‘อะไรที่ไม่เคยได้เห็น ก็จะได้เห็น’ 

คงเป็นคำบรรยายโลกยุคปัจจุบันที่ไม่ผิดฝาผิดตัวนัก ทันทีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีคนใหม่หน้าเก่า หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในระยะเวลาเพียง 50 วัน แต่กลับสร้างแผ่นดินไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ แบบสั่นสะเทือนและพลิกระเบียบโลกตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

เปิดฉากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ด้วยการทำลายกล่องดวงใจของโลกอย่างการระงับความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ประกาศสงครามการค้า หันหลังให้กับเพื่อนตายอย่างยุโรปและแคนาดา พร้อมประกาศครอบครองกรีนแลนด์ คลองปานามา และกาซา ไปจนถึงการหยิบนายทุนใกล้ตัวอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี มอบอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ก่อนจะเซอร์ไพรส์คนทั้งโลกด้วย ‘ละครน้ำเน่า’ กลางทำเนียบขาว หลัง โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ผู้นำยูเครน รับบท ‘เหยื่อ’ ทางอารมณ์ของทรัมป์ ที่หันไปญาติดีกับรัสเซีย ประเทศผู้รุกราน และมีผู้นำที่ถูกตราหน้าในฐานะอาชญากรสงครามอย่าง วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) 

เมื่อผู้นำตระบัดสัตย์ ปรากฏการณ์รีพับลิกันอกหักเพราะเชียร์ทรัมป์จึงตามมา บ้างพยายามหาคำแก้ตัวหรือถอยห่างจากหน้าโซเชียลฯ แต่บางคนก็มีความกล้าหาญ เลือกที่จะออกมายอมรับตรงๆ ว่า ผู้นำสหรัฐฯ คนนี้หมดความชอบธรรมไปนานแล้ว เช่นเดียวกับ ปลื้ม-หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดังฝีปากจัดจ้าน โผงผาง ขึ้นชื่อในเรื่องตรงไปตรงมา เขาเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ในประเทศไทยไม่กี่คนที่ออกมายอมรับว่า วันนี้ตนเอง ‘ตาสว่าง’ แล้ว ถึงเวลาที่ผู้นำคนนี้จะออกไปจากตำแหน่ง เพราะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนเมื่อตอนหาเสียง

ด้วยกระแสต่อต้านทรัมป์ไม่หวาดไม่ไหว ผสมผสานกับความร้อนแรงของการเมืองโลกตามลูกบ้าของผู้นำอเมริกา The Momentum จึงชักชวนคุณปลื้มมาชำแหละผลงาน และวิธีคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้ ในวันที่ทรัมป์และรีพับลิกันทำตัว ‘ไม่น่าปลื้ม’ อีกต่อไป

ในหน้าสื่อ เรารู้จักคุณในฐานะคนที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน จริงๆ แล้วจุดยืนทางการเมืองของคุณเป็นแบบนั้นไหม 

จริงๆ แล้วผมมองว่า ตนเองเป็นคนพากย์ข่าวการเมืองให้พี่น้องประชาชนฟัง เหมือนกับเวลาดูกีฬา ก็จะมีคนซึ่งคอยพากย์เนื้อหา เล่าเนื้อหาที่เกิดขึ้นบนเวทีให้ผู้ชมฟัง สมมติมีคน 2 คนพากย์มวยอยู่ แต่มีคนหนึ่งเล่าว่า นักมวยชกหมัดประเภทอะไรไปที่นักมวยอีกคนหนึ่ง คำอธิบายที่คุณเรียกคนๆ นั้น คือ Straight Reporter หรือเป็นคนที่เล่าตามเนื้อหา ซึ่งสำหรับผมคนประเภทนี้ ถ้าอยู่ในหน้าการเมืองก็คือผู้ประกาศข่าว หรือนักข่าวปกติที่เล่าเนื้อหาให้ผู้ชมเข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร 

แต่ตัวผมเปรียบเสมือนสิ่งที่คนเขาเรียกกันว่า Color Commentator เป็นส่วนเสริมให้กับ Straight Commentator ใส่สีสันเนื้อหาเพิ่มเติมให้มีความสนุกสนานในการวิเคราะห์ ทำให้ข่าวสารน่าติดตาม เปรียบเทียบได้ว่า ในเวลาที่มีคนพากย์มวยหรือฟุตบอลให้คุณฟัง ใส่แพสชัน ใส่ความรู้สึก หรือมีมุมมองวิเคราะห์ที่เชียร์ทีมใดทีมหนึ่ง ผมนี่แหละคือ Color Commentator ในภาคการเมือง นี่คือสิ่งที่ผมทำตลอด 20 ปีที่ผ่านในการเมืองไทย ต่างประเทศ และสหรัฐฯ

เพราะฉะนั้น ในฐานะ Color Commentator ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และทำเหมือนว่าสนับสนุนหรือเชียร์คนใดคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในคู่แข่ง มันเป็นการนำเสนอมุมมองให้มีอรรถรสในมุมของผู้ฟัง ผมมองว่าการที่ตนเองเลือกข้างการเมือง เพราะบทบาทนี้ช่วยให้คนที่ติดตามได้รับข้อมูล และความบันเทิงไปพร้อมกัน

ในสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปเล่าข่าวทั้งที่ Newsline ภาคภาษาอังกฤษ หรือตอนอยู่ช่อง 3 ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ผมเคยให้สัมภาษณ์มติชนว่า ผมเป็น News Entertainer ผมเอาข่าวสารไปผสมการให้ความบันเทิง เพราะฉะนั้นเวลาเล่าข่าวเกี่ยวกับอเมริกา ผมรู้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ติดตามสื่อกระแสหลัก ซึ่งชอบวาดภาพพรรครีพับลิกันออกมาให้ดูไม่ค่อยดี เหมือนเป็นพรรคฝั่งขวาของสหรัฐฯ คือ มีนโยบายไม่เสรีนิยม ไม่ก้าวหน้า ขณะที่พรรคเดโมแครตเป็นพรรคที่มีค่านิยมเหมาะสมและเสรีกว่า ทำให้ผมก็ต้องวิจารณ์การเมืองด้วยการเลือกข้าง 

เหมือนกับการเมืองไทย มันมียุคสมัยที่มวลชนสนับสนุนและชักจูงให้ทหารทำรัฐประหาร ผมคือ Color Commentator ที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตย พยายามจะตีประเด็นต่างๆ และทำให้ผู้ชมที่ติดตามรายการของผม ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่สมัยเรื่องเล่าเช้านี้, The Daily Doses หรือ Wake Up Thailand ให้คนติดตามรู้สึกอิน

ในมุมของการเมืองไทย ผมเป็น Color Commentator ฝั่งประชาธิปไตย แต่ในการเมืองสหรัฐฯ ผมเป็น Commentator ฝั่งอนุรักษนิยม เพราะพรรคอนุรักษนิยม ไม่ว่าจะเป็นพรรครีพับลิกันหรือพรรคอื่นๆ ในยุโรป จะถูกมองจากสื่อกระแสหลักสากลโลกว่า เป็นฝ่ายอธรรม ผมจะใช้คำนี้เพราะเติบโตมากับวงการมวยปล้ำ คนจะมองว่าฝ่ายหนึ่งดี อีกฝ่ายร้าย อีกฝ่ายธรรมะ ฝ่ายหนึ่งอธรรม 

เช่นเดียวกับการเมืองต่างประเทศ พรรคอนุรักษนิยมฝ่ายขวาถูกมองว่าอธรรม เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ผมก็ต้องวิจารณ์ขวางโลกหน่อยๆ ให้มีความสนุกๆ และน่าติดตาม นี่คือเหตุผลที่ผมนำเสนอข้อมูลแบบที่ทำมาโดยตลอด เพื่อเปิดมุมคิดอีกมุมหนึ่งที่คุณคงไม่ได้คิด ถ้าติดตามจากสื่ออื่น 

ถ้าจะบอกว่าทำไมผมแสดงความคิดเห็นให้ไม่เป็นกลาง เพราะมันเป็นวิธีการหนึ่งในการนำเสนอข้อมูล ทำให้ผู้ชมสนุกสนานมากกว่า แทนที่นำเสนอแบบจืดๆ ซึ่งคนทำเยอะอยู่แล้ว 

ความเป็นพรรครีพับลิกันคืออะไรในมุมของคุณ

ความเป็นพรรครีพับลิกันขึ้นกับแต่ละยุคและสมัย ถ้ายกตัวอย่างในอดีตพรรครีพับลิกันเห็นด้วยกับการค้าเสรี และไม่เอาการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่นักธุรกิจสนับสนุนรีพับลิกันส่วนใหญ่ เพราะการค้าเสรีที่ไม่มีการเก็บภาษี เอื้อประโยชน์กับธุรกิจรายใหญ่ในสหรัฐฯ รวมถึงเป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศใหญ่ เพราะบริษัทค้าขายสินค้าระหว่างประเทศ มีศักยภาพในการแข่งขันกับบริษัทท้องถิ่น อิงตามทฤษฎีขั้นพื้นฐานในเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศเลย

แต่ในเวลานี้ รีพับลิกันกลายเป็นพรรคที่อยู่ภายใต้ทรัมป์เต็มๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรัมป์ต้องการ นักการเมืองในฝั่งพรรคหลายคนก็พร้อมจะเอาด้วย มันกลายเป็นว่า พรรคอยู่ภายใต้คนคนเดียว วาทกรรมและนโยบายของเขากลายเป็นสิ่งที่คนในรีพับลิกันต้องคล้อยไปตามกัน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนมนต์ขลังของผู้นำพรรคในยุคนี้ ซึ่งก็คือทรัมป์ที่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่สามารถสะกดจิตแกนนำพรรค นักธุรกิจที่หนุน GOP (Republican Grand Old Party) แม้กระทั่งเครือข่ายนักการเมืองรีพับลิกันหลายคน ที่ปกติแล้วไม่เอาด้วยกับนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า เพราะทุกคนรู้ดีว่า มันนำมาซึ่งมาตรการตอบโต้ขั้นรุนแรง และทำให้ธุรกิจสหรัฐฯ เสียหาย 

เพราะฉะนั้นในยุคนี้ รีพับลิกันกลายเป็นพรรคของทรัมป์ และจะเป็นแบบนี้ไปสักพัก จนกว่าประธานาธิบดีจะพิสูจน์ให้คนอเมริกัน และนักธุรกิจหลายคนที่สนับสนุนเห็นว่า นโยบายนำเข้าภาษีสร้างปัญหาในแบบที่ทำลายเศรษฐกิจของชาวอเมริกันเอง ลดกำลังซื้อของชนชั้นกลาง เพิ่มราคาสินค้า เพราะขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามาบริโภค

ขยายความคือ อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ มีอุปทานผูกติดกับการค้าขายระหว่างประเทศ (Intergrated Supply Chain) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุคโลกาภิวัตน์อย่างสมบูรณ์แบบ การที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ก็กระทบกับเครื่องบินโบอิงของสหรัฐฯ เพราะกว่าเครื่องบินจะผลิตได้ 1 ลำ ต้องนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์เพียบเลย เช่นเดียวกับค่ายยานยนต์อื่นของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Chrysler หรือ Ford ก็ต้องมานั่งขึ้นราคารถยนต์ที่ขาย ภาษีนำเข้าของทรัมป์ทำให้พลเมืองชาวอเมริกันต้องซื้อของแพงกว่าเดิม ทั้งปุ๋ย รถยนต์ หรือสินค้าที่นำเข้าจากเซินเจิ้นหรือจีน 

อีกเรื่องที่ไม่ดีคือการแสดงจุดยืนสนับสนุนรัสเซียในการรุกรานยูเครน เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฐานเสียงของทรัมป์ไม่พอใจ เขาต้องการให้คุณยุติสงคราม นอกเหนือจากนั้น รีพับลิกันในยุคทรัมป์ก็เอาตามนายทุนเต็มๆ ไม่ได้เป็นผู้นำประชานิยมหรือตามใจประชาชนที่มีฐานะยากจน เช่นทำนโยบายแจกเงิน ขณะที่นโยบายด้านผู้อพยพหรือการเนรเทศที่ทรัมป์บอกว่าจะทำ ถึงเวลาก็ไม่ได้ทำตามที่ขู่ไว้ ไม่มีการเนรเทศคนเยอะไปกว่ายุคไบเดน (Joe Biden) หรือโอบามา (Barack Obama) 

บอกได้ว่า รีพับลิกันเวอร์ชันนี้ไม่ได้เป็นพรรคประชานิยม แต่เป็นคนซึ่งเหมือนเป็นพวกประชานิยมจอมปลอม รับใช้คนเพียงไม่กี่คนรวมถึงตัวทรัมป์เอง และอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ขณะที่มีคนก็กล่าวหาว่า ทรัมป์กำลังเป็นนายหน้าให้กับปูติน หรือรัสเซียในการเจรจากับยูเครน แทนที่จะเป็นนักประชานิยม เอาใจคนยากคนจนสหรัฐฯ กลับสร้างความเดือดร้อนด้วยนโยบายภาษีที่ไม่เข้าเรื่อง นี่คือรีพับลิกันตอนนี้ 

เพราะฉะนั้นถ้าจะตอบคำถาม ผมเชื่อในอีก 4 ปี ข้างหน้ามันจะไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อประชาชนและภาคธุรกิจตาสว่าง เข้าใจว่านโยบายของทรัมป์บางอย่างไม่ดี ไม่น่าจะเป็นนโยบายที่ยั่งยืนได้เลย ถ้าพูดเรื่องทั้งหมดที่ว่ามา มันเป็นช่วงที่รีพับลิกันอ่อนแอ นโยบายไม่เป็นที่ยอมรับ โทษคนอื่นคนใดไม่ได้ ก็ต้องโทษทรัมป์ เพราะเขาทำได้ดีกว่านี้

คุณบอกว่าพรรครีพับลิกันอ่อนแอ แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทั้งทรัมป์และรีพับลิกันได้คะแนนเสียงล้นหลาม ทั้งยึดเก้าอี้ประธานาธิบดีและครองเสียงในสภาคองเกรส 

คืออย่างนี้ เวลาประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เขาต้องการคนที่มีความกระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ มีแรง พร้อมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ประเด็นก็คือว่า บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปในชนิดตรงกันข้ามกับช่วงเลือกตั้ง 

ช่วงก่อนเลือกตั้ง ทัศนคติของชาวอเมริกันทั่วไปและประชาชนของประเทศอื่นในโลกมองว่าอเมริกายุคไบเดนสนับสนุนให้ยูเครนรบกับรัสเซียไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่า การที่ทรัมป์ไม่สนับสนุนยูเครนและสนิทสนมกับปูติน จะทำให้เขาสามารถยุติสงครามด้วยการเกลี้ยกล่อมปูตินได้ นี่คือความหวังสูงสุดของพี่น้องประชาชนชาวยูเครนและอเมริกัน คือความไม่ต้องการให้เกิดสงครามที่ทำให้คนอเมริกันเสียหาย เสียภาษี รวมถึงเสียอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครนด้วย 

นอกเหนือจากนี้ คนโหวตยังเชื่อว่าทรัมป์จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่าไบเดน ซึ่งอยู่ในวัยชรามากและเริ่มช้าแล้ว ขณะที่กมลาเป็นแคนดิเดตที่ไม่มีเสน่ห์พอ การหาเสียงสู้ทรัมป์ไม่ได้ ทรัมป์มีความกระตือรือร้น คนชอบสิ่งนี้ในการเลือกตั้ง เขาต้องการยุติสงคราม ให้ทรัมป์เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และลดหน่วยงานที่ไม่จำเป็น 

นี่เป็นจิตวิญญาณความเป็นอเมริกันในแบบ Tea Party เลย หมายความว่า ถ้าคุณเก็บภาษีไปแล้ว หน่วยงานที่ใช้เงินจากภาษีประชาชนต้องมีความจำเป็น คล้ายๆ กับกระแสของไทยที่เรียกร้องกันว่า การใช้ภาษีประชาชนต้องเป็นโครงการที่จำเป็นและมีประโยชน์ นี่เป็นจิตวิญญาณของความเป็นอเมริกัน 

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ อำนาจจากประชาชนที่รีพับลิกันได้ในรอบนี้ ชัดเจนมากว่าถล่มทลาย พอเข้าไปถึงในทำเนียบ เขาไปขยายและทำเรื่องอื่นที่ไม่ได้รับอำนาจมา มันทำให้คนผิดหวังมาก คะแนนความนิยมตกต่ำ รวมถึงตัวผมที่เคยพยายามอธิบายว่า ถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีอาจจะดีสำหรับอเมริกา แต่สุดท้ายมันไม่ดี 

ขยายความได้ไหมว่า ทรัมป์ทำให้ประชาชนและคุณผิดหวังอย่างไรบ้าง

ทรัมป์ทำ 4 อย่างที่ตรงข้ามกับการหาเสียงไว้ อย่างแรกคือ นโยบายผู้อพยพ ทรัมป์ไม่ได้ส่งหรือเนรเทศคนที่ไม่มีวีซ่าและเดินเข้ามาผ่านพรมแดน ซึ่งตอนนี้ตัวเลขเท่าเดิมหรือน้อยกว่ายุคไบเดนด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไม่มีฉากนั้นเลย หรือการส่งไปเรือนจำอ่าวกวนตานาโม ก็ไม่ได้ส่งและจัดแบบโหดๆ ปรากฏว่า งานด้านผู้อพยพในยุคทรัมป์ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ดันไปเพ่งเล็งคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ชุมนุมต่อต้านสงครามอิสราเอล มีคนอเมริกันคนหนึ่งถือกรีนการ์ด และต่อต้านนโยบายของเนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) คนนี้ก็โดนจับ และอาจถูกส่งกลับประเทศเดิม 

ต่อมาคือการไล่บี้ยูเครน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยกับรัสเซีย คนเลือกให้ทรัมป์ไปบอกปูตินว่า ต้องหยุดถล่มยูเครน แต่รัสเซียก็ไม่ได้ฟังอะไรทรัมป์ แล้วทรัมป์เองก็บอกว่า ปูตินถือไพ่เหนือกว่าในการเจรจารอบนี้ เขาแทบจะยอมรับว่า ตัวเองไม่สามารถบอกอะไรให้ปูตินยุติสงครามได้เลย การไล่บี้แต่เซเลนสกีมันง่าย แต่ไม่ทำอะไรกับปูติน คำว่าไม่ทำอะไรเลยหมายถึงไม่ทำอะไรจริงๆ มาตรการคว่ำบาตรที่มีในยุคไบเดนต่อปูตินก็มีเหมือนเดิมอยู่แล้ว ไม่สามารถเพิ่มอะไรได้ ทรัมป์ไม่สามารถทำให้ปูตินหยุดการสู้รบได้ คือความล้มเหลวอันดับหนึ่ง

อันดับสามคือ ทรัมป์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเล่นงานจีน แปลว่าภาษีนำเข้าที่จะเก็บ การคว่ำบาตรทางการค้า หรือกลั่นแกล้งประเทศใดประเทศหนึ่ง จะจงใจไปที่ศัตรูใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งก็คือจีน เป็นที่รู้กันระหว่างประชาชนชาวอเมริกันที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอยู่แล้วว่า อเมริกามีศัตรูคู่แข่ง 2 ประเทศ คือรัสเซียกับจีน งานของทรัมป์คือการบีบให้รัสเซียหยุดการสู้รบ และสกัดกั้นไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 

คนอเมริกันเขาเชียร์เต็มที่ให้คุณขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนโหดๆ ไปเลย ไม่ต้องปรานี จัดเต็มจีน แต่เรื่องนี้คือจบ ทรัมป์เข้ามาถึงแล้วสติแตก มันเหมือนกับคุณอยู่กับพรรคพวก แล้วคุณมีศึกต้องชำระ คุณมีศึกต้องตะลุมบอน แต่เสร็จแล้ว คุณกลับชกหมัดเปิดเพื่อนทั้ง 6 คน คุณชกอังกฤษ ชกเยอรมนี ชกฝรั่งเศส ชกแคนาดา ชกเม็กซิโก คุณขึ้นภาษีประเทศต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความใกล้ชิดกับคุณที่พร้อมร่วมรบในสงครามด้วยกันได้ คุณชกเพื่อนที่ตายแทนกันได้ อยู่ใน NATO (North Atlantic Treaty Organization) อเมริกาตอนเหนือ เคียงข้างตั้งแต่สงครามปฏิวัติ (Revolutionary War) รบกับอังกฤษ คุณชกเพื่อนคุณหมดเลย 

ไม่มีคนอเมริกันคนไหนในรอบนี้ไปเลือกตั้ง เพื่อให้ทรัมป์ขึ้นภาษีประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีน ไม่มีใครที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจกล้าพูดว่า การเก็บภาษีดีต่อเศรษฐกิจ ไม่มีใครพูดสิ่งนี้สักคน มันเป็นการทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้าทรัมป์ไม่รู้ก็แย่แล้ว นี่เป็นการหลอกประชาชน ทรัมป์ทำตรงกันข้าม มันไม่มีนะนโยบายที่บอกว่า สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีแคนาดา เม็กซิโก เขามีข้อตกลงการค้าเสรีด้วยซ้ำไปว่า ต้องไม่มีการขึ้นภาษีเหมือนอาเซียน ในข้อตกลง USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) มี ทรัมป์ก็เคยเซ็นทิ้งไว้ 

แล้วคนอเมริกันเขาไม่ได้เลือกให้ทรัมป์ไปรบกับ EU (European Union) วันนี้ EU ต้องมีมาตรการตอบโต้ภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี่คือการพลิกอำนาจจากประชาชน จากการที่ต้องไปจัดหนักจัดเต็มกับจีน พลิกบอกว่าจีนไม่ต้องจัดหนัก ขอตบกบาลเพื่อนๆ ก่อน ไม่มีใครให้คุณให้ไปตบกบาลเพื่อนๆ นั่นไม่ใช่หน้าที่ของประธานาธิบดี ประธานาธิบดีมีหน้าที่ดูแลมิตรประเทศให้ดี

ส่วนข้อ 4 คือ การให้บทบาทอีลอนมาเดินหน้าในการปลดเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานต่างๆ ดังที่ไม่เห็นอกเห็นใจคนเลย อีกทั้งยังขาดการลงรายละเอียดในความพยายามลดหน่วยงานรัฐ โดยที่ไปปิดหน่วยงานที่ไม่ควรจะปิด

ถ้ากลับไปประเด็นที่คุณพูดถึง เขาได้ชัยชนะถล่มถลายเพื่อเข้ามาทำเรื่องสำคัญ แต่เขาไม่ทำเรื่องพวกนั้น เขาทำเรื่องอื่นที่ไม่มีใครให้เขาไปทำ จน Fox News และ Fox Business ผู้ประกาศนั่งงงว่า คุณทุบเศรษฐกิจของตนเองเพื่ออะไร คือไม่มีใครไม่รู้ไงว่า เวลาคุณขึ้นภาษีจะป่วนระดับหุ้นต่ำทุกวันแบบนี้ 

เพราะฉะนั้น รัฐบาลทรัมป์ไม่ได้ทำในสิ่งที่พูดไว้ในการหาเสียง และทำเรื่องอื่น ทำแบบหลุดโลก ป่วนทั่วโลกในแบบที่นานปีทีหนจะได้เจอ ป่วนจนผ่านไป 2 เดือน ฝรั่งเศส โปแลนด์ และเยอรมนีบอกว่า เดี๋ยวเราต้องเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ 

คุณรู้หรือเปล่าว่า เขาอุตส่าห์รณรงค์ให้ยุติการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ การที่ทรัมป์ทำให้โปแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศสพูดว่า ต้องสะสมอาวุธนิวเคลียร์ แค่นี้ก็สะท้อนแล้วว่า เป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาทำกันมากี่สิบชาติแล้ว เพื่อให้ยุโรปลดอาวุธ อเมริกาเป็นมหาอำนาจเพื่อให้ยุโรปไม่มีพิษร้ายในมือของตัวเอง เพราะยุโรปเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

คือมันไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้ และมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ Toxic มากนะประธานาธิบดีคนนี้ เขาไม่ได้เลือกให้คุณไปทำทั้งหมดนี้ เขาเลือกให้คุณไปไล่บี้รัสเซียให้หยุดรบ ไม่ใช่ไปไล่ฝรั่งเศส หาเรื่องอังกฤษทุกวันหรือส่งรองประธานาธิบดีไปสวดเยอรมนี 

เพราะฉะนั้น พรรครีพับลิกันแข็งแกร่งก่อนเลือกตั้ง แต่พอผู้นำพรรคนำความไว้วางใจของประชาชนมาพลิกตาลปัตร ทำสิ่งอื่นแทน แต่บอกว่าเขาเลือกให้ผมทำแบบนี้ จบ คือรอบหน้าคุณก็จะได้คนแบบโอบามา คุณทำพรรคพัง เพราะคุณทำให้คนหมดศรัทธา คนที่เชียร์มาก็รับไม่ได้ทั้งนั้น 

แต่ว่าในอีกมุมหนึ่ง ถ้าอยู่ในตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น สส.หรือ สว.ก็ต้องเลียแข้งเลียขาทรัมป์ไปก่อน เขาไม่กล้าสวนไง สมมติผมเคยเชียร์ ผมสลับขั้วง่าย เพราะเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมจึงไม่เชียร์แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นนักการเมืองในพรรครีพับลิกันเอง คุณก็ไม่กล้าสวดหรอก คุณก็ต้องเบาๆ ไปก่อน แต่ไม่มีใครเห็นด้วยในสิ่งที่เขาทำหรอก ไม่มีรีพับลิกันคนไหนบอกว่าภาษีนำเข้าดี ทุกคนรู้ว่าพูดแบบนั้น คือการเลียแข้งเลียขาทรัมป์ เพราะไอเดียนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่ดี 

แล้วบรรดาทั้ง 4 ข้อที่คุณมองว่า ทรัมป์ผิดสัญญากับประชาชน เรื่องไหนคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คุณทนไม่ได้จนออกมาประกาศว่า ตาสว่างและไม่สนับสนุนเขาอีกต่อไป

ทั้ง 4 ข้อเลย ผมคิดว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีหน้าที่ในการเห็นอกเห็นใจรัสเซีย คือถ้าคุณเป็นประเทศเล็กๆ ที่ต้องเลือกข้างระหว่างมหาอำนาจว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน รัสเซีย หรือสหรัฐฯ มากกว่ากัน คุณก็มีสิทธิที่จะทำแบบนั้น 

แต่ในกรณีสหรัฐฯ ทุกคนที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็เข้าใจว่า รัสเซียคือประเทศที่พยายามทำลายสหรัฐฯ มาหลายร้อยปี เป็นคู่อริตลอดกาล ไม่ใช่คู่แข่งด้วยซ้ำไป รัสเซียคือศัตรูของสหรัฐฯ ถ้าเป็นคนอเมริกันแล้วไม่เข้าใจสิ่งนี้ ก็ไม่ใช่คนรักชาติรักแผ่นดิน จีนเป็นคู่แข่งที่เป็นคู่ค้า แต่สำหรับอเมริกา รัสเซียคือศัตรูถาวร ยิ่งกว่าไทยและพม่า ซึ่งรบกันและดีกันได้ แต่รัสเซียกับสหรัฐฯ รบกันไม่ได้ ถ้ารบกันเมื่อไรก็ตายทั้งหมด 

การที่คุณมีประธานาธิบดีที่เห็นใจรัสเซียในขณะที่รัสเซียรุกรานยูเครน นี่คือการทรยศชาติ มันไม่มีทัศนคติอื่น และวันที่ทรัมป์สวดเซเลนสกีในทำเนียบขาว คือวันที่ทรัมป์แสดงตัวตนที่แท้จริง อาจจะมีคนบางประเภทที่พยายามหลอกตัวเองว่า เดี๋ยวทรัมป์ก็จัดหนักปูติน ผมก็รอวันนั้นแหละ ให้เขาเขกกบาลปูติน ถ้ามีวันนั้นผมจะปรบมือให้ เพราะในวันนั้น คุณทำแบบนี้กับเซเลนสกี คุณให้รองประธานาธิบดีซัด แล้วคุณสั่งสอนต่อ ในทางการทูตไม่มีอะไรแรงระดับนั้น นั่นเทียบเท่าการตบกบาล ถ้าเป็นนักเลงนั่นคือการตบกบาล 

ถ้าเกิดทรัมป์สวดปูตินจริงๆ แบบต่อหน้ากับเซเลนสกี เขาจะได้คะแนนเต็มเลย รวมถึงได้คะแนนจากผมด้วย แต่ทรัมป์ไม่ทำสิ่งนั้นหรอก นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนอเมริกันค่อยๆ ตาสว่างกันแล้ว สำหรับทรัมป์ ถ้าไม่ใช่ชอบปูตินโดยการส่วนตัว ก็คือติดหนี้บุญคุณอะไรสักอย่าง

จุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ การมอบอำนาจให้กับมัสก์ คนที่บริจาคเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6,750 ล้านบาท) ให้ทรัมป์ อธิบายก็คือ บริษัทรายใหญ่มักบริจาคเงินเข้าสิ่งที่เรียกว่า Inauguration Committee ซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินการทางการเมือง (Political Action Committee: PAC) มีไว้เพื่อรับเงินให้ประธานาธิบดีใช้เงินตามอำเภอใจ เช่น จัดงานอีเวนต์รับตำแหน่ง บริษัทหลายใหญ่ก็โอนเงินไปคนละล้าน เป็นระบบจ่ายส่วย ไทยก็มี แต่ของสหรัฐฯ เยอะกว่าหน่อย

คนอื่นเขาบริจาค 2-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มันไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ อย่าง ลินดา แม็กแมน (Linda McMahon) ภรรยาของ วินซ์ แม็กแมน (Vince McMahon) เจ้าของนักมวยปล้ำที่ผมชื่นชอบ เขาบริจาคให้ทรัมป์ 2 ล้านดอลลาร์ ถือว่ากำลังดี เขาเป็นรัฐมนตรี และมีความรู้ความสามารถ แต่มัสก์ให้ไป 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับเขา มันเปรียบเสมือนเงินล้านของคนอื่น มีเงินเยอะมากจนพูดง่ายๆ ว่า ซื้อทำเนียบขาวได้ เข้าไปสั่งสอนรัฐมนตรีได้ ส่งทีมงานเข้าไปครอบครองหน่วยงานในสหรัฐฯ แล้วส่งอีเมลหาเจ้าพนักงาน 

สิ่งที่มัสก์ทำทั้งหมดไม่มีความชอบธรรม ไม่มีบรรทัดฐานทางกฎหมายเลย มันผิด เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำกัน เขายืนค้ำหัวประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและต้องใหญ่สุด บทบาทของมัสก์เป็นอะไรที่คนอเมริกันรับกันไม่ได้ เขาถึงบอยคอตต์ Tesla กัน 

ในวันที่การเลือกตั้งผ่านไป 2 สัปดาห์ แล้วรัฐบาลทรัมป์ปล่อยนโยบายพวกนี้ออกมา มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่า งั้นผมก็ไม่ต้องอธิบายให้คนไทยฟังแล้วว่า ทำไมทรัมป์อาจจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะ 4 เรื่องนี้พิสูจน์ว่าเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ

ที่น่าประณามคือทรัมป์ทำประเทศตนเองเสียหาย ไม่ใช่สร้างความเดือดร้อนให้จีนหรือรัสเซีย คุณสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและประเทศ ไปไล่คนออก ผมดู CNN สัมภาษณ์คนรีพับลิกันว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เลือกทรัมป์เข้ามา แต่ไม่รู้ว่าจะโดนไล่ออก กระทรวงศึกษาธิการก็ล่อเข้าไป 1,600 คน ตั้งแต่วันแรก เหลืออีก 2,000 กว่าคนที่รอวันไล่ออก คือมันหนักเกินไป เลือดเย็นเกินไป

คุณตามการเมืองสหรัฐฯ มานาน ถือว่ารู้จักทรัมป์เป็นอย่างดี คิดว่า ทำไมเขาจึงใช้นโยบายขึ้นภาษีกับหลายประเทศ

เรื่องการขึ้นภาษีต้องเน้นให้ชัด เวลานักการเมืองนำมาใช้นโยบายเศรษฐกิจมาใช้ หลายนโยบายมักมีการถกเถียงในแวดวงวิชาการและสื่อสารมวลชนว่า ควรหรือไม่ควรทำ ผมยกตัวอย่างเทียบง่ายๆ กับนโยบายแจกเงินหมื่นของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มันมีมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ที่เถียงกันได้ว่า สร้างพายุหมุนจริงหรือไม่ แล้ว GDP โตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องดอกเบี้ยเถียงกันได้เลยว่า ควรลดหรือไม่

เอาจริงๆ แล้วคุณสามารถเถียงกับทั้งสองฝ่าย ใช้ความรู้ที่มีอยู่ในการดีเฟนด์นโยบาย จะขึ้นหรือลด จะแจกเงินหรือไม่แจก แต่สำหรับภาษีนำเข้า สำหรับคนที่เรียนหนังสือมาทุกคน หรือเรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ว่าจะสำนักไหน เขารู้กันว่า นโยบายนี้จะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อคุณทำเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศที่อยากปกป้อง ความคิดเห็นนี้เป็นฉันทมติในวิชาการ 

พูดง่ายๆ สมมติผมจะปกป้องอุตสาหกรรมไวน์ภายในประเทศ ผมใช้ภาษีนำเข้าเพื่อให้ไวน์จากเมืองนอกแพง ราคาขวดละเป็นหมื่นบาท แต่ผมสนับสนุนกิจการไวน์ในประเทศให้ขายในราคาถูก ประมาณพันกว่าบาท เหมือนกันกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เราเคยมีภาษีนำเข้าจากยุโรปหรือญี่ปุ่น ก็เพื่อให้เขาเปิดโรงงานรถยนต์ในไทย 

นโยบายแบบนี้ใช้ได้ เพราะคุณปกป้องอุตสาหกรรม เป็นจุดยืนสำหรับรัฐบาลไทยในระยะยาวเลยว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ เราจะมีภาษีนำเข้าแบบนี้เพื่อให้ยุโรปกับญี่ปุ่นมาเปิดโรงงาน แต่ตอนหลังเราไปเปิดรับการนำเข้ารถยนต์จากจีนและอาเซียน ทำให้เขาไม่ต้องเปิดโรงงานอีกต่อไป เราเลิกปกป้องไปทั้งๆ ที่ควรทำ กลายเป็นว่าจีนไม่ต้องเปิดโรงงานในไทย เขาเปิดโรงงานในเซี่ยงไฮ้ เอารถมาขายได้เลย ไม่ต้องเจอภาษี 

เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า ภาษีนำเข้ามีไว้สำหรับประเทศเล็กๆ ที่แข่งขันไม่ได้ หารายได้เข้าสู่ศุลกากร และปกป้องเฉพาะบางอุตสาหกรรม สมมติผักชีของจีนอร่อยและดีกว่าไทย ผมก็ต้องปกป้องสินค้าในประเทศ แต่ขอโทษที ไทยอ่อนมาก เราไปยอมหมดเลย เพราะเราเชื่อในการค้าเสรี 

ประเทศที่ควรจะเชื่อในการค้าเสรี คือประเทศที่แข่งกับชาวบ้านแล้วชนะแบบอเมริกา คนที่เรียนหนังสือมาทุกคนเขาก็รู้ว่า ประเทศใหญ่ที่มีบริษัทข้ามชาติได้เปรียบจากการค้าเสรี ถ้าคุณโตขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี แล้วดันเผือกเชื่อว่า ภาษีนำเข้าดีสำหรับประเทศใหญ่แบบเรา ก็คือคุณโง่ไง มันเป็นความเข้าใจผิดในหัวของทรัมป์เอง ที่ไม่มีนักวิชาการคนไหนเข้าเอาด้วย นอกจาก 2-3 คน คือ ฮาร์เวิร์ด ลุคนิก (Howard Lutnick) และปีเตอร์ นาร์วาโร (Peter Navarro) ซึ่งอยู่ล้อมรอบทรัมป์ คอยเลียแข้งเลียขา แล้วก็บอกว่า สุดยอดเลยครับท่าน 

แต่มองไปที่ตลาดหุ้น หุ้นตกทุกวัน บริษัทอเมริกันเสียหายหมดเลย เพราะเขาลดต้นทุนการผลิต โดยที่ไปเปิดโรงงานในต่างประเทศ เพราะสินค้าบางประเภทที่ผลิตในสหรัฐฯ ฐานแรงงานมีสกิลในระดับที่ไม่ใช่แรงงานไร้ฝีมือแล้ว คุณไม่ต้องการมาผลิตในไอโฟนในอเมริกา ทำในเอเชียถูกแล้ว 

คือทรัมป์คิดเหมือนเขาเป็นประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต ถ้าคุณเป็นนายกฯ ของไทย คุณกังวลได้ว่า โรงงานสินค้าสิ่งทอ รองเท้า มือถือของเรามีไหม แต่คุณเป็นผู้นำสหรัฐฯ คุณมานั่งคิดว่า ผลิตโรงงาน Nike แข่งกับปากีสถานหรือบังคลาเทศ มันประสาทแดก เขาคิดเหมือนกับตัวเองปกครองประเทศด้อยพัฒนาอยู่ แล้วมันไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนไหนคิด นอกจากนักการเมืองที่รับใช้เขาอยู่ เขาอยู่ในโลกนั้นจริงๆ ถึงมีนโยบายชุดนี้

ถ้าคุณไปอยู่ในอเมริกาตอนนี้ ไม่มีดีเบตเหมือนในเมืองไทยนะ ในทำนองว่า แจกเงินดิจิตอล 1 หมื่นดีไหม ดอกเบี้ยขึ้นหรือลด เพราะทุกคนที่นั่นทั้งมีการศึกษาและไม่มีการศึกษา เขารู้หมดว่าภาษีนำเข้ามันชิบหาย มันเลยจุดที่เป็นฉันทมติไปแล้ว แต่บังเอิญทรัมป์หมกมุ่นกับเรื่องนี้จนสติแตก จะเอาให้ได้ 

ครั้งสุดท้ายที่สหรัฐฯ มีอะไรแบบนี้ คือในสมัยของประธานาธิบดี วิลเลียม แม็กคินลีย์ (William McKinley) ปี 1890 ซึ่งเป็นไอดอลของทรัมป์ สมัยนั้นอเมริกาเก็บภาษีนำเข้า เพราะภาษีรายบุคคลธรรมดาไม่พอ แต่จริงๆ ก็ไม่เวิร์กหรอก มันทำให้เงินเฟ้อสูง แล้วราคาสินค้าสูงตาม เพราะผู้ประกอบการไม่หันมาเปิดโรงงานในประเทศ เขารู้ว่าทั้งหมดนี้มันชั่วคราว ไม่เหมือนกับยุโรปและญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งโรงงานในไทย เนื่องจากรู้ว่านโยบายนี้เกิดขึ้นระยะยาวภายในประเทศ 

แต่ถ้าคุณเป็น Ford หรือ General Motors ในวันนี้ แล้วคุณมีโรงงานผลิตรถยนต์ในเอเชียและเม็กซิโก ถามจริงๆ ให้คุณฟันธง คิดว่าทรัมป์จะอยู่รอดได้นานพอที่จะเปิดโรงงานใหม่ในสหรัฐฯ แล้วคุ้มไหม คือตรรกะมันใช้ไม่ได้ สำหรับผม ถ้าทรัมป์ลงโทษเฉพาะประเทศที่หาเรื่อง มีภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงๆ ก็โอเค

ยกตัวอย่างไทย ถ้าเรามีภาษีนำเข้าเยอะๆ ผมคิดว่า สหรัฐฯ มีสิทธิกดดันให้เราลดภาษี เพื่อให้เกิดการค้าเสรี แต่เขาดันไปเล่นเพื่อนสนิทหมดเลย โดยที่ไม่ได้ทำอะไรอเมริกาก่อน โดนด่าจากทั้งโลกและในประเทศ มันเลยจุดที่รับได้ไปแล้ว

ถ้าอยู่เมืองไทยทรัมป์เจอรัฐประหารแล้ว แต่ที่นั่นไม่มี คือทั้งหมดที่เขาทำ อยู่ข้างรัสเซีย ให้มัสก์เดินเผ่นผ่านในทำเนียบตามใจชอบ ไล่เจ้าหน้าที่ข้าราชการออกวันละเป็นพันๆ คนผ่านอีเมล มีเวลาวันเดียวเก็บของ เสร็จแล้วขึ้นภาษีนำเข้า ทำประเทศพังพินาศ GDP โตช้าลง 1% มีผู้นำประเทศไหนทำแบบนี้ คือคุณต้องไปแล้ว มีแต่คนด่าเขาทุกวัน ผมตื่นมาเปิดทีวีอเมริกา เขาก็ด่าทรัมป์กันหมด ช่องไหนก็ด่า แม้แต่ Fox Business ที่พยายามเชียร์ทรัมป์ ผู้ประกาศก็นั่งดูหุ้นแล้วเขาไม่รู้จะพูดยังไง

จากทั้งหมดที่คุณพูดมา ตรรกะหรือวิธีคิดของทรัมป์คืออะไร ทำไมเขาถึงเชื่อว่าวิธีการแก้ไขปัญหาแบบนั้นจะได้ผล

คือลึกๆ ผมพยายามมองในแง่ที่จะตอบคุณได้ เพื่อให้คุณทำใจกับเรื่องแบบนี้ ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนอื่นเสมอ (Empathy) เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยวัย จากที่เมื่อก่อนเคยวิพากษ์วิจารณ์คนนู้นคนนี้ แต่พอผมโตขึ้นมา ผมเรียนรู้ที่จะเกรงใจคนอื่น แล้วการเห็นอกเห็นใจมากขึ้น ทำให้ผมเข้าใจมุมมองของคนๆ นั้น

เมื่อก่อนมีการทำรัฐประหารในไทย ผมจะไม่เคยมองจากมุมของคนที่ทำรัฐประหาร ผมเป็นคนซึ่งมีความพร้อมปรับทัศนคติตนเองเสมอ มันเป็นสิ่งที่ผมมองว่า เป็นค่านิยมที่ดี เราปรับที่ตัวเอง แทนที่เราจะปรับในสิ่งที่เราปรับไม่ได้ ระยะหลังผมจึงสามารถมีความเห็นอกเห็นใจกับทุกคน ผมเห็นอกเห็นใจกับคนที่ปั่นจักรยานข้างถนนในเวลากลางคืน แล้วดันไม่ใส่เสื้อผ้าให้เราเห็นเลยตอนมืดๆ แทนที่ผมจะเปิดกระจกด่าเขาว่า คุณอยากตายหรืออย่างไร ผมจะบอกตัวเองว่า ก็เขาไม่มีเงินซื้อรถยนต์ แล้วเขาต้องปั่นกระจกถึงบ้านสำเร็จให้ได้

คราวนี้ถ้าผมจะตอบคำถามคุณแบบมีความเห็นอกเห็นใจ ก็สรุปได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนขวางโลกโดยสมบูรณ์แบบ สมมติทฤษฎีที่เขาติดหนี้บุญคุณปูตินอะไรไม่เป็นจริง เขาเป็นคนขวางโลก อะไรที่ควรจะทำ หรือเป็นค่านิยมหลักของโลก รักสันติ รักการไม่ปักปันเขตแดนใหม่ รักการไม่รุกรานกัน รักให้ลดการใช้ขยะพลาสติก กูจะขวางหมด

ผมก็มีอารมณ์แบบนั้นบางครั้ง แต่ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วทำตัวแบบนี้ตลอด มัน Toxic คือการมีอารมณ์ขวางโลกแล้วเป็นยูทูเบอร์ มันก็สร้างประเด็นฮือฮาได้ แต่ถ้าคุณเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจ มันเป็นปัญหา อย่างเช่นคำสั่งประธานาธิบดีบอกว่า ห้ามใช้หลอดกระดาษ ต้องใช้หลอดพลาสติกเท่านั้น เพราะว่าหลอดกระดาษเปื่อยยุ่ย ไม่สะดวกที่จะดูดน้ำ

นี่คือทรัมป์ ซึ่งเรื่องนี้ตลก แม้จะเป็นเรื่องจริงที่จะสร้างขยะพลาสติกขึ้นมาอีกเยอะ ทั้งๆ ที่รณรงค์เป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นคำตอบที่ผมให้คุณคือทรัมป์แค่ขวางโลกในแบบที่ว่า ค่านิยมอะไรควรจะรักษาไว้ ทรัมป์ไม่เอา การวาดเขตแดนใหม่ด้วยการรุกรานประเทศอื่น เขาไม่ทำกัน มันเป็นหนึ่งในฉันทมติทางรัฐศาสตร์ คือ ระเบียบแบบเวสต์ฟาเลีย (Peace of Westphalia) ในยุครัฐชาติ เขายอมรับกันว่า จะไม่มีการปล่อยให้วาดเขตแดนใหม่ที่เกิดขึ้นจากการรุกรานประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะในยุคหลังการล่าอาณานิคม สิ่งนี้คือบรรทัดฐาน (Norms) 

แต่ทรัมป์ไม่ยอมรับบรรทัดฐานนี้ อยากได้กรีนแลนด์จากเดนมาร์ก อยากได้แคนาดา ก็ไล่บี้แคนาดาทุกวันว่าเป็นมลรัฐ นี่เป็นเรื่องงี่เง่าที่ขวางโลก ค่านิยมดีๆ งามๆ ไม่ยอมรักษา ตอนแรกผมคิดว่าพูดเล่น พูดไปพูดมาหยุดไม่ได้ พูดทุกวันเรื่องกรีนแลนด์กับแคนาดา 

ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือคุณไม่ควรพูด ถ้าพูดแล้วในฐานะประธานาธิบดี ก็ต้องมีแผนการเป็นเรื่องเป็นราว ทำประเทศเสียชื่อว่า ผู้นำพูดอะไรไม่มีน้ำหนัก อะไรที่ควรทำแต่กลับไม่ทำ อย่างเช่นนายทุนพรรค ปกติเขาต้องตีกรอบ ไม่ให้เข้ามาเผ่นผ่าน รับตำแหน่ง หรือกำหนดนโยบาย 

แน่นอนว่านายทุนประจำพรรคมีอยู่แล้วทุกประเทศ คนให้เงินมามีอำนาจได้ในเบื้องหลัง แต่ไม่ใช่ออกนอกหน้า โจ่งครึ้มแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะให้คำตอบที่สรุปทุกอย่างเพื่อทำความเข้าใจกับคนๆ นี้ คือทรัมป์มีปัญหาในเชิงค่านิยม อะไรที่เป็นค่านิยมที่ดีงาม หรือโลกพยายามจะอนุรักษ์ เขาไม่เอาด้วย เขาจะสร้างค่านิยมใหม่ที่ทำอะไรก็ได้ 

เขาขวางโลกทุกเรื่อง แล้วเมื่อขวางโลกทุกเรื่อง ก็เทียบเท่าการเป็นผู้นำฝ่ายอธรรมคนใหม่ของโลก รัสเซียรุกรานยูเครน แทนที่จะปราบปรามรัสเซียให้ถอย แต่กลับให้ท้ายรัสเซีย ไล่บี้ยูเครน ยูเครนอยากให้รัสเซียหยุดรบใช่ไหม เอามา 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งออกแร่ธาตุ คืออเมริกาจะเอา 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากให้ยูเครน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบบนี้ไม่ถูกต้อง 

ค่านิยมในโลกคือรักษาสภาพแวดล้อม แก้ปัญหาภูมิอากาศ ไม่เอา สหรัฐฯ จะเลิกมีส่วนร่วมกับข้อตกลงปารีส ค่านิยมในโลกคือการเป็นห่วงสุขภาพกัน คุณก็ตั้งรัฐมนตรีที่ไม่สนับสนุนให้คนฉีดวัคซีน คืออะไรที่มันตรงกันข้ามกับค่านิยมของโลก กูจะทำ นี่คือทรัมป์ 

ถ้าคุณเป็นยูทูเบอร์ ทำแบบนี้มันก็สนุกดี แต่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มันไม่สนุกแล้ว เมื่อก่อนถ้าผมเชียร์เอามันได้ แต่ตอนนี้มันป่วน นี่คือสถานการณ์วันนี้ แต่อีกหน่อยเขาคงปรับ ถ้าเขาแค่ไล่มัสก์ออกและลดภาษี ทั้งหมดนี้ก็เบาลง ที่ทุกอย่างแรงมาก เป็นเพราะมัสก์กับภาษี ตอนนี้ภาษีมันแรงในชนิดที่ว่า ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อความวุ่นวายเหรอ เป็นเรื่องที่เขาต้องพิสูจน์

ปัญหาของทรัมป์ในการเจรจาสงบศึกสงครามรัสเซีย-ยูเครนคืออะไร

เขาไม่ยอมโชว์ให้โลกเห็นว่า เขากล้ากับปูตินแม้แต่นิดเดียว ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว คือที่ทรัมป์เขียนใน Truth Social ว่าจะคว่ำบาตรรัสเซีย มันมีมานานแล้ว ทั้งน้ำมัน เงินทอง ระบบการโอนเงิน ทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในต่างประเทศ ก็ยังถูกอายัดอยู่เหมือนเดิม ไม่มีมาตรการคว่ำบาตรที่ทรัมป์จะจัดปูตินได้

แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในแบบที่ โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) พยายามส่งสัญญาณไปถึงรัสเซีย คือการทำตัวหลุดโลก เรแกนเคยทำให้รัสเซียเชื่อว่า เขาพร้อมยิงจรวดหัวรบนิวเคลียร์ไปที่กรุงมอสโก นั่นคือเรแกนที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาในปี 1980 เขาทำสิ่งนี้จนรัสเซียเชื่อว่าเรแกนบ้า แต่ทรัมป์ไม่กล้าเล่นมุกนั้น ทั้งที่เป็นไอดอลของรีพับลิกัน เรแกนเป็นนักการเมืองที่พรรคเลื่อมใส (Idolize) มาก เพราะความเด็ดขาดที่เขามีต่อรัสเซีย คนอเมริกันชอบความเด็ดขาด ชอบคนที่บูลลีนิดๆ แต่ต้องทำกับคนที่บูลลีคนอื่น ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ นั่นคือคอนเซปต์ของการบุลลี่ของอเมริกาที่โลกชื่นชมคือคุณต้องเลือกถูกข้าง 

เช่นเดียวกับกรณีอิสราเอล ทรัมป์ก็ไม่สามารถให้รัฐบาลเนทันยาฮูหยุดปฏิบัติการโจมตีในฉนวนกาซา อิสราเอลไม่ได้รักษาหยุดยิงตามที่ตกลงกัน มันเป็นปัญหาโดยที่ทรัมป์ก็ไม่พิสูจน์ตนเองว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับฝั่งสันติภาพ แต่ให้ท้ายฝ่ายรุกราน ซึ่งก็มีอยู่ 2 หลักแหล่ง คือสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับอิสราเอลที่รุกรานชาวปาเลสไตน์ จนคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน

หน้าที่ของสหรัฐฯ คือการชักจูงให้ฝ่ายรุกรานยุติ เขาทำได้แค่นี้ แต่เขาไม่ได้ทำ และนี่คือปัญหาที่คนคิดว่า ทรัมป์อาจจะดีกว่าไบเดน คือดึงฝ่ายรุกรานให้ถอยบ้าง เขาพิสูจน์ตนเองไม่ได้ 

ทำไมคุณถึงบอกว่า ทรัมป์รับใช้หรือเป็นหนี้บุญคุณบางอย่างต่อปูติน

เพราะการปิดหน่วยงานอย่าง USAID เป็นวาระของรัสเซีย ขยายความแบบนี้ การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน LGBTQIA+ หรือทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ มันคืออำนาจโน้มนำ (Soft Power) ของสหรัฐฯ

ภาคปีกการกุศลของอเมริกา มักจะเอาเงินไปมอบให้กับ NGO ในหลายประเทศ ทั้งจัดการเสวนา แจกจ่ายยา วัคซีน ถุงยาง โครงการต่างๆ ในสาธารณสุขมากมาย ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในไทย หรือสนับสนุนสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของ GDP ซึ่งโคตรคุ้มและดีด้วย 

ผมมักเล่าเรื่องนี้ในรายการผม อะไรเป็นสิ่งที่ปูตินบ่นถึงบ่อยที่สุด คือการที่สหรัฐฯ เอางบประมาณภาษีของคนอเมริกันมาก้าวก่ายกิจกรรมทางสังคมในประเทศอื่น อย่างในฮังการี วิกเตอร์ โอบาล (Viktor Orban) ก็ไม่พอใจเรื่องนี้ เพราะเขาต้องรบกับ จอร์จ โซรอส (George Soros) ที่เอาเงินให้ NGO เยอะ 

เมืองไทยก็ได้รับอิทธิพลจากพวกนี้บ้าง แต่ไม่เยอะหรอก NGO ไทยไม่มีเงิน เขาขอเงินหน่วยงานรัฐก็ได้ หรือถ้าได้เงินก็ต้องทำตามคำสั่ง นั่นหมายความว่า การขอเงิน USAID หรือองค์กรอื่นๆ จะสะดวกกว่า เพราะเขาไม่ค่อยมายุ่งและให้อิสระ

ต้องบอกว่า ฝ่ายรีพับลิกันในยุคทรัมป์ไม่รู้ว่า เขาเดินทางตามหมากที่รัสเซียตั้งไว้ ทำไมผมรู้ เพราะบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ในฝั่งสหรัฐฯ ตั้งแต่ แอนดรูว์ เทต (Andrew Tate), เบน ชาพีโร (Ben Shapiro) ยัน ทักเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) ผมตามหมด ผมฟังสิ่งที่เขาพูดหมดเลย หรือแม้แต่สำนักข่าวของรัสเซีย ผมก็อ่าน 

ด้วยความบังเอิญ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาของสหรัฐฯ ก็ค่อยๆ ย่อยข้อมูลที่ต้นทางมาจากรัสเซีย กลายเป็นว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมอเมริกันดีใจกับการยุบ USAID แทนที่จะเสียใจว่า หมดโอกาสแล้วในการขยายอำนาจโน้มนำ แต่กลับมองว่าเป็นการปกป้องอารยธรรมตะวันตก

การที่ฝ่ายขวาสหรัฐฯ คล้อยตามวาทกรรมของปูติน ซึ่งเขาอธิบายหลายครั้งว่า รัสเซียคือศูนย์กลางที่มีหน้าที่ในการพิทักษ์อารยธรรมของโลกตะวันตก (Western Civilization) ปูตินคือคนที่อธิบายว่า การให้ความสำคัญสิทธิของ LGBTQIA+ หรืออะไรก็ตามที่เน้นสิทธิเสรีภาพ เช่น การชูธงสีรุ้ง การที่พลเมืองไม่คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงามของประเทศ หรือการไม่มีศาสนาในจิตใจ แทนที่จะเน้นเรื่องหน้าที่ จะทำลายให้อารยธรรมตะวันตกพัง 

ฝั่งอนุรักษนิยมในสหรัฐฯ ดันเชื่อวาทกรรมนี้ และมองว่า รัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในโลกที่อย่างน้อยรักษาอารยธรรมตะวันตก ไม่ปล่อยให้เกิดความล้มเหลวทางศีลธรรมเหมือนในยุโรปตะวันตก ซึ่งให้คนที่เป็นเกย์แต่งงานกันได้ ให้ผู้หญิงทำแท้งได้อย่างเสรี หรือแปลงเพศได้

ฝ่ายขวาในสหรัฐฯ มองว่า ยุโรปและประเทศแถบสแกนดิเนเวียล้มเหลวทางศีลธรรม แต่ดูรัสเซียสิ เขากล้าสู้กับเรื่องพวกนี้ ฝ่ายขวาจึงเลื่อมใสกับความคิดของปูตินว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อรักษาความถูกต้องทางศีลธรรม (Moral Righteousness) 

ผมกำลังจะบอกว่า รีพับลิกันในสหรัฐฯ ถูกเล่นงานโดยวิธีการสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งรัสเซียทำได้เก่งมาก ทรัมป์ก็รู้ว่า การที่นักกีฬาข้ามเพศ ทั้งนักมวย นักว่ายน้ำที่แปลงเพศไปแข่งกับผู้หญิง เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ถึงจริงๆ คนที่ทำแบบนี้มีอยู่ไม่เกิน 10 คน ซึ่งเป็นคดีที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะคนฉวยโอกาส บางคนเป็นสตรีข้ามเพศ มีร่างกายใหญ่แบบผู้ชาย แต่ร่างกายใหญ่โต มาแข่งชกมวย เล่นกีฬากับผู้หญิงที่มีร่างกายบอบบางกว่า

ทรัมป์จับจุดได้เก่ง เขาหยิบประเด็นพวกนี้มาหาเสียงและบอกว่า จะพิทักษ์อารยธรรมตะวันตกแบบสมบูรณ์ โดยไม่ปล่อยให้ผู้ชายแข่งกีฬากับผู้หญิง ทรัมป์ชนะเลือกตั้งเพราะเรื่องนี้แหละ เพราะพรรคเดโมแครตมัวแต่ไปรณรงค์เรื่องสิทธิของ LGBTQIA+ ซึ่งก็สำคัญและควรรณรงค์ แต่มันเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย 

เดโมแครตหมกมุ่นกับความเป็นคนดี คือการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนกลุ่มน้อย ซึ่งความเป็น LGBTQIA+ ไม่ผิดอะไร แต่เป็นคนกลุ่มน้อย อันนี้สำคัญนะ ผมเคยดีเบตกลางรายการ มีคนมานั่งบอกผมด้วยซ้ำว่า LGBTQIA+ ไม่ใช่คนกลุ่มน้อย อันนั้นก็โอเค คุณก็อยู่ในโลกของคุณไง แต่ถ้าคุณต้องการให้คนเป็น LGBTQIA+ มากขึ้น คุณอาจจะมองก็ได้ว่า พวกเขาคือคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่กับโลกแห่งความเป็นจริง 

ทรัมป์ก็คิดง่ายๆ ว่า คน 60% ของประเทศเอาเรื่องนี้ด้วยไหม ประเด็นที่ผู้ชายแปลงเพศเป็นผู้หญิงแล้วมาแข่งกีฬา ซึ่งคนก็ไม่เอาหรอก ฟังดูแล้วประหลาด เขาจึงหยิบเรื่องนี้มาหาเสียง บอกว่าผมคือผู้พิทักษ์อารยธรรมตะวันตก นี่คือวาทกรรมเดียวกับที่ปูตินใช้ในการออกกฎหมายต่อต้าน LGBTQIA+ ทำให้ฝ่ายขวาและฝ่ายกลางที่อเมริกาก็เทคะแนนให้หมดเลย

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ฝ่ายอนุรักษนิยมในสหรัฐฯ Gaslight พลเมืองได้เก่ง หยิบเรื่องเดียวมาอย่างสิทธินักกีฬาข้ามเพศ แล้วชูเลยว่าจะสู้เรื่องนักกีฬาข้ามเพศที่เคยเป็นผู้ชายมาแข่งกับผู้หญิง บอกว่า คุณร่างกายแข็งแรงกว่า แข่งไม่ได้ แล้วพลเมืองส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า เออใช่ว่ะ ไม่แฟร์ต่อผู้หญิงที่มีเพศสภาพอ่อนแอกว่าตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นโหวตให้ฝั่งขวาดีกว่า

คือบางทีการพูดในเรื่องที่คนคิดอยู่แล้วหรือคนเห็นด้วย มันทำให้เขาเลือกทรัมป์ สมมติเด็กที่เป็นบุคคลข้ามเพศ คนไม่ต้องการไปผ่าตัดตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ทรัมป์พูดแค่นี้ก็ได้คะแนนจากฝั่งขวาแล้ว เขาหยิบเรื่องที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้มาหาเสียง 

แต่พอทรัมป์ดำรงตำแหน่งแล้ว ก็ไปทำเรื่องเยอะแยะมากมายที่ไม่ใช่เรื่องนี้ เช่นบอกว่าคนที่เป็นทรานส์เจนเดอร์เป็นทหารไม่ได้ ไล่ออกหมดเลย คือเขาไม่ได้ให้คุณไปไล่ออก แค่ไปสู้เฉพาะไม่ให้ทรานส์แข่งกีฬากับผู้หญิง อย่างเช่นการที่คุณจะมีอัตลักษณ์ทางเพศอย่างไร คุณก็เอาตามที่ตนเองเลือกอยู่แล้ว แต่เพศในร่างกายของคุณคือ อวัยวะเพศที่คุณมี มันมีได้แค่ 2 อย่าง ก็พรรครีพับลิกันต้องการให้นิยามตรงนี้ให้ชัดเจน แต่พอเมื่อทรัมป์เข้ามา มันกลายเป็นเรื่องเลือกปฏิบัติหมดเลย ไม่มีความพอดี ซึ่งฝ่ายขวา Toxic ในประเด็นนี้ ชอบหาเรื่อง เช่น นักการเมืองเป็นทรานส์เจนเดอร์ ไปเรียกเขาว่านาย

ชื่อหนึ่งที่คุณพูดถึงบ่อยไม่แพ้มัสก์คือ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่ง The New York Times เพิ่งรายงานไม่นานมานี้ว่า เขามีปากเสียงกับมัสก์ เพราะไม่เห็นพ้องด้านนโยบาย คุณมองสถานการณ์นี้อย่างไรบ้าง

แน่นอนว่า รัฐมนตรีแต่ละคนที่ทรัมป์เลือกมา ถ้าไม่อยู่กับทรัมป์ก็จะไม่มีอนาคตทางการเมืองแล้ว เขาจึงต้องรับตำแหน่งในยุคนี้ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เก้าอี้ รวมถึงรูบิโอด้วย เพราะถ้าลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีก็ไม่แรงพอ และไม่ได้มาในจังหวะที่ใช่ 

รูบิโอไม่มีโอกาสทางการเมืองอื่น เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ ต่อให้ไม่ได้เห็นด้วยนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ในกรณีนี้น่าสงสารเขาเหมือนกัน เขาจะทิ้งทรัมป์ก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทิ้งเขาก็จะถูกมองว่ารับใช้ทรัมป์ โดยเฉพาะการประกาศว่า ตนเองต้องตัดงบประมาณของ USAID ถึง 80% มันทำให้คนจดจำรูบิโอว่า เป็นคนที่แย่มาก ก็เลยเสียชื่อ แต่เขาก็ยอม เพราะอยากได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศติดตัว

การได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชื่อเสียงของนักการเมือง มันเป็นตำแหน่งที่คุณสามารถภูมิใจได้ในสถานการณ์ปกติ แต่รอบนี้ นักการเมืองหลายคนในรีพับลิกันก็เซ็งเหมือนกันว่า ทำไมรูบิโอไม่ยอมลาออก ทั้งๆ ที่ทรัมป์ทำหลายเรื่องข้ามหัว ไม่สนใจมุมมองของเขา และฟังมัสก์มากกว่า มันก็ทำให้รูบิโอดูเหมือนเด็กในโอวาททรัมป์ไปแล้ว และก็คงจะสายเกินไป 

ผมคิดว่า บทเรียนหลายเรื่องของการเมืองสหรัฐฯ ในรอบนี้เหมือนการเมืองไทยคือ การเลือกนายดีๆ และนี่คือสิ่งที่คนเตือนผมด้วยว่า เวลาผมสนใจงานการเมือง เพราะในที่สุดแล้ว การเมืองทำให้คุณเข้าไปอยู่ในระบบอุปถัมภ์กับใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณจำเป็นต้องเล่นการเมือง แล้วไปอยู่ในระบบอุปถัมภ์ใครก็ตาม คุณต้องดูดีๆ ว่า คนนั้นเป็นคนมีคุณภาพ ไม่เช่นนั้นคุณก็จะเสียชื่อไปด้วย 

ในกรณีของไทย ที่เขาเตือนๆ กันว่า อย่าไปเล่นการเมือง เพราะคุณจะต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นที่ร้ายกาจและทุจริตกว่าคุณ มันมีระบบอุปถัมภ์ในการเมืองอีกทีหนึ่ง หรืออีกทางหนึ่ง คุณก็ไม่ต้องเล่นการเมืองเลยดีกว่า เพราะตอนที่รูบิโอเป็น สว.เขาไม่มีอะไรด่างพร้อย แต่มันเหมือนกับอยากได้ตำแหน่งรัฐมนตรีสักรอบหนึ่ง ก็เข้าใจได้ แต่ดันมาเป็นให้ทรัมป์ และรอบนี้รูบิโอก็จะเสียชื่อไปพร้อมกับทรัมป์ตลอดชีวิต 

โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ยุคทรัมป์สิ้นสุดลง ระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ (Pax Americana) จะยังคงอยู่ต่อไป หรือโลกเกิดมีมหาอำนาจหลายขั้ว (Multipolar) แบบที่ใครคาดเดาจริงๆ

ผมเชื่อว่า สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผม คือการที่หลายประเทศในยุโรปจะเพิ่มงบประมาณกระทรวงกลาโหม ทำให้ทั้งกองทัพแต่ละประเทศ ศักยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ฝรั่งเศส โปแลนด์ จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นผลพลอยได้จากนโยบายของทรัมป์ที่ทอดทิ้งยุโรป 

ถ้ามองในแง่ดีคือในที่สุดแล้ว ยุโรปจะให้ความสำคัญกับความมั่นคง และมีนโยบายผู้อพยพที่รัดกุมมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของพลเมืองภายในประเทศ ไม่เช่นนั้นคนจะหันไปเลือกพรรคฝ่ายขวา ดังเช่น ตอนนี้ในเยอรมนี ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศเห็นแล้วว่า ถ้าเกิดไม่มีนโยบายที่ควบคุมพรมแดนมากขึ้น รับผู้อพยพเข้าในประเทศ ทั้งเดินทางมาจากซีเรีย อัฟกานิสถาน แอฟริกา เข้ามาได้หมดเลยโดยไม่ได้ตรวจสอบ ถ้าเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ประชาชนก็อาจจะเลือกพรรคฝ่ายขวา ซึ่งคุณจะได้คน Toxic ในแบบทรัมป์และมัสก์

ตัวอย่างคือผู้นำเยอรมนีคนใหม่ ฟรีดิช เมิร์ซ (Friedrich Merz) เขาจะมีนโยบายอนุรักษนิยมกำลังดีในประเด็นผู้อพยพ คนจะได้ไม่ไปเลือกพรรคสุดโต่งอย่าง​ AfD (Alternative für Deutschland) ขณะที่มาครง (Emmanuel Macron) ก็จะโชว์ว่า ฝรั่งเศสมีร่มนิวเคลียร์ที่สู้กับอเมริกาได้ ผมมองว่า ทั้งหมดนี้คือพัฒนาการในทางที่ดีในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ตรงนี้ก็อาจจะให้คะแนนทรัมป์ได้ว่า เขากระตุ้นให้ยุโรปเกิดการเปลี่ยนแปลง 

แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ศักยภาพด้านการสู้รบ ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ขีปนาวุธ หรือหัวรบต่างๆ ที่อเมริกามีก็ยังเหนือกว่าชาวบ้านอยู่ดี เพราะฉะนั้นสหรัฐฯ ไม่ได้อ่อนแอลงในเรื่องนี้ เขาแค่มีเพื่อนน้อยลงในยุคทรัมป์ เพราะทรัมป์ไม่ต้องการคบเพื่อนเหล่านี้ 

กรณีที่สหรัฐฯ ขาดมิตรประเทศ ผมมองว่า เป็นสถานการณ์ชั่วคราวและเกิดขึ้นกับทรัมป์เท่านั้น แต่ถ้าต่อไป รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นรีพับลิกันสายไม่บ้าบิ่น หรือแม้แต่เดโมแครตที่เข้ามาอยู่ในทำเนียบรอบหน้า ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยุโรป หรือพันธมิตรทรานส์แอตแลนติก (Transatlantic Partnership) จะกลับมาดีเหมือนเดิม เพราะประเทศในยุโรปที่มีปัญหากับทรัมป์ เขารู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่คนอเมริกันไม่ได้แฮปปี้เลย เขารู้ว่าทรัมป์ไม่ใช่ตัวแทนของคนอเมริกัน อย่างน้อย 200 ล้านคนหรือครึ่งหนึ่งของประชากร ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ต่อให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งก็ตาม

เพราะฉะนั้นเมื่อ 4 ปีผ่านไปและอำนาจเปลี่ยนมือ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยุโรปจะค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ยุโรปจะแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย ขณะที่รัสเซียก็ยังเป็นศัตรูร่วมและปัญหาสำหรับพันธมิตรทรานส์แอตแลนติก ผมคิดว่าโครงสร้างอำนาจไม่เปลี่ยน ในแง่หนึ่ง โลกแบ่งเป็นหลายขั้วมากขึ้น แต่พันธมิตรเดิมๆ ยังอยู่ แค่ทรัมป์มาทำลายความสัมพันธ์ชั่วคราว ทรัมป์เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เกิดขึ้นชั่วคราว และอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ สหรัฐฯ ยังเป็นแกนหลักของโลก 

ตอนนี้คุณน่าจะได้ยินมุมวิเคราะห์มุมหนึ่ง ซึ่งผมว่าไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เป็นการคาดเดาที่สนองความต้องการของตนเองคือ คนต้องการให้ระเบียบโลกของสหรัฐฯ พังทลายลง อเมริกาไม่ได้เป็นมหาอำนาจ ผมไม่ได้ว่าเรื่องนี้นะ จริงๆ แล้ว เป็นความหวังที่ดี เพราะการที่โลกมีมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ (Hegemonic Power) มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เยอะกว่าชาวบ้าน มีกองเรือพร้อมรบตลอดเวลา มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร

ถ้าคุณเป็นนักวิชาการที่มองว่า จีนกับรัสเซียถ่วงดุลอำนาจได้ แล้วไทยก็ต้องคบกับทุกฝ่ายในแบบเท่าเทียมกัน เอนไปหารัสเซียบ้าง จีนบ้าง ผมมองว่าทัศนคติแบบนั้นเป็นประโยชน์ที่จะคิด แต่ในข้อเท็จจริงไม่ได้ถูกต้อง 

หมายความว่า เมื่อคุณได้ยินนักรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพูดว่า โลกอยู่ในระเบียบหลายขั้วอำนาจ โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่จริงๆ สำหรับผม มันก็แค่เปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง โลกยังมีมหาอำนาจเดียวอยู่ (Unipolar) ศักยภาพในการสู้รบของสหรัฐฯ เหนือกว่าจีนเยอะ แม้จีนจะพยายามไล่กวดภายใน 30 ปีข้างหน้า แต่ทั้งกองเรือและกองบินสู้กับอเมริกาไม่ได้ รัสเซียมีขีปนาวุธสู้ได้ แต่เศรษฐกิจไม่ได้เป็นคู่แข่งสหรัฐฯ เลย เพราะฉะนั้นในเชิงความเป็นมหาอำนาจ รัสเซียกับจีนยังห่างไกลสหรัฐฯ 

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรัมป์เปิดโอกาสให้คนพยายามอธิบายว่า โลกมีหลายขั้วอำนาจแล้วและไม่มีใครเอาอเมริกา จริงๆ รอบนี้ สหรัฐฯ ดันทำตัวให้ไม่น่าคบ ถ้าในรอบหน้าอเมริกาทำตัวดีกว่านี้ ทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิมได้ มันมีวันหนึ่งแน่ๆ ที่จีนจะตามสหรัฐฯ ในด้านศักยภาพการสู้รบทัน แต่มันยังไม่ถึงวันนั้น อีกหลายทศวรรษ มันยากนะ มันเป็นความคิดแฟนตาซีนิดหน่อยที่บอกว่า โลกมีหลายขั้วอำนาจ ผมว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องย้อนกลับไป 200 ปีก่อน

แล้วไทยอยู่ตรงไหนในสมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรูปแบบนี้

น่าสนใจมาก ผมคิดว่า มันมีความพยายามเปลี่ยนให้ไทยกลายเป็นประเทศ ที่มีความสัมพันธ์ทางด้านมั่นคงร่วมกับจีนและรัสเซีย ในแบบที่แน่นแฟ้นกว่า 10-15 ปีที่แล้ว เราเห็นความพยายามเข้าถึงอีลิต และให้ทหารวางแผนนโยบายความมั่นคงของชาติ โดยมองว่า อเมริกาไม่เป็นหุ้นส่วนความมั่นคงที่อยู่ในอุดมคติของเราอีกต่อไป

แต่ปัญหาคือระหว่างที่เกิดการต่อสู้ มันมีความพยายามนำเสนอข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียและจีนมาเผยแพร่ในสื่อมวลชนไทย จนอีลิต ทหาร ข้าราชการระดับผู้ใหญ่ สื่อมวลชน พลเมืองชาวไทย และนักธุรกิจจำนวนไม่น้อย รับข้อมูลข่าวสารไม่ตรงตามข้อเท็จจริง แล้วก็เริ่มเชื่อว่าโลกมีหลายขั้วอำนาจแบบสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น 

คำถามคือกรณีดังกล่าวจะนำไปสู่จุดจบอย่างไร ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ และที่น่าสนใจกว่าคือ พลเมืองอเมริกันก็เป็นเหยื่อของวาทกรรมจากรัสเซีย โดยเฉพาะพรรครีพับลิกันรับไปเยอะผ่านอินฟลูเอนเซอร์ฝั่งอนุรักษนิยม เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะพูดอะไรทำให้คนอเมริกันจำนวนมากเชื่อ 

ประเด็นคือสิ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมในสหรัฐฯ พูดเข้าทางรัสเซีย ได้ทำให้พลเมืองชาวอเมริกันเลือกประธานาธิบดีที่มีนโยบายเข้าทางรัสเซียโดยปริยาย การที่ทรัมป์มีนโยบายที่เอื้อต่อรัสเซีย หรือการที่อินฟลูเอนเซอร์อนุรักษนิยมชอบนโยบายที่ให้อเมริกามีบทบาททางทหารน้อยลง สำหรับผมเป็นสภาวะชั่วคราว ในที่สุดสหรัฐฯ จะกลับมา เมื่อพ้นยุคทรัมป์ ในแบบที่เป็นอเมริกาเหมือนเดิม เป็นศัตรูกับรัสเซียอย่างที่ควรจะมอง

เมื่อกลับสู่สภาวะนั้นแบบเดิม ในไทยก็ไม่ต้องนั่งอึ้งแล้วว่า เราจะทำอย่างไรกับทรัมป์ แล้วมานั่งขบคิดเหมือนเดิมว่า เราจะเป็นไผ่ลู่ลมแบบไหน คือเมื่อก่อน ฝ่ายความมั่นคงไทยมีคนเป็นเจ้าภาพในการบริหารความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น เราอยู่ฝั่งอเมริกาในยุคนั้น แต่ว่าตอนนี้ไทยไม่มีเจ้าภาพที่ตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่มีศูนย์รวมอำนาจที่ชัดเจนในการตัดสินใจ ซึ่งก็น่าตื่นเต้นดี 

อย่างไรก็ตามถ้าคุณรู้สึกว่าโลกเป็นหลายขั้วอำนาจ ผมบอกได้เลยว่าไม่จริง แต่การที่คนเชื่อแบบนี้ขึ้นเรื่อยๆ แปลว่า อิทธิพลทางความคิดของสหรัฐฯ ในไทยเริ่มน้อยลง ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาตรงนี้ ประเทศจะอยู่ข้างไหน ตรงไหนคนละเรื่อง แต่อย่าเข้าใจผิดว่า ศักยภาพของจีนหรือรัสเซียเท่าเทียมสหรัฐฯ ข้อมูลต้องถูก

เช่นเดียวกับสถานการณ์ในอเมริกา ข้อมูลจากฝ่ายขวาเป็นข้อมูลชุดเดียวกับรัสเซีย ผมเจอคนที่มีการศึกษาเยอะ และได้ข้อมูลชุดเดียวกับรัสเซียหรือจีน เป็นรีพับลิกันด้วย แล้วเขายังไม่รู้ตัวเลยว่า เขาโดนหลอก 

สุดท้ายคุณมองบทสรุปรัฐบาลทรัมป์ชุดนี้อย่างไรบ้าง

สิ่งที่น่ากลัวกว่านักการเมืองประชานิยมคือ นักการเมืองที่ดูเหมือนนักประชานิยม แต่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่มักมีความพยายามบอกว่า นักการเมืองไม่ควรออกนโยบายประชานิยม เพื่อเอาใจฐานเสียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แล้วถึงเวลาก็สร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาในทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายแจกเงินประชาชนอย่างไม่มีวินัยการเงินการคลัง หรือประธานาธิบดีที่สัญญาว่า จะเนรเทศคนเข้ามาอย่างผิดกฎหมายกลับประเทศดั้งเดิม ทั้งหมดนี้นโยบายประชานิยมที่ค่อนข้างเลือดเย็นและโหดเหี้ยม 

แต่ปัญหาในกรณีของทรัมป์คือ คุณควรจะเป็นนักประชานิยม แต่กลายเป็นผู้นำที่เอาใจคนรวยบางกลุ่ม (Plutocrat) คุณเข้ามาแทนที่จะมีนโยบายเอาอกเอาใจฐานเสียงรีพับลิกันสายเลือดเย็น ที่อยากเห็นผู้อพยพถูกไล่เยอะๆ กลายเป็นว่า คุณพลิกอำนาจจากประชาชน แทนที่จะส่งคนกลับตามที่สัญญาดันไม่มีศักยภาพที่ทำตามนั้น เพราะต้องใช้บุคลากรเยอะ ต้องมีโลจิกติกส์มากที่จะขับไล่คนล้านๆ คน คุณจึงเพ่งเล็งแค่คนบางส่วนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของตนเอง 

กลายเป็นว่า คุณจับคนมีกรีนการ์ดหรือวีซ่าอย่างถูกกฎหมาย ภรรยาเขาตั้งท้องกำลังจะคลอด แต่เขาไปเป็นแกนนำต่อต้านสงครามอิสราเอล ซึ่งเข้าทางรัฐบาลทรัมป์เลย ส่งให้หน่วยงาน ICE (U.S. Immigration and Customs Enforcement) จับคนนี้แล้วก็เดี๋ยวส่งกลับประเทศดั้งเดิม ทั้งๆ ที่เขามีวีซ่าถูกกฎหมาย และชุมนุมทางการเมืองที่มีสิทธิ 

มันตรงกันข้ามกับประชานิยม คุณได้อำนาจจากประชาชน แต่ทำสิ่งอื่นเพื่อเอาใจนายทุนของพรรค เอาง่ายๆ การจับแกนนำม็อบชาวปาเลสไตน์ที่ถือกรีนการ์ด เป็นการเอาใจ Apax ที่เป็นพาร์ตเนอร์และกลุ่มล็อบบี้ของอิสราเอล ในขณะเดียวกันคุณสัญญาว่า จะลดการจัดสรรงบประมาณที่ไม่จำเป็น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการจัดสรรงบปีถัดไปให้มีประสิทธิภาพ แต่กลายเป็นว่า ส่งนายทุนอย่างมัสก์เข้าไปวางระบบ แล้วดูว่าหน่วยงานไหนก็ลดงบอย่างไร ใครต้องไล่ออกบ้าง อันนี้เป็นการเอื้อให้ระบบรับใช้นายทุน 

มาตรฐานนักการเมืองที่มีการรณรงค์คือ การไม่ให้คุณเป็นนักประชานิยม แต่เป็น Technocrat หรือผู้นำที่ใช้ความรู้ความสามารถ ไม่เอาใจพี่น้องประชาชนตามอำเภอใจ แต่ไม่เป็นไร ประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้มีคุณภาพขนาดนั้น บางครั้งก็ได้ผู้นำเป็นนักธุรกิจ เอาใจประชาชนเก่ง และเป็นนักประชานิยม ซึ่งก็ยังดี 

นโยบายประชานิยมอย่างน้อยมีความดีงาม เพราะทำตามสิ่งที่พูดไว้ในการหาเสียง เอาใจผู้ที่เลือกตั้ง มันมีจรรยาบรรณความเป็นประชาธิปไตย พลเมืองแฮปปี้ แต่ไม่ใช่กับทรัมป์ คุณได้อำนาจจากประชาชนล้นหลาม แต่ทำอย่างอื่นหมดเลย รับใช้ปูติน รัสเซีย ไม่ยุติสงครามทั้งยูเครนและอิสราเอล 

เพราะฉะนั้นนักประชานิยมจอมปลอมคือเศรษฐยาธิปไตย ตรงนี้ก็เป็นปัญหา และเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าต่อให้เลือกตั้ง คุณก็ไม่ได้ได้ผู้นำที่ดี แต่คำถามที่ตามมาคือ คุณจะเอาผู้นำคนนั้นออกอย่างไร

Fact Box

  • ม.ล.ณัฏฐกรณ์เคยเป็นพิธีกรรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3, The Daily Dose และ Wake up Thailand ช่อง Voice TV
  • ปัจจุบัน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ดำเนินรายการทาง YouTube เป็นของตัวเองคือ รายการหม่อมปลื้มวิเคราะห์
Tags: , , , , , , , , , , , , , , , ,