God save the queen

The fascist regime

They made you a moron

Potential H-bomb

เพลง God Save the Queen ของ Sex Pistols เป็นหนึ่งในบทเพลงที่ทำให้ บัสบาส-มงคล ถิระโคตร ผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ ตกหลุมรักในความซื่อตรง ไม่เลี่ยงบาลีของเพลงพังก์ และชวนให้เขาเปรียบเทียบและตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมคนในประเทศไทยถึงไม่สามารถร้องเพลง และพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ถูกดำเนินคดีเหมือนต่างประเทศได้

God save the queen

She ain’t no human being

There is no future

หากมาดูแล้ว บัสบาสเป็นผู้ที่มีอัตราโทษสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 เขาถูกพิพากษาจำคุก 42 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์จึงถูกลดโทษเหลือ 28 ปี หลายคนวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของเขาว่าสุ่มเสี่ยงเกินไป ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว นี่คือการต่อสู้ในแบบฉบับของบัสบาส อย่างที่เขาบอกกับเราว่า “ผมทำคนเดียว ไม่ได้มีกลุ่ม” และ “ทุกคนมีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งของผมเป็นแบบนี้

  No future, no future,

 No future for you

No future, no future
         For you

ในวันที่บัสบาสถูกพิพากษาจำคุก 28 ปี และกำลังจะฟังคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 คดีที่สาม ซึ่งไม่รู้ว่าผลคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร The Momemtum ชวนทุกคนมารู้จักตัวตนของพ่อค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์ และนักกิจกรรมทางเมืองอายุ 30 ปี ผ่านมุมมองเพลงพังก์ บทเพลงที่ซื่อตรงไม่เลี่ยงบาลีและรอยสักอันเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวทางการเมืองของเขา และเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้า แม้คำพิพากษาตัดสินโทษจะกินช่วงเวลาไปกว่าครึ่งชีวิตคนก็ตาม 

คุณมักกล่าวว่า “ผมใช้ชีวิตสุดตีนอยู่แล้ว” คำว่าสุดตีนในนิยามของบัสบาสเป็นแบบไหน

ได้ใช้ชีวิตที่อยากจะใช้ มีอิสระในการพูด การแต่งตัว คิดเห็นอย่างไรก็สามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมาไม่ต้องเลี่ยงบาลี ไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบ แค่นี้ก็ถือเป็นการใช้ชีวิต เป็นผลสำเร็จของผมครับง่ายๆ 

คิดว่าตอนนี้คุณได้ใช้ชีวิต ‘สุดตีน’ ในแบบที่อยากใช้หรือยัง

จริงๆ ผมคิดว่าชีวิตตัวเองไม่น่าจะมาในทิศทางนี้ ไม่น่าออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะหากไปดูประวัติส่วนตัว จริงๆ แล้วผมเป็นอิกนอร์แรนท์ตั้งแต่เด็ก และเคยเป็นทหารรักษาพระองค์ อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี 

ชีวิตผมเมื่อก่อนมันดาวน์มาก ผมเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ก็บอกกับตัวเองว่าอายุไม่เกิน 30 ปี ผมตายไปจะดีกว่า แต่พอได้เริ่มทำอะไรบางอย่างที่ได้ช่วยเหลือสังคมก็รู้สึกเติมเต็มและท้าทาย และสิ่งนี้ก็เติมเต็มชีวิตผมในตอนนี้

แต่ต้องแลกมากับอะไรหลายอย่าง คิดว่าเป็นการแลกที่คุ้มค่าไหม

เรื่องคุ้มไม่คุ้มผมไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น สำหรับผมถ้าเลือกที่จะเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว ทุกคนเห็นและรู้กันมาตลอดว่ามันติดคุกจริง เจ็บจริง และตายจริง เรารู้ว่าฝั่งอนุรักษนิยมโหดร้ายขนาดไหน ดังนั้น การที่ออกมาเคลื่อนไหวตรงนี้ แม้ผมจะต้องติดคุก ก็ยินที่จะติดหากเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น ไม่ได้คิดเสียดายก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับชีวิตแล้ว มันเกินกว่าที่เราวางแผนใช้ชีวิตมาไกลมากแล้ว

เคยได้ยินมาว่า ‘เพลงพังก์’ และรอยสักคือภาพแทนความเป็นเสรีชนของคุณจริงไหม

จริงครับ

ทำไมเพลงพังก์ถึงเป็นสิ่งแทนอิสระภาพในตัวคุณ

เพราะพังก์เป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องเลี่ยงบาลี หากดูบริบทประเทศไทย เรามักโตมาในสังคมที่ผู้ใหญ่จะเลี่ยงบาลีไม่พูดตรงไปตรงมา หรือเด็กมักถูกห้ามเสมอ เช่น อย่าทำแบบนี้นะ อย่าหยิบนั่นนี่ ทุกอย่างเต็มไปด้วยคำว่าอย่า จนมันฝังลึกเข้าไปในตัวเรา ผมเชื่อว่าช่วงเวลาเด็กของหลายๆ คนคงเจออะไรแบบนี้ เพลงพังก์จึงเป็นภาพแทนการพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมครับ

สิ่งที่ทำให้คุณรู้จักเพลงพังก์ จนตกลงหลุมรักบทเพลงที่ซื่อตรงในภายหลังคืออะไร

 แน่นอนว่าต้องเป็นวง Sex Pistols อย่างเพลง God Save the Queen ที่พูดถึงสถาบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรพูดถึงควีน ผมก็มาเปรียบเทียบและตั้งคำถามกับประเทศไทยว่า ทำไมเราพูดไม่ได้ ทำไมเราไม่สามารถร้องเพลงแบบนี้ได้ ทำไมเราทำอาร์ตเวิร์กปกเพลงหน้าควีนแบบนั้นไม่ได้ ทำไมต้องมีคนตายเพียงเพราะพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์  

ถ้าขยับไปอีกนิด Nirvana ก็ทำให้ผมรักเพลงพังก์ เพราะปลุกความฮึกเหิมในตัวเราให้สดชื่นตลอดเวลา ให้เป็นวัยรุ่นอย่างเพลง Smells like Teen Sprit สำหรับผมนี่คือเพลงอมตะ เพราะผมเป็นคนที่ต้องการให้ตัวเองมีความคิดเป็นวัยรุ่น และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอด

พังก์วงโปรดมีวงอะไรบ้าง

โอ้โห ผมชอบเยอะมาก แต่ถ้าให้เลือก 3 วงก็มี Nirvana, The Beatles และ Sex Pistols ส่วนเพลงโปรดก็ Smells Like Teen Spirit โดย Nirvana, God Save the Queen โดย Sex Pistols และ In My Life โดย The Beatles

ถ้าให้เลือกหนึ่งบทเพลงแทนภาพตัวเองในตอนนี้จะเป็นเพลงไหน

That’s Life โดย Frank Sinatra เพลงเข้ากับบทชีวิตผมเพราะมันขึ้นๆ ลงๆ และท้ายที่สุดมันก็คือชีวิต ตอนนี้เป็นเพลงประจำที่ผมชอบและรักไปแล้ว

แล้วรอยสักเป็นภาพแทนความเสรีชนของคุณอย่างไรบ้าง

จริงๆ สำหรับผมรอยสักก็เป็นอะไรบางอย่างที่มีนัยยะทางการเมือง เช่น หากมองตรงรอยสักนี้ (ชี้ไปบริเวณคิ้ว) จะเป็นเลข 8 เรียงกันและมีหลายลักษณะ หมายถึงคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ยังไม่ได้สะสาง และหมายถึงสามจำเลยที่ถูกประหารชีวิตจากคดีนี้ 

รอยสักตรงนี้จะไม่ค่อยชัด เพราะผมไม่อยากให้สมบูรณ์ ผมไม่ชอบความสมบูรณ์เพราะที่สุดแล้วมนุษย์คือความไม่สมบูรณ์ มีรอยสักรูปกิโยตีนตรงคอและตัว ผมสักวลี “No God No king Only Human” และเลข 112 มีขีดฆ่า รวมไปถึงภาพเสือดำจากคดี เปรมชัย กรรณสูต และสักสีแดงหมายถึงคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตและไม่ได้รับความยุติธรรม

ทำไมถึงสักกิโยตีนหลายที่

ผมว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ตีความได้หลายแบบ เช่น กรณีการตัดสิทธิทางการเมืองของ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช ก็เป็นการโดนกิโยตีนจากผู้มีอำนาจ แบบตัดสิทธิฉับเลย ตัดตลอดชีวิต และอีกความหมายคือ สัญลักษณ์ของการลุกขึ้นมาปฏิวัติของประชาชน (กรณีการปฏิวัติฝรั่งเศส)

จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับบันทึกทางการเมืองเหมือนกัน

ใช่ครับ รอยสักต่างๆ ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา หลังผมเข้าร่วมการเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2563 

คิดว่าประเทศไทยคับแคบเกินกว่าอิสรภาพของมนุษย์หรือเปล่า

ส่วนตัวผม ผมยังคงพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างปกติเหมือนเดิม ผมอยากพูดอะไรก็พูดได้อย่างเสรี แต่สิ่งที่ผมกำลังพยายามอยู่คือให้คนอื่นออกมาพูดเหมือนกัน เพราะถ้าผมพูดอยู่คนเดียวเสียงก็ดังไม่เท่า 10 คน พันคน หรือหนึ่งแสนคนพูด ดังนั้น เราควรมีความกล้าหาญออกมาพูดในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่ชอบธรรมไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

เราต้องกล้าพูดก่อน ต้องกล้าส่งเสียงเพราะพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยอนุญาตให้เราถกเถียงกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่ควรที่จะต้องลากรถถังมายึดอำนาจ ออกมาฆ่าทำร้ายกันนี่คือสิ่งที่ผิด ประชาธิปไตยคือพื้นที่ให้คนถกเถียงกัน เถียงกันไปเถอะ อยากเถียงแค่ไหนก็เถียง รวมไปถึงประเด็นที่ถูกมองว่าอ่อนไหว เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าประเทศไทยยังไม่มีพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถพูดถกเถียงเรื่องที่เขาบอกว่าอ่อนไหว เพราะหากคุณพูด คุณอาจจะโดนกระทำอะไรบางอย่างได้

คล้ายกับที่คุณโดนพิพากษาจำคุก 28 ปี หรือเปล่า ซึ่งนับเป็นโทษสูงสุดตั้งแต่การต่อสู้ปี 2563 

ใช่ครับ ผมไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรผม ผมแค่มาอดอาหารเรียกร้องความเป็นธรรมให้คนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ ผมนั่งอดอาหารแค่สองวัน เขาอัดผมเลย 27 กรรม พอฟ้องผมเสร็จก็นำผมขึ้นรถตู้กลับจังหวัดเชียงราย เพราะตำรวจที่จังหวัดเชียงรายเป็นคนแจ้งฟ้อง ผมก็นั่งรถตู้ไปกับเจ้าหน้าที่ที่มีอาวุธครบมือ 

ตอนนั้นเครียดไหม กลัวไหม

ก็คิดว่า โอ้โห ต้องลงทุนถึงขนาดนี้เลยเหรอ ผมมีเพียงคนเดียว ยังไม่ได้ทำอะไรรุนแรงด้วยซ้ำ แต่ผมก็พอเข้าใจว่าเขาตรวจสอบการเคลื่อนไหวของผมผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นแบบฟอร์มต่างๆ รวมไปถึงการที่ผมติดต่อกับใครก็ตาม สิ่งเหล่านี้เขาทำไปเพื่อต้องการที่จะหยุดผม โดยวิธีอัดคดีไปเลยเพื่อให้ผมหยุดการเคลื่อนไหว

แต่ก็หยุดคุณไม่ได้

ผมยังอยู่ตรงนี้ แม้ว่าผมจะถูกตัดสินในศาลชั้นต้นมาแล้ว 28 ปี และแน่นอนว่าในอนาคตก็คงจะโดนเพิ่มอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้ซีเรียสครับ คิดว่าคงจะโดนอีกแน่แต่ผมก็ยังอยู่ตรงนี้ ในวันนี้ผมยังนั่งคุยกับคุณเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมยังมีอิสระที่จะพูดที่จะแต่งตัวอะไรก็ได้ในวันนี้

หลายคนวิจารณ์ว่าคุณเคลื่อนไหวสุ่มเสี่ยงรุนแรงเกินไป 

ผมสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเองดูเป็นคน Aggressive เช่น ใช้คำหยาบคายเกรี้ยวกราด ซึ่งการที่ผมวางตัวแบบนี้เพราะผมรู้ว่าคนไทยชอบอะไรที่ดราม่า เพราะประเด็นดราม่าคือสิ่งแรกๆ ที่คนเล่นโซเชียลมีเดียจะดู ดังนั้น ผมจึงใช้การพูดแบบตรงไปตรงมา ด่าก็ด่าสถาบันฯ อย่างเต็มเหนี่ยว พอผ่านไปสักระยะหนึ่งคนที่เกลียดผม ไม่ชอบผม แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะต้องตามมาดูความเคลื่อนไหวเราอยู่แล้ว ผ่านไปสักระยะผมก็ปรับอารมณ์ลง เรามีกลยุทธ์ในการเคลื่อนไหวของเราเอง เพราะผมทำคนเดียวไม่ได้มีกลุ่ม

พอเริ่มโดนเกลียดเยอะๆ คนติดตามเยอะขึ้น ผมก็เริ่มเขียนพูดอะไรในประเด็นวิชาการมากขึ้น เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ หรือการเคลื่อนไหว โดยให้เขาสงสัยไม่ต้องเชื่อมผมก็ได้ แต่ให้ไปหาข้อมูลต่อเองว่ามันถูกหรือเปล่า 

แต่กลยุทธ์นี้แลกมากับความเกลียดชัง และคดีมหาศาล

ใช่ครับ อย่างที่บอก พอผมเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ผมก็อุทิศตัวในการต่อสู้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าต้องสูญเสียหลายอย่าง ไม่ว่าจะโอกาส เพื่อน การมีชีวิตแบบอื่น ผมมองว่าการกระทำของผมเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกคนมีทิศทางประวัติศาสตร์ของตัวเอง

ถือเป็นการขีดเขียนประวัติศาสตร์ของคุณบัสบาสเอง

ใช่ ทุกคนมีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งของผมเป็นแบบนี้

อะไรที่ทำให้คุณบัสบาส ยังใช้ชีวิต ‘สุดตีน’ แม้ว่าจะถูกตัดสินโทษ 28 ปี ก็ยังจะสุดตีนต่อไป

กำลังใจครับ ผมคิดว่าสุดท้ายคือตัวเรา ไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรตัวเราก็จะให้กำลังใจตัวเองเสมอ ผมคิดว่าสิ่งที่ให้กำลังใจผมดีที่สุดคือตัวผมเอง คืออุดมการณ์ จิตวิญญาณที่หล่อเลี้ยงเราไว้ตลอด นี่คือกำลังใจหรือแรงผลักดันที่ทำให้ผมพุ่งต่อไปครับ

ถ้าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นหน้าหนึ่งในสมุดบันทึก คุณอยากบันทึกอะไรไว้

สิ่งที่ผมอยากจะทิ้งท้ายในวันที่ไม่อยู่แล้วก็คงเป็นคำพูดง่ายๆ ว่า 

“บ๊ายบายโชคดี สบายดี ลาก่อน”

Tags: , , , , , ,