วทหารจะได้ความเป็นธรรมอย่างชอบธรรม ศพแต่ละศพถูกยิงสูงขึ้นไปจากหัวเข่าทั้งหมด ไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล 

เหนือกว่าสิ่งอื่นใด คือการสลายการชุมนุมตามหลักสากล ตามอนุสัญญาเจนีวา เขาจะไม่แตะต้องหน่วยแพทย์ แม้กระทั่งชี้หน้าเขาก็จะไม่ทำ หน่วยแพทย์จะเป็นผู้ที่ทำงานด้วยความทรงเกียรติมากในสนามรบ ในสนามรบเขายังเว้นหน่วยแพทย์ แต่เมืองไทย เมืองพุทธ ในวัดอารามหลวง ไม่มีการยกเว้น วันนั้นมีการระดมยิง สั่งฆ่าและล้อมฆ่าเหมือนนกในกรงเลย

ประชาชนที่ไปอยู่ในวัดปทุมฯ วันนั้น เพราะเขาไม่มีที่ไป คนอยู่ข้างในพื้นที่การชุมนุมตั้งแต่แยกเฉลิมเผ่าไปยังสวนลุมพินี มีเป็นพันคน ทั้งหมดนี้ การที่จะลำเลียงคนออกภายในคืนเดียวทำได้ค่อนข้างยาก เพราะแกนนำประสาน แกนนำหลักไม่มีแล้ว ทุกคนต่างนั่งประสานกับที่บ้าน โทรประสานกันให้รถมา ทยอยมา

พอแกนนำมอบตัว ม็อบก็เคว้ง ประชาชนส่วนหนึ่งหนีตาย แบกที่นอน แบกพัดลม หม้อข้าว กระติ๊บข้าวเหนียว แบกเข้ามาเพื่อหลบในวัดปทุมฯ เพื่อรอให้รถมารับ เพราะคนเยอะ รถไม่สามารถมารับวันเดียวหมดได้ ต้องทยอยกันไป ทุกคนหลบในวัดปทุมฯ รวมทั้งตัวเราด้วย เพราะคิดว่าเขตอารามหลวงนั้นปลอดภัยที่สุด

ตอนนั้นความหวังของเราที่จะเจอน้องชายริบหรี่แล้ว ศพแล้วศพเล่า ไม่มี ‘มีวังปลา’ (นามสกุลของเธอ) สักคนเลย ก็ยังคงหาเรื่อยๆ หากไม่เจอเป็นตัวเป็นๆ เจอเป็นศพ จะได้นำน้องกลับบ้านก็ยังดี ช่วงนั้นที่ใจหายมาก คือมีข่าวศพที่โดนยิง โดนทหารลากไป ซึ่งเราก็เห็นกับตา แต่เราไม่สามารถบันทึกได้ทัน ทหารเอารถยีเอ็มซีมา แล้วภายในมีโลงศพ 4-5 ใบ คือยิงแล้วเอาศพขึ้นรถทันที โลงศพซ้อนอยู่ในรถ มีทหาร 4 คนคอยโยนศพเข้าไป และรถคันนั้นเป็นรถที่ติดสัญลักษณ์กากบาทสีแดง ซึ่งทุกคนคิดว่าเป็นหน่วยแพทย์

เราเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีความหวังที่จะได้เจอน้องตัวเอง แต่เราก็ยังคิดว่าต้องอยู่ต่อ เผื่อมีคนบาดเจ็บแล้วหนึ่งในนั้นเป็นน้องเรา คนที่เข้ามาอยู่ในวัดปทุมฯ แทบจะไม่มีใครอยากหายใจเลย ทุกคนอยู่ด้วยความหวาดกลัว คิดแต่เพียงว่าอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด และมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง อันนี้ก็พระ อันนี้ก็ชี อันนี้ก็โบสถ์ ทุกคนคิดว่าปลอดภัย 

พอสักบ่ายสามกว่าเกือบสี่โมง ทหารก็รวมตัวกันบริเวณบนรางบีทีเอส เราก็ใจดีสู้เสือว่า เราอยู่ในวัด เขาไม่ยิงเราหรอก แต่เราตัวสั่นจนไม่รู้จะสั่นยังไงแล้ว ทำงานภายใต้ความกดดัน จนเวลาห้าโมงเย็น มีการยิงกระสุนเข้ามาในวัดหนักมาก ข้างบนรางรถไฟบีทีเอสก็มีทหารสามคนยิงลงมาที่อยู่ตรงหน้าวัด ตรงประตูทางออก แล้วก็มีอีกสองคนที่อยู่ฝั่งประตูทางเข้าฝั่งสยาม เอาจริงๆ มันมีมากกว่าห้าคนด้วยซ้ำ

แต่ในสายตาเราที่เราเห็นชัดเจนเลยคือห้าคน ทุกคนเป็นคนที่ถล่มยิงเข้ามาในวัดปทุมฯ เป็นคนที่ถล่มยิงหน่วยแพทย์ แล้วมวลชนก็มีการเขวี้ยงปาข้าวของสวนขึ้นไป

‘อัฐชัย ชุมจันทร์’ โดนยิงมาจากแยกเฉลิมเผ่า วิ่งกุมหน้าอก มาล้มลงตรงหน้าเรา ทหารก็พยายามสกัดกั้นยิงลงมา เราก็ตะโกนสวนขึ้นไปว่า “นี่หมอพยาบาลนะ ขอไปเอาคนเจ็บ ขอช่วยเขาได้ไหม ขอร้อง อย่ายิงนะ” แต่ทหารก็ยังยิงลงมา ทำให้เราโมโหก็ด่าไปว่า “กูขอแล้วไง มึงจะยิงลงมาทำเหี้ยอะไร ถ้ามึงจะยิง มึงก็ยิงกูเลย กูพร้อมที่จะตาย กูไม่ไปไหน ถ้าตายก็ตายตรงนี้ ในมือกูไม่มีอาวุธอะไรเลย” และในที่สุด อัฐชัย ชุมจันทร์ ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากนั้น ‘มงคล เข็มทอง’ อาสาป่อเต็กตึ๊งที่อยู่ข้างๆ ก็บอกว่า ขอพิมพ์ลายนิ้วมือศพเพื่อเก็บหลักฐาน เขามีเอกสารพิมพ์ลายนิ้วมือประจำกระเป๋า เราก็บอกว่าพิมพ์ได้เลย แล้วก็เอาศพไปไว้ที่เต็นท์ยา เพื่อลำเลียงศพไปที่สวนป่าด้านใน เพราะตรงนี้อันตรายมาก มงคลก็บอกเราว่า ผมทำแป๊บเดียว แต่ขณะที่มงคลพิมพ์ลายนิ้วมือ กระสุนยิงเข้ามาตัดขั้วหัวใจ ตัดท้ายทอย ตัดต้นแขน เสียชีวิตในขณะที่กำลังจะพิมพ์ลายนิ้วมือของอัฐชัย

‘กิตติชัย แข็งขัน’ เป็นอีกคนที่วิ่งมาล้มลงตรงที่เรามาหลบกันอยู่ เราก็ถามว่าทำไมไม่ทำแผลที่เต็นท์ยาข้างนอกก่อน เขาก็บอกว่าเต็นท์ยาตายหมดแล้วจะทำแผลกับใคร ในตัวเรามีผ้ากับสก็อตเทปก็ทำแผลให้เขาก่อน ใครมีผ้าก็ขอก่อน หลวงพ่อในวัดท่านบอกว่าผ้าไม่มี เอาจีวรพระไปก่อนได้ไหม เราก็เอามาฉีกมาทำแผลให้เขาในเบื้องต้น ตอนแรกนึกว่ามีแผลที่หลังอย่างเดียว ปรากฏว่ามีที่ฝ่ามือด้วย ถามเขาว่าทำไมถึงโดนยิงที่ฝ่ามือ เขาก็ตอบว่า เพราะผมยกมือขออย่ายิงเพื่อที่จะกลับบ้าน

เพียงแค่เดือนเดียวก่อนจะขึ้นศาลและเบิกพยานปากเอก 6 ศพในวัดปทุมฯ กิตติชัยก็เสียชีวิต สาเหตุการเสียชีวิตคือติดเชื้อในกระแสเลือดตาย

ตามมาด้วย ‘กมนเกด อัคฮาด’ และ ‘อัครเดช ขันแก้ว’ ก็เป็นอีกสองคนที่กำลังเก็บของในเต็นท์ ส่วนเรากำลังไปตามหาญาติอัฐชัย และไปเตือนคนในสวนป่าว่าอย่าวิ่งออกมา ช่วงที่วิ่งกลับมาไม่ถึง 5 นาที เต็นท์ยาเราก็โดนถล่มยิง มือหนึ่งเราช่วยคนเจ็บ แต่ปากเราก็ตะโกนให้น้องๆ เราหลบ

กมนเกดเข้าไปหลบบริเวณรถที่จอดข้างหลัง น้องพยายามวิ่งมาหลบแต่ก็โดนกระสุนยิงมากกว่า 11 จุดทั่วร่างกาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนอัครเดชก็ไปหลบใต้โต๊ะยา ซึ่งโต๊ะมีแผ่นฟอยล์กั้น ไม่นานเขาก็โดนยิงที่กระพุ้งแก้ม กระสุนติดอยู่ตรงขากรรไกร เสียชีวิตในเวลาต่อมาเช่นกัน

ก่อนหน้านั้นเราคิดว่า อย่างน้อยเราเป็นหน่วยแพทย์คงไม่เป็นไร และก็ไม่ได้คิดหรอกว่าพวกเราทุกคนจะไม่ได้กลับบ้าน

คุณจำชื่อ-สกุลคนตายแม่นยำขนาดนี้ได้อย่างไร

มันบอกไม่ถูก มันอยู่ในหัวตลอดมาเลย ไม่คิดว่าจะจำได้ ญาติพี่น้องเรายังจำไม่แม่นเท่า 6 ศพ เลย ศพแรก – สุวรรณ จิตรักษา, ศพที่สอง – ลุงรพ สุขสถิต, ศพที่สาม – อัฐชัย ชุมจันทร์, ศพสี่ – มงคล เข็มทอง, ศพห้า – กมนเกด อัคฮาด, ศพหก – อัครเดช ขันแก้ว อันนี้คือศพจริงตายจริง เป็นช่วงที่เราไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลย ไม่รู้ว่าเราจำได้อย่างไร แต่ภาพเหล่านี้ยังคงติดตา และไม่เคยหายไปจากใจเราเลย จนกว่าทั้ง 6 คน หรือ 99 ศพ จะได้รับความเป็นธรรม

 

คิดว่าสิ่งที่คุณเจอในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โหดร้ายเหมือนสงครามไหม

เหมือนกันมากเลย แต่เราไม่คิดว่าจะเกิดในเมืองไทย สงครามที่เกิดจากการต่อสู่ระหว่างรัฐต่อรัฐ เขามีอาวุธสงคราม อาวุธต่ออาวุธ แต่คนที่อยู่ในวัดปทุมฯ มีแค่มือเปล่า มีแค่หนังสติ๊ก ลูกกระสุนที่เขาใช้ก็เป็นก้อนหินก้อนกรวดที่ยิงขึ้นไปบนรางบีทีเอส เพื่อสกัดไม่ให้ทหารยิงประชาชน ถ้าจะไม่เรียกว่าสงคราม มันก็ไม่ใช่ แต่เป็นสงครามที่อีกฝ่ายหนึ่งพร้อมมาก อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมหมด กระสุนหมดเขาเติมได้ตลอด แต่พวกเราไม่มีอะไร เป็นหน่วยแพทย์ มีแค่ผ้าอนามัย มีสำลี มีน้ำเกลือทำแผล มีแอลกอฮอล์ มียาพาราฯ

ตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไร กลัวหรือโกรธ

มันเกินคำว่าโกรธ มันเป็นคำถามแบบ — มึงมายิงกูทำไมวะ กูไปฆ่าแม่มึงตายเหรอ มายิงทีมแพทย์ทำไม กูเป็นคนจ่ายภาษีให้มึง กูไม่ได้เกี่ยวข้องส้นตีนอะไรกับ นปช. ไม่ได้เกี่ยวข้องส้นตีนอะไรรัฐบาล แต่พวกกูอยู่ภายใต้การปกครองของพวกมึงโดยกฎหมายที่พวกมึงสร้างขึ้นมา

พอเราเห็นศพน้องๆ หน่วยแพทย์ที่อยู่ในวัดปทุมฯ ไม่มีใครที่สมควรตายแม้แต่คนเดียว เราช่วยเหลือทั้งประชาชนและทหาร แต่สิ่งที่เราได้รับ คือคมกระสุนปืน และร่างที่ไร้วิญญาณ เรายังยืนยันคำเดิมนะว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราขอแลก เราขอแลกกับทั้งสามศพที่เป็นหน่วยแพทย์ เพราะวันนั้นเราเป็นหัวหน้าทีม คนที่จะตายต้องเป็นเรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ลูกของคนอื่น ลูกสาวควรได้กลับไปหาแม่ ลูกชายควรได้กลับไปหาพ่อ บัณฑิตที่เรียนจบแล้วควรได้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อดูแลพ่อแม่เขา

ไม่ได้มีความหวังเลยใช่ไหมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดปทุมฯ

ถามถึงความหวัง เราเป็นศูนย์เลย หลายคนบอกว่า มีสหประชาชาติ มีศาลอาญาระหว่างประเทศ จะเข้ามา อยู่ไหนล่ะ เห็นแต่ประชาชนทั้งนั้นที่ดึงกัน มีแต่ประชาชนที่ช่วยเหลือกัน ยื่นมือให้กัน ไหนล่ะองค์กรที่จะเข้ามาช่วยเรา จนปัจจุบัน คนที่ออกมาเรียกร้อง คนที่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความจริง ทุกคนติดคุกหมด ยิ่งจับพวกเขา ความจริงมันจะหายไปจากตรงนั้นไหม ก็ไม่…

  ภาพและเสียง ทุกสิ่งที่ผ่านมาไม่เคยหายไป มันไม่เคยลบเลือน เป็นสิ่งที่อยู่กับเราตลอด ไม่เคยหายไปไหน เหมือนกับว่าเราเจอแล้วนะ เราอยู่แล้วนะ เราต้องระวังให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มีหน่วยแพทย์บาดเจ็บล้มตาย มีประชาชนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เขาบาดเจ็บ เราไม่ต้องการให้ใครที่ออกมาบนฟุตบาท ออกมาบนท้องถนน บาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปแม้แต่คนเดียว 

เราไม่ต้องการถามว่ารัฐบาลช่วยอะไรไหม เพราะรัฐบาลไม่เคยช่วยอะไรประชาชนเลย ไม่เคยคุ้มครองประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเองเลย มีแต่ประชาชนที่คอยช่วยกันเอง

เคยคิดอยากโต้ตอบด้วยการใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงแบบอีกฝ่ายบ้างไหม

ถ้าล้างแค้นด้วยความรุนแรง อย่างไรก็ไม่จบ เรายังมีความเชื่อในใจลึกๆ ว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่จริง คนที่เขาไล่ฆ่าเรา เขาควรได้รับโทษตามกฎหมาย เรามองว่าการรับโทษภายใต้กฎหมายเป็นแนวทางสันติวิธีที่สุด แต่เราเรียกร้องมาแล้ว 12 ปี เราไม่เคยได้เลย เรายืนยันตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้ายว่า ไม่เอาความรุนแรง ไม่เอาทุกอย่างที่ก่อให้เกิดความรุนแรง แต่อย่างการด่า เราก็ยังด่านะ ด่าไปแล้วแม่มันตายไหม… ก็ไม่ เห็นคนตายก็มีแต่พวกเรา คนติดคุกก็มีแต่พวกเรา ถามว่าออกมาแล้วด่าอีกไหม ก็ด่าอีก เพราะเราอยากให้ดีขึ้น คนอย่างตระกูลมึง สายเลือดมึง ไม่ตบไม่ตี ก็ไม่ดีขึ้นหรอก ถึงกูจะยังด่าอยู่ แต่ไม่เคยคิดจะเอาปืนไปยิงมึงให้ตาย

เราเชื่อว่าผลกรรมกำลังตามติดคนที่สั่งฆ่าตลอดไป เราได้แต่ด่าแช่งให้พวกมันมีชีวิตที่ยืนยาว อยู่ดูความวิบัติล่มจมของลูกหลานตัวเองที่ก่อกรรมไว้ อย่าตายง่ายๆ นะ

คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพยานปากเอกให้กับผู้เสียชีวิต 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ได้อย่างไร

วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เสธ.ไก่อู (พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน: ศอฉ.) มีการแถลงว่า ขณะที่เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่วัดปทุมฯ ในเต็นท์พยาบาล พบว่ามีถังดับเพลิง มีอาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในนั้นจำนวนมาก อันนี้เรายอมไม่ได้ ถ้าเรายอม แสดงว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง และไปสร้างความชอบธรรมให้พวกเขาทันที เขาบอกเต็นท์ยามีอาวุธ เราเลยเอาคลิปที่น้องกมนเกดเสียชีวิตมาเผยแพร่ มาต่อสู้กับเขาว่าที่คุณใส่ร้ายเรามาไม่เป็นความจริง

วันที่ 23 พฤษภาคม 2553 เราวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทยเป็นที่แรกเลย เราเข้าไปเปิดตัวครั้งแรกเลยในฐานะพยาน 6 ศพวัดปทุมฯ พร้อมเปิดหลักฐานเอกสารกระสุนปืน และคลิปที่เราถ่ายไว้ ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะต้องออกมาร้องเรียกความเป็นธรรมให้เพื่อน

ภายหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ตัดสินกรณีนี้แล้วว่า กระสุนมาจากทหาร แต่ก็เอาผิดใครไม่ได้เลย เป็นเพราะอะไร

ศาลอาญากรุงเทพใต้ตัดสินมาแล้วว่า ศพทุกศพโดนกระสุนปืนที่เป็นอาวุธสงครามที่ใช้ในการทหาร และทุกศพเป็นการตายผิดธรรมชาติ ที่มีกระสุนยิงเข้ามาในร่างกายที่สูงกว่าหัวเข่า เป็นคำตัดสินที่เราพอใจว่าทหารหน่วยไหนคือผู้ยิง และใครเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยทหารเหล่านั้น เราพอใจแล้ว ได้รับความเป็นธรรม เพราะศาลตัดสินมาแล้วว่าทหารเป็นคนยิงประชาชน

จนปี 2557 มีการยึดอำนาจ พอปี 2558 เราโดนใส่ร้ายว่าเป็นคนไปปาระเบิดหน้าศาลอาญา ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถูก คสช. อุ้มเข้าค่ายทหาร จนปี 2560 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้รับคำสั่งจากศาลทหารให้นำคดีเสียชีวิต 99 ศพ กลับมารื้อฟื้นไต่สวนใหม่ โดยไต่สวนที่ศาลทหาร กทม. ไต่สวนโดยทหาร ยกฟ้องโดยทหาร จับพยานไปขังคุก ซึ่งเราอยู่ในฐานะผู้ฝากขัง เรายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ไม่ใช่ผู้ที่กระทำความผิด และไม่ใช่ผู้ผิด แต่เราอยู่ในชุดนักโทษที่เขาเอาเราไปฝากขังไว้เพื่อรอพิจารณาคดี

คุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีระเบิดหน้าศาลอาญา ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ได้อย่างไร จนเขาต้องจับกุมคุณ

เป็นการวางแผนสร้างความชอบธรรมให้ทหาร เป็นเหตุผลเดียวที่เราพอจะมองออก ทหารหรือองคาพยพของเขาที่ทำความผิด เขาต้องการสร้างความชอบธรรมให้ตัวเขาเองโดยที่ไร้มลทินมัวหมอง เขาคงอยากให้เหตุการณ์ปี 2553 เป็นความลับตายไปกับปี 2553 ทั้งหมด นี่คือเจตนาที่เขาไม่อยากให้ใครพูดถึงประวัติศาสตร์ตรงนั้น ห้ามใครเผยอหน้าขึ้นมาพูด ถ้าพูดก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขในประเทศนี้เหมือนที่เราโดนอยู่ทุกวันนี้

วันที่ 11 มีนาคม 2558 อยู่ดีๆ เราเจอข้อหาในคดีร่วมกันเป็นอั้งยี่ พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอาวุธสงครามทางการทหารไว้ในครอบครอง ผิดกฎหมาย ซึ่งเราโดนจับไปขังคุก 3 ปีเศษ เรายังไม่รู้เลยว่า อาวุธสงครามที่เขากล่าวหาเราหน้าตาเป็นอย่างไร

เขาบอกว่าสืบมาจากชายชุดดำที่เป็นคนปาระเบิดทำให้ พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต คนละเรื่องกันเลย เราไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เรายินดีสู้คดีทุกรูปแบบ แม้ว่าจะมีการต่อรองเข้ามา เขาบอกเราว่า ถ้าสู้คดีหนักนะ เรายินดีสู้อยู่แล้ว เพราะประวัติเราขาวสะอาด เราไม่เคยยุ่งเรื่องยาหรืออะไรผิดกฎหมายอยู่แล้ว

สรุปว่าใครที่ถืออาวุธสงครามในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ทหารไง ทหารทั้งนั้นแหละที่ถืออาวุธสงคราม ประชาชนจะเอาปัญญาที่ไหนไปถือ เขาจับเราไป จะให้เราเป็นพยาน เราบอกว่าเราไม่รู้จักใครเลย จะเป็นพยานให้ใครได้ เขาบอกต้องเป็นพยานเพื่อให้พยานซัดทอดกันเอง ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าโดนจับมากี่คน มารู้อีกที เราและพวกรวม 6 คน โดนจับเข้าคุกแล้ว เและมีคดีแยกย่อยอีกที 14 คน เบ็ดเสร็จคนที่อยู่ในขบวนการที่เขาจับมามี 18 คน

แล้วที่คุณโดนคดีมาตรา 112 เป็นมาอย่างไร

ตอนนั้น เราอยู่ในค่ายทหาร โดนมัดมือปิดตาอยู่ในห้อง แล้วเขาเอาโทรศัพท์เราไปต่อยอด เอาโทรศัพท์เราไปเป็นนกต่อ เขายึดโทรศัพท์ เอาไอดี รหัสอีเมล เฟซบุ๊กทุกอย่าง เราก็ให้ไปหมด เพราะเราบริสุทธิ์ใจ 

ท้ายที่สุด ในวันที่เราอยู่ในค่ายทหาร มีการส่งข้อมูลออกไปว่า เราคุยในกลุ่มไลน์ ในกลุ่มมีคนไม่ถึง 10 คน มีการพูดคุยถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เราก็สู้จนศาลยกฟ้อง แต่เป็นการยกฟ้องแบบเทาๆ ศาลก็ยังสงสัยอยู่ว่าเราเป็นบุคคลล้มเจ้า เป็นบุคคล 112 ถามว่า เราจะไปล้มเจ้าเพื่ออะไร เราล้มเจ้าแล้วเราได้อะไร แต่ในความเห็นเราก็เหมือนกับคนอื่นๆ คือสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่แท้จริง คือวิจารณ์ได้ พูดถึงได้

จากคนที่ไม่สนใจการเมืองเลย และได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา จนถึงม็อบรุ่นใหม่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนตัวตนของคุณไปมากน้อยแค่ไหน

เปลี่ยนไปเยอะมาก จากคนเดียวทำให้เราสามารถสร้างคนได้กว่า 500 คนที่แทนที่คนอย่าง ‘พี่แหวน’ ได้ เปลี่ยนจากเราเป็นทีมพยาบาลอาสาแค่ 5 คน 10 คน จนเราสามารถสอนปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับประชาชนที่อยู่หน้างาน อยู่ในภาคสนาม จนสามารถช่วยเหลือคนในชุมชนหรือคนในครอบครัวได้ มันเปลี่ยนให้เราคิดเยอะขึ้น รอบคอบขึ้น และเปลี่ยนให้เรามีวิธีการรับมือกับภาครัฐที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน

ในฐานะที่เข้าร่วมกับประวัติศาสตร์ของคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ถึงทุกวันนี้ คุณคิดว่าคนเสื้อแดงเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม

ถามถึงสายธารคนเสื้อแดง คนที่ร่วมต่อสู้กันจริงๆ มีทั้งล้มหายตายจาก ทั้งเปลี่ยนอุดมการณ์ ทั้งหนีออกนอกประเทศ ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เรามองคำว่า ‘เสื้อแดง’ เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์นะ คนเสื้อแดงคือกลุ่มบุคคล คือกลุ่มวีรชนที่ควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง เขามาเรียกร้องหีบบัตรเลือกตั้ง แต่เขาได้หีบศพ แล้วเราลองมองย้อนเข้าไปลึกๆ ว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้น จากเราที่เป็นพวกอิกนอร์ ทำให้เราหันกลับมาเจอคำที่เราสงสัย เขามีแค่มือเปล่า เขามีแค่ขวดน้ำ พัดลม หม้อหุงข้าว แต่ทำไมเขาได้รับการกระทำที่มันป่าเถื่อนอะไรขนาดนั้น

คนที่หักหลังคนเสื้อแดง กล้าก้าวขาออกจากคนเสื้อแดง นั่นคือสิทธิของคุณ แต่สิ่งที่คุณหลงเหลืออยู่เป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ อุดมการณ์ที่คุณมีมากพอกับศักดิ์ศรีของคุณ แต่คุณยอมที่จะขายมันไป

แสดงว่าปัจจุบันมีคนเสื้อแดงที่เปลี่ยนสีไปแล้ว

เยอะมาก เพราะเรื่องปากท้องทั้งนั้นเลย แต่ถามว่าก่อนหน้าที่เขาจะก้าวมาเป็นคนเสื้อแดง ตัวเขาเองมีจุดยืนอะไร ปลุกระดมออกมาให้คนตาย ปลุกระดมคนรากหญ้าให้ออกมาตายเคียงบ่าเคียงไหล่เขา แต่วันหนึ่งคุณเปลี่ยนไป คุณบอกว่าคุณเองได้รับบทเรียน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ครอบครัวร้าวฉาน ไม่มีกินไม่มีใช้ เพราะไม่มีกินไม่มีใช้หรือ คุณถึงเปลี่ยนอุดมการณ์? แล้วตั้งแต่วันแรกที่คุณเข้ามา คุณรับจ้างเข้ามาใช่ไหม พอวันนี้ไม่มีคนจ้างคุณให้เป็นเสื้อแดงต่อ คุณถึงได้ขายจิตวิญญาณไป อย่าเอาคำว่าเสื้อแดงมาต่อยอดหากินในวันที่คุณเปลี่ยนไปแล้ว

คุณแหวนคิดว่าคนเสื้อแดงยังเกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ชินวัตร อยู่ไหม

แยกกันไม่ออกเลย ระหว่างเสื้อแดงกับทักษิณ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษิณ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง เขาเป็นคนที่รักประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เป็นคนที่ดีลเก่งมากคนหนึ่ง และเขาก็เป็นกุนซือให้กับคนเสื้อแดง และเขาก็ทำให้ประชาชนทั้งประเทศลืมตาอ้าปากได้ สิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศไม่ลืมเขาเลย คือเศรษฐกิจของคนชนชั้นรากหญ้าดีขึ้น จะบอกว่าทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่คู่กันมาอยู่แล้ว

คิดอย่างไรกับคำครหาว่า คนเสื้อแดงยุคนี้มีลักษณะเหมือน ‘สลิ่มเฟส 2’

คำว่าสลิ่มเฟส 2 มันเป็นตรรกะที่คนคนหนึ่งตั้งขึ้นมา เหมือนเด็กทะเลาะกันแล้วเถียงสู้กันไม่ชนะ ก็หาวาทกรรมใหม่ๆ มาด่ากัน ถามว่ามันย้อนแย้งไหม ย้อนแย้งกับสิ่งที่เป็นนะ ยามศึกเรารบยามสงบเราจับดาบมาฟาดฟันกันเอง มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

การต่อสู้และการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี แต่เรามองว่า ไม่มีใครหรอกที่อยากจะมาทะเลาะกับฝ่ายเดียวกัน แต่มันเป็นการสร้างวาทกรรมให้สลิ่มสะใจมากกว่า อีกฝ่ายอยากเอาทักษิณกลับมา อีกฝ่ายก็อยากจะปฏิรูปสถาบันฯ ให้ได้ คนที่ตั้งคำถามให้ทุกคนต้องคล้อยตามอันนี้เรียกระบอบประชาธิปไตยไหม ถ้ามีคนขัดแย้งก็ควรที่จะพูดคุยติติงกันได้ เพื่อนกันต้องเตือนกันได้ เดินเส้นทางเดียวกัน ถนนมันกว้าง ตรงไหนมีหลุมก็เตือนกัน ตรงไหนมีเหวก็ดึงกันขึ้นมา ส่งเชือกให้เพื่อน ไม่ใช่ถาโถมใส่เพื่อน แล้วบอกว่า มึงไม่เอนเอียงฝ่ายกู มึงไม่มาแนวเดียวกับกู เท่ากับมึงเป็นสลิ่ม แล้วถามว่าทำไปคุณได้อะไร ทุกคนที่ออกมาเรียกร้องบนถนนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด

เรามาช่วยกันเรียกร้องให้เพื่อนเรา 99 ศพ ดีกว่ามาทะเลาะกันเอง ถามว่าคุณใช้วาทกรรมมาสร้างความขัดแย้งเพื่ออะไร แล้วมันเดินหน้าได้ไหม… มันเดินหน้าไม่ได้

เสื้อแดงบางคนเปลี่ยนไปตั้งแต่กระสุนนัดแรกแล้วที่ได้ยิน ที่คุณเชียร์ให้เขามาบนท้องถนน คุณจะรับผิดชอบเขาอย่างไร ความเป็นธรรมก็ยังหาไม่เจอ 99 ศพได้รับความเป็นธรรมแล้วหรือยัง ก็ยัง 6 ศพในวัดปทุมฯ ก็ยัง ทั้งๆ ที่เราสู้จนได้รับความเป็นธรรม แต่สุดท้ายเขาจับพยานไปอยู่ในคุกเพราะขาดความชอบธรรม

คุณบอกว่า คนเสื้อแดงก็มีการเปลี่ยนไปแล้ว ม็อบคนรุ่นใหม่หรืออีกหลายฝ่ายจะยังคงเชื่อมั่นในคนเสื้อแดงได้อีกไหม

ขอให้เชื่อมั่นเป็นบางกลุ่ม อย่างที่ตั้งคำถามไปตั้งแต่ตอนต้นว่า คุณเอาอะไรชี้วัดคนเสื้อแดง ถ้าอุดมการณ์เขายังอยู่ ถ้าเสื้อแดงที่เขาสวมใส่ยังศักดิ์สิทธิ์พอก็ให้ร่วมกับกลุ่มนั้น ใช้แนวทางสันติวิธีที่สุดเท่าที่มีได้

คนที่เป็นเสื้อแดงจริงๆ ความฝันความหวังของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนะ ไม่มีใครเปลี่ยนอุดมการณ์ของคนเสื้อแดงได้ ไม่มีใครมาเปลี่ยนใจคนเสื้อแดงได้ ไม่มีใครมาชี้นิ้วให้คนเสื้อแดงถอดเสื้อแดงออกจากตัวเขาได้ ไม่มีใครมาล้างเลือดคนเสื้อแดงให้เลือดกลายเป็นสีน้ำเงินหรือสีเหลืองได้ เลือดคนเสื้อแดงก็ยังเป็นสีแดงเหมือนเดิม และมีอีกหลายกลุ่มที่ร่วมสู้ไปกับเด็กจนทุกวันนี้

ในม็อบรุ่นใหม่ มีการนำข้อความหรือสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงมาใช้ เป็นเหมือนการส่งต่อแนวคิดและอุดมการณ์ คุณเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร

เราเห็นประวัติศาสตร์ที่ถูกพูดถึง เราเห็นคนรุ่นใหม่ที่เขาศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนที่เขาจะก้าวออกมาต่อสู้ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงจากคนแก่เป็นต้นกล้า กล้าก้าวขาออกมาแล้วบอกว่า ‘ที่ตรงนี้เคยมีคนตาย’ ออกมาพูดเรียกร้องในสิทธิและเสรีภาพเหมือนที่คนเสื้อแดงเคยออกมาเรียกร้อง พวกเขาไม่อยากให้เหตุการณ์ พฤษภาฯ 2553 ต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนที่พวกเราเคยเผชิญ

 การที่คนยังตะโกนว่า ‘ที่นี่มีคนตาย’ มันมีความหมายต่อคุณมากแค่ไหน

เรามองว่ามีความหมายกับเรามาก เรามองว่าเรามีความหวัง คนรุ่นใหม่เขารู้จัก 6 ศพวัดปทุมฯ เด็กที่อยู่ ป.6 รู้ว่ามีหน่วยแพทย์ที่โดนทหารยิงตาย เราได้ยินแบบนี้เรามีความหวังว่า สักวันความเป็นธรรมคงมีอยู่จริง และยังคงเรียกหามันได้อยู่ ซึ่งไม่ใช่ความเป็นธรรมที่ผ่านการดีลของใคร แต่เป็นความเป็นธรรมที่บริสุทธิ์จริง มีคนผิดจริง มีคนสั่งฆ่าจริง เหนือสิ่งอื่นใดมีคนที่ตายตรงนั้นมากกว่า 6 ศพ

ครบรอบ 12 ปีของเหตุการณ์พฤษภาฯ 2553 กับสิ่งที่รัฐกระทำต่อประชาชน คุณแหวนทบทวนและได้ข้อสรุปกับเรื่องนี้อย่างไร

สิ่งที่รัฐทำกับประชาชนต้องมองว่ารัฐไหน ต้นตอไม่ได้อยู่ที่รัฐ แต่ต้นตอคือระบบโครงสร้าง ต้นตออยู่ที่เสาเข็ม ไม่ได้อยู่ที่หลังคา บ้านที่ลงเสาเข็มไว้แล้วแต่กลัวเรื่องปลวกไปเจาะ หากเสาเข็มคุณเป็นเหล็กแล้ว แต่ก็ยังมีการกำจัดปลวกอยู่อีก แล้วจะหาความยุติธรรมมาจากไหน คุณกลัวไปไหมถ้าโครงสร้างดี เป็นเหล็ก ไม่มีปลวกตัวไหนสามารถแทะเหล็กได้ ถ้าคุณไม่ทำให้มันกัดได้ 

ต้นตอคือปัญหาโครงสร้าง ไม่ว่าจะกี่ร้อยรัฐบาลถ้าโครงสร้างเหมือนเดิม ความเป็นธรรมก็ไม่เคยมี

เรายังเรียกร้องอยากให้ทุกคนได้รู้ถึงเหตุการณ์นี้ มันคือสิ่งที่เราอยากประกาศให้โลกรู้ มันเป็นสิ่งที่เราอยากให้สังคมได้รู้ ทุกคนๆ ที่ออกมาชุมนุมและหน่วยแพทย์ที่ตายไป พวกเขายังไม่เคยได้รับความเป็นธรรม ตัวเราเองถูกกระทำ ไม่เป็นไร เรายินดีรับการถูกกระทำนั้น มันควรเป็นเราที่ตายไม่ใช่ลูกคนอื่นตาย แล้วกับสิ่งที่เราโดนกระทำทุกวันนี้ มันน้อยกว่าสิ่งที่ครอบครัวเขาได้รับ แล้ววันหนึ่งถึงวันเกิดลูกของใครสักคน แต่มันเป็นวันเกิดที่ไม่มีลูกเขาอยู่ พอมาถึงวันหนึ่งเป็นการรำลึกของคนทั้งเมือง เป็นการรำลึกของคนกลุ่มหนึ่ง แต่มันเป็นวันตายของลูกเขา ซึ่งที่จริงมันควรจะเป็นเรา การที่เขามาต่อว่าเรา เราไม่โกรธนะ แต่เราอยากอธิบายให้สังคมฟังว่าเราทำเต็มที่แล้ว

สุดท้ายแล้วคุณแหวนพบตัวน้องชายในที่ชุมนุมตอนนั้นไหม

ในที่สุดเราก็เจอน้องชาย ในวันที่ 12 สิงหาคม ปี 2553 เพราะเขาดูจากข่าวว่าเรามาหาเขาในม็อบคนเสื้อแดง ซึ่งวันที่น้องโทรมาหาเราว่าเขาปลอดภัยดี วันนั้นเรามีความสุขมากที่สุด และความหวังของแม่ของเรากลายเป็นความจริง

Fact Box

  • คนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่
  • 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลประกาศสลายการชุมนุมของ นปช. หรือคนเสื้อแดง ภายหลังเหตุการณ์นั้น มีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจาก 2 แหล่งสำคัญคือ รายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) รายงานว่ามีผู้เสียชีวิต จำนวน 92 ราย บาดเจ็บไม่น้อยกว่า 1,500 ราย แต่รายงานจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม (ศปช.) ซึ่งจัดทำโดยภาคประชาชน สรุปว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างน้อย 94 ราย แต่ในขณะเดียวกันมวลชนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้นเชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 99 ราย เนื่องจากมีผู้มาร่วมชุมนุมหลายพัน จนถึงวันนี้ตัวเลขของผู้เสียชีวิตยังคงไม่แน่นอนและทั้งหมดอาจเป็นแค่ตัวเลขผู้เสียชีวิตขั้นต่ำ
  • การสลายการชุมนุมในครั้งนั้นมีการใช้กระสุนจริง 111,303 นัด โดยในวันสลายการชุมนุม มวลชนประกาศยอมแพ้ แต่ไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้ คนส่วนหนึ่งหนีเข้าไปในวัดปทุมวราราม ที่ถือเป็น 'เขตอภัยทาน' แต่อาสาพยาบาลที่อยู่ในเต็นท์กาชาดภายในวัดกลับถูกยิงเสียชีวิต ร่างของเธอมีกระสุนฝัง 11 นัดและยังมีอีก 5 รายที่ถูกยิงจนเสียชีวิตในวัดเช่นกัน
  • ภายหลังจากเหตุการณ์นั้น 'แหวน' - ณัฏฐธิดา มีวังปลา ได้เดินทางไปยังพรรคเพื่อไทยเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายในวัดปทุมวราราม และในปี 2558 เธอถูกจับกุมด้วยความผิดฐานอั้งยี่ ครอบครองอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ แต่สุดท้ายศาลมีคำสั่งให้ยกฟ้องทั้งหมด
Tags: , , , , , ,