ค่ำคืนในฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน ปี 2524 เดวิด สเตร็คฟัสส์ นั่งอยู่บนหลังรถกระบะคันหนึ่งที่กำลังออกจากตัวเมืองยโสธร มุ่งหน้าไปยังกิ่งอำเภอค้อวัง ระยะทางร่วม 80 กิโลเมตร
หลังนั่งไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มชาวอเมริกันคนนี้ก็ต้องเจอกับ ‘คัลเจอร์ช็อก’ เมื่อเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งหยิบเอาสุราขาว 40 ดีกรี ที่พกติดตัวมายกขึ้นดื่มดับความหนาว พร้อมเอ่ยชักชวนให้ทำตาม นั่นเป็นครั้งแรกที่เดวิดรู้สึกฉงนใจ และเริ่มตั้งคำถามถึงเมืองไทยที่เขาเชื่อมาตลอดว่า ผู้คนนับถือศาสนาพุทธและถือศีลห้าข้ออย่างเคร่งครัด เหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้เดวิดปรับตัวและเข้าใจคำว่า ‘ยืดหยุ่น’ และ ‘ความเป็นไทย’ ได้อย่างแท้จริง
ย้อนไปก่อนหน้า ฤดูใบไม้ผลิ ปี 2522 ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 หลังเก็บเงินได้จากการทำงานดูแลคนชรา เดวิดตัดสินใจเดินทางท่องยุโรปเพื่อออกไปเห็นโลกมากขึ้น หนังสือของ อัลแบร์ กามู (Albert Camus) ได้แก่ Resistance, Rebellion, and Death และ The Rebel ที่เขาอ่านกลายเป็น ‘เสียงจากพระเจ้า’ หรือแม้แต่งานของนักเขียนอเมริกัน วิลเลียม โฟล์กเนอร์ (William Faulkner) อย่าง The Sound and the Fury และ Light in August ก็เป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร นั่นคือการทำงานเพื่อมวลชนคนทุกข์ยาก และยืนหยัดที่จะเป็นฝ่ายซ้ายมาทั้งชีวิต
ในวัย 21 ปี เดวิดเรียนจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์และวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ บ้านเกิด ด้วยความคิดเสรีนิยม เขาสัญญากับตัวเองว่าจะหนีออกจากสหรัฐอเมริกาให้ได้ เพราะเบื่อรัฐบาลอนุรักษนิยมของ โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) ที่สนับสนุนการทำสงครามเย็นอย่างสุดขั้ว กระทั่งโครงการ Peace Corp (อาสาสมัครหน่วยสันติภาพอเมริกา) เปิดรับสมัครคนอเมริกันให้มาสอนหนังสือภาษาอังกฤษ และสาธิตการทำเกษตรรูปแบบใหม่ รวมทั้งเผยแพร่แนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้กับประเทศโลกที่สาม ในที่สุดเดวิดเลือกประเทศไทย ดินแดนด้ามขวานแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ต่อมาปี 2527 หลังจบโครงการ Peace Corp เดวิดตัดสินใจบวชเป็นพระ เพราะอยากศึกษาความเป็นไทย และเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายในมากขึ้น ประกอบกับได้อ่านงานเกี่ยวพุทธศาสนาของ ส.ศิวรักษ์ ทำให้เขาอยากสนทนากับปัญญาชนสยาม ทว่าก่อนจะได้พบกัน เดวิดถูกชักชวนจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ให้กลับไปเรียนต่อด้านปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ปรัชญา และวรรณคดี จากนั้นเรียนต่อปริญาเอกสาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน งานวิทยานิพนธ์ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นล้วนมีเนื้อหาที่ร้อยรัดเชื่อมโยงเดวิดเข้ากับเมืองไทย จนสุดท้ายเขาตัดสินใจรับงานด้านวิชาการ ในฐานะผู้อำนวยการโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาอเมริกันหรือ CIEE (Council on International Educational Exchange) เพื่อมาทำความรู้จักกับเมืองไทยอย่างลึกซึ้ง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เดวิดปักหลักอยู่ที่เดิมมานานกว่า 30 ปีแล้ว จนพูดได้เต็มปากว่า ประเทศไทยและภาคอีสานคือ ‘บ้าน’ ของเขา
สามสิบกว่าปีที่คุณออกจากสหรัฐฯ เพราะไม่ชอบรัฐบาลโรนัลด์ เรแกน กับวันนี้ที่คนไทยจำนวนหนึ่งอยากย้ายประเทศ เพราะเบื่อรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณคิดว่ามีส่วนคล้ายคลึงกันไหม
มันเป็นปรากฏการณ์เฉพาะเวลาหนึ่งในประเทศหนึ่ง แต่คล้ายๆ กันตรงที่ว่ามีความเบื่ออนาคตที่เป็นทางตัน เขาอยากให้สังคมดีกว่านี้ คำตอบที่เขาได้คือออกจากประเทศ หรืออาจต้องถูกจำคุก หากต้องเรียกร้องทางการเมืองในระดับที่สูงขึ้น เขารู้สึกไม่มีทางเลือก ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เคยคิดเบื่อประเทศไทยจนซึมเศร้าตอนรัฐประหารปี 2557 แต่คุณต้องรู้เท่าทันว่านี่คือสิ่งที่เผด็จการสร้างมาให้คนเบื่อ อยากเก็บตัว ไม่อยากยุ่งกับสังคม เป็นผลกระทบที่ตั้งใจให้คนเป็นแบบนี้
คนอื่นอาจจะพยายามหาทางออกไปประเทศนั้นประเทศนี้ แต่ผมฝากชีวิตไว้กับที่นี่นานแล้ว ก็อยากจะสู้กับที่นี่ต่อไป จนกว่าจะตัดสินใจอย่างอื่น แต่ที่ผมรู้สึกไม่พอใจคือคนที่พยายามเรียกร้องสิทธิดันถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ข้อครหาแบบนี้มันเกิดในสังคมเผด็จการอย่างเดียว จะไม่เกิดในสังคมประชาธิปไตย
คิดเห็นอย่างไรกับกระแสความเป็นพลเมืองโลก
เดิมทีผมไม่ได้เป็นคนชาตินิยม ตอนที่เป็นอาสามัคร Peace Corp เราต้องสาบานว่าจะทำตามรัฐ ผมก็รู้สึกเออออ แต่ไม่ได้จงรักภักดี ถามว่ารักสหรัฐอเมริกาไหม ผมชอบมาก ชอบชีวิตที่นั่น ชอบนิสัยผู้คน แต่ผมไม่เคยตั้งตัวว่าผมเป็นคนอเมริกัน ผมเน้นความเป็นมนุษย์มากกว่า สร้างความเคารพนับถือในระดับหนึ่ง และเข้าใจความแตกต่างได้
ผมคิดว่า แม้ ธงชัย วินิจจะกูล ย้ายไปสหรัฐฯ แต่เขาก็คงคิดว่าตัวเองยังเป็นคนไทยอยู่ อาจจะตามข่าวบ้าง คล้ายๆ ผมอยู่ที่นี่ ลูกโตที่นี่ แต่ก็ยังตามข่าวที่สหรัฐฯ อาจจะเขียนข่าวแสดงความคิดเห็นลงเว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์เป็นครั้งคราว ผมอาจจะรู้สึกเหมือนหลายล้านคนทั่วโลกที่ย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง ตอนแรกอาจจะรู้สึกเป็นแขก เหมือนผมบอกนักศึกษาว่า เวลาไปกินนอนอยู่กับชาวบ้าน คุณควรเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ไปอยู่ เพราะคำว่า ‘แขก’ ในความหมายหนึ่งคือความห่าง ผมก็มีเพื่อนหลายคนที่อยู่ประเทศไทยไม่ได้ เพราะถูกมองว่าเป็นฝรั่ง นั่นหมายถึงการเป็นคนนอก ไม่ใช่พวกเรา
เหมือนว่าคุณจะพบประสบการณ์การเป็นคนนอกทางวัฒนธรรมมาตลอด
ลูกสาวผมเป็นลูกครึ่ง เป็น Pain Point ของเขามาก สำหรับพวกเราไม่มีปัญหา เพราะไม่มีใครในครอบครัวจะว่าเขาว่าเป็นคนเอเชีย แต่ถ้าพูดแบบนี้ที่สหรัฐฯ มันคือการแสดงออกว่าคุณไม่ใช่เรา เพราะที่นั่นไม่ว่าจะเป็นคนเอเชีย คนเยอรมัน อะไรก็แล้วแต่ ทุกคนก็ต้องเป็นเรา
ในที่สุดลูกสาวผมก็ทนไม่ได้กับคำว่าลูกครึ่ง เพราะเป็นเหมือนคำด่า ลูกครึ่งนี่มันครึ่งอะไร เขาก็รู้สึกอึดอัด สุดท้ายเลยตัดสินใจไปอยู่สหรัฐอเมริกา และในช่วงนั้นฝ่ายอนุรักษนิยมที่นั่นก็มั่วๆ คนเอเชียโดนดูถูกเยอะ เขาเคยทำงานคล้ายผมที่ดูแลคนชรา มีคนในศูนย์คนชราถามเขาว่ามาจากไหน เขาก็บอกว่าเมดิสัน ชายคนนั้นก็งงๆ และพูดว่า ไม่ๆ คุณมาจากไหนกันแน่ คือเขาอยากได้ยินว่ามาจากจีน ฟิลิปปินส์ อะไรก็ว่าไป มันเกิดจากความใจแคบชนิดหนึ่ง คนสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิจะว่าใคร เพราะนอกจากคนพื้นเมือง ทุกคนต่างก็อพยพมาเหมือนกันทั้งนั้น
คิดอย่างไรเวลามีสื่อบางจำพวกบอกว่า ทำไมสหรัฐอเมริกาชอบไปวุ่นวายกับประเทศนั้นประเทศนี้
นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่ชัดเจนมา 20 ปีแล้ว นอกจากเปิดสงครามกับผู้ก่อการร้าย ถ้าเป็นระดับองค์กรพัฒนาเอกชน เราก็จะรู้ว่า กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy: NED) สนับสนุนคนชายขอบ สนับสนุนประชาธิปไตย สนับสนุนสิทธิมนุษยชน เพราะมันเป็นกระแสโลก เป็นเรื่องปกติ ไม่เกี่ยวข้องกับสถานทูต เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเย็น และเป็นหนึ่งในหลายองค์กรที่เกี่ยวพันกับนานาชาติซึ่งมีนโยบายที่จะช่วยให้คนมีสิทธิ์มีเสียง รู้จักสิทธิมนุษยชน
นี่เป็นเรื่ององค์กรระหว่างประเทศ หลายกลุ่มที่ทำงานในสหรัฐฯ ได้ทุนจากองค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Medicine Sans Frontières: MSF) ก็เป็นทุนจากฝรั่งเศส มันก็สะท้อนว่าไม่ได้มีเฉพาะสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ถ้าได้ทุนจาก มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Science Foundation: NSF) ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ กลับไม่มีใครตั้งคำถาม และถ้าได้ทุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) จะมายุ่งเฉพาะประเทศนี้ไหม ก็ไม่ มันก็แล้วแต่ เพราะถ้าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว องค์กรพวกนี้ก็จะไม่ให้ทุน เพราะว่าไม่มีปัญหาแล้วไง หรือกองทุนแก้ปัญหาคนผิวสีในสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ เพราะปัญหามันเข้ามามีเรื่อยๆ ข้อกล่าวหาเหล่านี้จึงเหมือนเป็นการกล่าวหาจากคนที่ไม่มีน้ำหนักทางปัญญา เป็นแค่คำด่าที่ไม่ได้สะท้อนอะไร แต่มันสะท้อนว่าประเทศไทยยังเป็นอำนาจนิยมที่มีต้นตอจากรัฐประหาร และใช้วิธีกดขี่คนเพื่อรักษาอำนาจไว้
ที่ผ่านมาคุณถูกสื่อฝ่ายขวาในเมืองไทยกล่าวหาว่าเป็นซีไอเอแฝงตัวบ้าง ต่อต้าน ม.112 บ้าง มีข้อกล่าวหาใดที่รับไม่ได้มากที่สุด และคุณมองเรื่องนี้อย่างไร
ผมตีความว่า 20 ปีมานี้ อุดมการณ์ของพวกอนุรักษนิยมมันอ่อนแอนานแล้ว มันอ่อนลงเพราะประชาธิปไตยมันเข้มแข็งขึ้น เขาก็เลยต้องหาจุดอะไรสักอย่าง ใช้วิธีการสร้างเรื่องนั้นเรื่องนี้มาโจมตี ถ้าจะมาพูดคุยถึงสิ่งที่ผมทำในชีวิตจริงก็มาคุยตรงๆ หรืออยากวิจารณ์ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่แทนที่เขาจะมาคุยเรื่องข้อเท็จจริง กลับสร้างอะไรต่อมิอะไรมาเพื่อทำลายผม ไม่ว่าผมหรือนักศึกษาที่ประท้วงทางการเมือง เขากลัวหมด ผมสงสารเขา ที่เขาเล่นแบบนี้ เพราะผมจะไม่เล่นกับมนุษย์คนอื่นแบบนี้ พวกเขามันน่าละอาย ปัญญาที่พระเจ้ามอบให้ คุณทำได้แค่นี้เองเหรอ
ฝ่ายขวาไทยเขาไม่รู้ว่าจะปกป้องจุดยืนของเขายังไง ส่วนเขาจะสร้างผมเป็นอะไรนั้น ผมไม่ได้สนใจ เพราะผมไม่รู้สึกว่าเขาจะสื่ออะไรเกี่ยวกับชีวิตผมได้ ผมก็มั่นใจในตัวเองว่าชีวิตของผมคืออะไร เขาจะว่ายังไงก็เป็นเรื่องเขา แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ เรื่องซีไอเอที่มีคนกล่าวหา ผมเป็นพระอยู่ประเทศลาว 6 ปี ผมก็ตั้งคำถามว่าเขาคิดได้ยังไง เขาน่าจะมาถามกับผมตรงๆ ดีกว่า ไม่ใช่กล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง และเขาคงพิสูจน์ไม่ได้ก็เพราะมันไม่จริง
ย้อนไปตอนตัดสินใจมารับบทบาทผู้บริหาร CIEE ที่ขอนแก่น ส.ศิวรักษ์ ให้คุณไปเจอเอ็นจีโออีสานสองคน เขาแนะนำอะไรคุณบ้าง
เขาขอให้ผมเปลี่ยนหลักสูตร ซึ่ง CIEE มีโมเดลการศึกษาแบบใหม่ มีเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่จะได้ลงมือสัมภาษณ์ชาวบ้านกับเรียนรู้พื้นที่จริง ดีกว่าอ่านหนังสือ อ่านบทความเพียงอย่างเดียว
ช่วงนั้นอาจารย์สุลักษณ์มาที่ขอนแก่น เขาก็ให้ เดชา เปรมฤดีเลิศ มาคุยกับผม และยังได้คุยกับ บำรุง บุญปัญญา ที่มหาสารคามด้วย ว่าจะจัดการศึกษาแบบใหม่อย่างไร
ด้วยความเป็นนักพัฒนาเอกชนในอีสาน วัตถุประสงค์ของเขาคือ อยากให้อยู่แบบชาวบ้าน People to People แต่หน้าที่ของผมคือให้มีหลักสูตรเรียนรู้ที่ชาวอเมริกันต้องเข้าใจโลกกว้างมากขึ้น คือให้มีเลกเชอร์ก่อน เช่น เหมืองแร่ ก็ให้ข้อมูลเรื่องที่มาของเหมืองแร่ หรือการเข้าไปใช้เหมืองแร่ของมนุษย์ในสมัยประวัติศาสตร์ เชิญอาจารย์มาคุยต่อ เชิญเอ็นจีโอมาพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เราก็อธิบายว่าจะไปหมู่บ้านยังไง นอนยังไง กินอยู่ยังไง ให้เขาเตรียมคำถามเอง ในที่สุดเราก็พัฒนาให้มีแกนนำนักศึกษา ดูชุมชนที่เราไปเยี่ยมว่ามีปฏิกิริยายังไง ทั้งทางลบและทางบวก ตอนท้ายแต่ละคนอาจจะเขียนบทความสะท้อนออกมาให้เขารู้สึกเชื่อมโยงกับความเป็นสหรัฐอเมริกา และมากกว่านั้น เราอยากให้เขารู้สึกถึงการเป็นพลเมืองโลก ให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น
ดูเหมือนว่าเอ็นจีโอในยุคนั้นจะมีความรู้สึกต่อต้านอเมริกา แล้วคุณวางตัวยังไง
มันเป็นมาตั้งแต่ 6 ตุลา 2519 แล้ว เพราะตอนนั้นสหรัฐฯ ไม่ได้ร่วมต่อต้านการรัฐประหารในประเทศไทย หนำซ้ำ สหรัฐฯ กลับสนับสนุนรัฐบาลชุดหลังจากนั้น ปัญญาชนไทยเลยขี้ระแวงคนอเมริกัน เราพูดกันเล่นๆ เวลาแนะนำตัวว่าเป็น CIEE เขาก็จะถามว่าเป็นซีไอเอเหรอ (หัวเราะ) เราก็ฟังเขา และในฐานะนักประวัติศาสตร์ เราพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองไทย ซึ่งพอได้คุยกัน เขาก็จะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นชาวอเมริกันแบบนั้น หรือมองว่าเราเห็นด้วยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มายุ่งเรื่องของต่างประเทศ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางประเทศ มีตัวอย่างเยอะที่ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาล แล้วสหรัฐฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวจนเกิดรัฐประหาร เช่น อิหร่าน ค.ศ. 1953, ชิลี ค.ศ. 1973 หรือประเทศอื่นๆ ในอเมริกากลาง เราเลยไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลอเมริกาทำ มันไม่ตรงกับอุดมคติของรัฐบาลที่สนับสนุนประชาธิปไตย
ในความคิดคุณ ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงสนใจภาคอีสาน
สมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (2502-2506) รัฐบาลสหรัฐฯ รู้ว่าอีสานเป็นปัญหา และนิยามว่าปัญหาของอีสานเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขด้วยการพยายามเอาชนะใจคน สร้างถนน เอาไฟฟ้ามาลง แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นรัฐบาลทหารที่ทำ ซึ่งมันอาจจะมองข้ามวัตถุประสงค์ของคนลึกๆ ที่อยากให้เป็นแบบอีสานควรจะเป็น เพราะอีสานก็เป็นเป้าตลอด ด้วยเป็นภาคที่มีคนเยอะ ซึ่งกรุงเทพฯ ก็มองว่าต้องควบคุมให้ได้ และควบคุมโดยใช้ความเป็นไทย เพราะถ้ายึดความเป็นไทย การที่คนไกลห่างจากกรุงเทพฯ ก็ยิ่งมีความเป็นไทยน้อยลง ดังนั้น เขาต้องทำให้คนที่ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ หรือคนที่ไม่ใช่ไทยแท้ อยู่ภายใต้การควบคุม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังต้องการแรงงานอีสานมาช่วยพัฒนาภาคกลาง ผ่านอาชีพต่างๆ เช่น ผู้หญิงขายบริการ คนขับรถแท็กซี่ แรงงานก่อสร้าง ถ้ามองอีกแบบเหมือนตั้งใจไม่ให้ภาคอีสานพัฒนาจนเกินไป เพราะไม่งั้นเขาจะไม่มาที่กรุงเทพฯ ที่กรุงเทพฯ ก็จะขาดแคลนแรงงาน หรือถ้าอยู่อีสาน ยากจน ไม่มีงาน อาจจะต้องไปต่างประเทศ รัฐบาลก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเขาจะไปหางานเองหาเงินเอง
ส่วนนักวิชาการทุกคนนั้นรู้สึกดีกับคนอีสาน ฝรั่งหลายคนมาอยู่แล้วชอบนะ เช่น จะมีคนรับใช้ มีนี่มีนั่น เพราะราคาถูก สามารถซื้อแรงงานคนอื่นที่จะทำให้ชีวิตตัวเองสบาย จึงมีฝรั่งกลุ่มหนึ่งที่ชอบอยู่ที่นี่ เพราะคนให้ความเคารพนับถือ ถ้าอยู่บ้านตัวเองก็จะเป็นปุถุชนธรรมดา แต่มาที่นี่เขาจะตัวใหญ่ ผมเคยเจอคนสนับสนุนระบบนี้ที่พูดว่า เมืองไทยเป็นเผด็จการก็ไม่เป็นไร เพราะเขาก็อยู่ข้างบน
แต่ดูเหมือนว่าความเท่าเทียมในประเทศไทยก็ไม่ได้จำกัดที่ภาคอีสานเท่านั้น
นักวิชาการหลายคนที่มาก็จะศึกษาพื้นที่ชายขอบของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาคอีสาน หรือแม้แต่ภาคเหนือ ซึ่งเรียกว่าเป็นพื้นที่ที่การพัฒนาไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียม
ผมเคยอยู่ยโสธร จำได้ว่าตอนเข้าเมืองอุบลฯ ก็เห็นมีตึกสร้างใหม่เล็กๆ เป็นสำนักงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ คล้ายๆ ว่านโยบายที่ส่งต่อมาในยุครัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่ได้กระจายอำนาจจริง ไม่ได้ให้ท้องถิ่นตัดสินใจเอง ในที่สุดไม่ว่าเป็นเหมืองแร่หรือโรงงานน้ำตาล แม้แต่รัฐธรรมนูญที่บอกว่าต้องมีประชาพิจารณ์ ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลกรุงเทพฯ ก็เป็นคนตัดสินใจ ชาวบ้านไม่ได้กำหนด ชาวบ้านต้องไปคุยกับกรุงเทพฯ ข้าราชการในท้องถิ่นไม่มีอำนาจพูด เขาอาจจะมีความเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แต่ยังไงก็ตามต้องไปคุยกับที่กรุงเทพฯ ก่อนอยู่ดี เรื่องแบบนี้ก็สะสมมาเรื่อยๆ
สิ่งที่คุณและคนในอีสานเริ่มเห็นชัดมาจากเหตุการณ์อะไร
ตอนเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่กลายเป็นโมฆะ มีความไม่พอใจของผู้คนสูงมาก เช่น อีสานเลือกใคร กรุงเทพฯ ก็จะล้ม พรรคที่คนอีสานเลือกก็จะไม่ให้ปกครองแบบปกติ จะสร้างอุปสรรคไปเรื่อยๆ การเลือกตั้งครั้งนั้นเห็นชัดจากที่หลายคนบ่นว่า ถ้าเป็นแบบนี้ก็แยกประเทศไปดีกว่า มันแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไม่เท่าเทียมจริงๆ และคนอีสานก็น้อยใจที่โดนดูถูก หากมีความเท่าเทียมจริง คำตอบจะไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ คำตอบจะอยู่ที่คนอีสานเอง
มีเพื่อนที่เขียนบทความเกี่ยวกับกรุงเทพฯ ก็ตั้งคำถามว่าความเป็นกรุงเทพมันคืออะไร เขาก็หาคำตอบมาหลายปี เคราะห์ร้ายที่ชัดเจนที่สุดมันเกิดจากเสื้อแดงไปประท้วงที่ราชประสงค์ในปี 2553 เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของกรุงเทพฯ เขาบอกว่าพวกคุณกลับบ้านไป ที่นี่ไม่ใช่บ้านคุณ แต่เอาเข้าจริงๆ เมืองหลวงน่าจะเป็นเมืองของทุกคน เอาเข้าจริงๆ คนอีสานก็ไม่รู้จะไปประท้วงที่ไหนให้ได้ผล เลยต้องเข้ากรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ คือศูนย์รวมอำนาจ
ในระยะหลังที่มีโซเชียลมีเดีย คนอีสานก็เริ่มเห็นบทความเกี่ยวกับอัตลักษณ์อีสาน วัฒนธรรมอีสานที่คนกดไลก์เยอะขึ้นมาก ก็มีกระแสบ้าง คนอีสานไม่อายแล้ว พวกเขาเริ่มยอมรับว่าตัวเองเป็นคนลาวหรือเป็นคนอะไรก็แล้วแต่ ขณะที่รัฐบาลรวมศูนย์อำนาจและไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าพูดถึงงบประมาณของรัฐ คนคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ ได้ 24 เท่าของคนที่อีสาน จีดีพีของอีสานได้ 11% แต่ได้คืนมา 6% ซึ่งอย่างน้อยมันน่าจะได้คืนมาเท่ากับสิ่งที่เราผลิตมา หรือคิดแบบเท่าเทียมตามจำนวนประชากรน่าจะเป็น 33% แต่ปัญหาคือมันอยู่ในกรอบอำนาจของกรุงเทพฯ อยู่ดี
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนอีสานส่วนหนึ่งยังไม่ลืมการเมืองแบบไทยรักไทย และนายกฯ แบบทักษิณ ชินวัตร
ผมก็เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ และมีคนให้ออกความเห็นเรื่องนโยบายของทักษิณ ผมรู้สึกว่าทักษิณอำนาจนิยมค่อนข้างสูง ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทฟ้องคนอื่น อันนี้ไม่เหมาะกับการเป็นนายกรัฐมนตรี หรือการเหิมเกริมให้สัมภาษณ์แบบว่า UN ไม่ใช่พ่อผม ก็มีหลายอย่างที่ไม่ดี
ช่วงแรกที่หลายคนออกมาประท้วงหลังรัฐประหารปี 2549 อาจจะทำเพื่อทักษิณ แต่แล้วทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างอื่นมากกว่า หลายสิ่งหลายอย่างตัวทักษิณก็ไม่ได้คิดเอง เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค อันนี้มีการพูดกันมานานแล้ว แต่ก่อนนั้น เวลาไปไหนในอีสาน ทุกครอบครัว โดยเฉพาะคนจนก็จะพูดถึง ช่วงนั้นที่คนไม่สบาย ต้องใช้เงินเยอะ เป็นการทำลายฐานการเงินของเขา สิ่งนี้ทำให้คนจนไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น เพราะเจอปัญหาสุขภาพในครอบครัว มันทำลายชีวิตง่ายๆ แต่หลังจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ทำให้ชีวิตหลายคนเปลี่ยน โดยที่ไม่ได้เป็นหนี้จากการรักษา
ทักษิณทำหลายอย่างเพื่ออำนาจ แต่นโยบายของเขาช่วยคนจนช่วยคนทั่วไป และเขาทำตามนโยบายที่บอกไว้ แตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มีหลักการมากกว่านโยบาย แต่ไม่ได้ทำตามนโยบายแบบทักษิณ ทักษิณเอาชนะใจหลายคนโดยเฉพาะคนรากหญ้า ทำให้ทางกรุงเทพฯ ค่อนข้างไม่พอใจ และอิจฉา ซึ่งรัฐไทยไม่เคยปล่อยให้ใครใหญ่เกินไป ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์แบบไทยรักไทยในระยะหลังนั้น การซื้อเสียงแทบไม่มีผล เพราะคนก็อยากเลือกอยู่แล้ว เงินมีบทบาทน้อยลง เพราะเขาเลือกนโยบายไม่ใช่ตัวบุคคล ตอนทักษิณหายไป ระยะแรกคนอาจจะอยากเห็นทักษิณกลับมา แต่ตอนที่เสื้อแดงประท้วงที่ราชประสงค์ผมก็ตามดูตลอด จึงเห็นว่ามีเสื้อแดงที่ไม่ชอบทักษิณ แต่ชอบที่ตัวนโยบาย ตอนแรกทักษิณอาจมีส่วนในสาเหตุของการประท้วงสัก 50-60% แต่ช่วงหลังอาจจะลดลงจนแทบไม่เกี่ยวข้องอีกแล้ว เพราะเขาอยากได้ประชาธิปไตยจริงๆ เขารู้สึกว่าถ้ามีรัฐบาลที่ตอบสนองความต้องการของคนรากหญ้า อีสานก็จะพัฒนามากว่านี้
คุณคิดว่าเหตุการณ์อะไรที่เปลี่ยนโฉมหน้าภาคอีสานไปตลอดกาล
ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เวลาพูดถึงสิทธิมนุษยชน แม้แต่เอ็นจีโอก็ยังไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะเขาบอกว่าคำตอบอยู่ในหมู่บ้าน คล้ายๆ ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะไปพูดถึงการเลือกตั้ง พรรคการเมือง หรือรัฐธรรมนูญ เขาอาจมีความฝันว่าจะแยกตัวไปอยู่ในชุมชนอุดมคติ พึ่งพาตัวเอง แต่พอรัฐธรรมนูญปี 2540 ออกมา ก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น ชาวบ้านก็สนใจ สมัชชาคนจนก็ขึ้นมา นักศึกษาก็มองเห็นว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวบ้านในการเรียกร้องสิทธิและความยุติธรรม
สำหรับผม สิ่งที่เปลี่ยนโฉมอีสานได้จริงๆ คือการก่อเกิดของกลุ่มดาวดิน โดยเฉพาะหลังปี 2557 เขาสนใจสิทธิชุมชนมากๆ และข้ามสะพานไปสู่ความสนใจเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ไปพร้อมๆ กัน พวกเขามองว่าทั้งสองอย่างเป็นปัญหา แต่พูดก็พูดเถอะว่า ในแวดวงเอ็นจีโอไทยหลังจากรัฐประหารปี 2557 หลายคนก็ไม่อยากทำแล้ว อยากแยกตัวเองออกจากสังคม อยากไปที่อื่น อยู่ประเทศไทยแล้วไม่คุ้ม
ในตอนนี้ขบวนการเอ็นจีโอ แบบสมัชชาคนจนยังจำเป็นไหมในภาคอีสาน
ยังจำเป็นอยู่ ปัญหาของคนจนทั่วๆ ไป หรือคนที่อาจจะอยู่ในระบบเดิมของประเทศไทยมันเกิดจากฐานของความกลัว กลัวที่จะพูด เพราะสังคมสอนให้เจียมเนื้อเจียมตัว เป็นคนจนไม่มีการศึกษา สมัชชาคนจนก็สอนให้คนที่ไม่เคยคิดมีอำนาจในตัวเองสามารถพูดได้ กล้าพูด กล้ามารวมตัวเรียกร้อง
ผมว่ายังจำเป็นอยู่ เพราะยังไม่มีความเท่าเทียมระหว่างอีสานกับกรุงเทพฯ คนก็ต้องรวมตัว เพราะต่อให้รัฐบาลใจดีแค่ไหน เขาก็ไม่ได้สนใจมาก นอกจากว่าอีสานเรียกร้องและผลักดันให้เขาสนใจ
ขณะที่สมัชชาคนจนก็ทำได้ระดับหนึ่ง พวกเขาเคยประท้วงนาน 99 วัน (การชุมนุมในปี 2539 ของผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาเขื่อน ปัญหาป่าไม้-ที่ดิน ปัญหาจากโครงการของรัฐ ปัญหาผู้ป่วยจากการทำงาน และปัญหาชุมชนแออัด) จนรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธ ยอมตกลงข้อเสนอ ถึงแม้รัฐบาลต่อไปจะไม่ยอม ก็มีช่วงหนึ่งที่เขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความเท่าเทียมกัน มันจึงจำเป็น โดยเฉพาะคนที่อยู่ชายขอบสังคม
ปัจจุบัน ผมรู้สึกแปลกใจหลังจากคุยกับนักศึกษาที่ไปประท้วงในกรุงเทพฯ เขาไม่รู้จักอีสานมากเท่าไหร่ ทุกคนมองไปกรุงเทพฯ หมด ผมมองว่ารวมตัวกันได้ เพื่อผลักดันให้มีโอกาสที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเข้าร่วมกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเต็มที่ อาจจะมีข้อเรียกร้องพิเศษของเขาด้วย แต่ก่อน ส.ส. อีสานหลายพรรคก็รวมตัวโดยไม่จำกัดพรรค แต่หลังจากสฤษดิ์ขึ้นมามันก็หายไป จากนั้นอีสานก็ไม่ได้พูดอะไรในนามของอีสานอีก หรือพยายามแค่ไหนก็ไม่เหมือนเดิม อีสานจึงเป็นที่รับใช้ของการประท้วง เป็นที่รับใช้ของการเลือกตั้ง หรือของตลาดแรงงาน และคนอีสานก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คิดอย่างไรกับปรากฏการณ์สื่อออนไลน์แบบอีสานเรคคอร์ด
จริงๆ น่าจะมีอีสานเรคคอร์ดหลายที่ น่าจะมีล้านนาเรคคอร์ด หรือสื่อที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่เด่นชัดกว่านี้ แต่ละคนก็ต้องมีวิธีของเขาเอง อีสานเรคคอร์ดก็เป็นเวทีชนิดหนึ่ง ที่จะให้เสียงของคนอีสานพูดกันเองภายใน ถ้าคนกรุงเทพฯ จะแอบฟังหรือแอบดูก็ได้ แต่อีสานต้องพูดเพื่อคนอีสานก่อน แล้วค่อยคุยกับกรุงเทพฯ ต้องมีหลายๆ เวทีให้คนอีสานมาคุยกัน คุยกันให้ถึงหลักการว่า อยู่ในประเทศเดียวกัน ทำไมเราได้ไม่เท่ากัน คนธรรมดาที่ฟังจะก็รู้สึกไม่ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของอีสานที่จะสื่อให้ชัดเจน
จากกระแสช่วงที่ผ่าน ทำไมถึงมีคำพูดว่าอีสานต้องปลดแอก
การปลดแอกเกิดจากทุกกลุ่มทั่วโลก เมื่อทุกคนเผชิญกับศูนย์กลางที่ครอบงำมันก็จะอยากกำหนดตัวเอง ไม่ใช่ยอมรับในโชคชะตาที่ต้องเป็นคนชายขอบ อีสานต้องมีช่วงหนึ่งที่ปลดแอก ก็เป็นกระแสและเป็นขบวนการที่เคยเกิดขึ้นแต่ก็ถูกปิดไป
นิสัยของคนอีสานส่วนหนึ่งคือ อยากทำให้คนอื่นรัก อยากเป็นคนน่ารัก ตอนที่ไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องทำตัวไม่ให้เป็นคนอีสานยิ่งดี คนอีสานยังไม่กล้าที่จะจินตนาการมากกว่านี้ ยังมีกรอบและขอบเขต ต้องสร้างจินตนาการใหม่ ภูมิใจในตัวเอง คุณต้องไม่รู้สึกด้อยกว่าเขา สังคมอีสานก็จะเปลี่ยน
ดูตัวอย่างอนุสาวรีย์ในอีสาน มันเป็นสิ่งที่กรุงเทพฯ กลืนหมด ทั้งประวัติศาสตร์ ภาษา และอัตลักษณ์ ผมก็ดูในบางเมืองว่าเขาไม่มีตัวบุคคลที่โดดเด่นเหรอ ที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่ในกรอบของประวัติศาสตร์ประเทศไทย ไม่มีใครเลยเหรอ ถึงกับต้องเอาของกรุงเทพฯ มา มันน่าสงสารผีท้องถิ่น
ในทางกลับกัน อนุสาวรีย์จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ขอนแก่น ที่กลับมาสร้างในปี 2526 ก็น่าสนใจว่ามันกลับมาได้ยังไง หรือการที่จะเปลี่ยนชื่อขอนแก่นเป็นสฤษดิ์ธานี มันเกิดจากใครที่มีอำนาจตัดสินใจ คงไม่ใช่มาจากท้องที่แน่ๆ เป็นระบบของทางการ ส่วนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่างๆ ในอีสานยังโชคดีที่ขอนแก่นและที่อื่นๆ ยังพอมี แต่ที่บุรีรัมย์คือหายไปเลย เอาช้างใหญ่มาตั้งแทน
การปลดแอกมีหลายแบบในโลกที่ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญและรักษาอัตลักษณ์ของตัวเองได้ เราไม่ได้พูดถึงการแบ่งแยกประเทศ แต่การกระจายอำนาจก็มีหลายแบบ ตอนนี้มันกระจายแค่หน้าที่และงบบางอย่าง ไม่ได้กระจายอำนาจการตัดสินใจ ในรัฐธรรมนูญ 2540 ตอนแรกเราก็เชื่อว่าทั้งการศึกษาและการรักษาความปลอดภัยจะถูกโอนอำนาจมาที่ท้องถิ่น แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในตอนนี้
ก่อนหน้านี้คุณศึกษาความเป็นไทยผ่านอะไรบ้าง
ผมอยู่กับมันจนเห็นโครงสร้างของมันเอง ก็เอาปรากฏการณ์ต่างๆ มาดูว่ามันสัมพันธ์กันยังไง และมีตรรกะของมันยังไง
ผมเคยเรียนจากคุณสนิทสุดา เอกชัย อดีตนักข่าวบางกอกโพสต์ ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับคนธรรมดาที่เจอสมัยเป็นนักข่าว และผมเองเคยสอนวรรณกรรมไทย ก็ใช้วิธีให้นักศึกษาไปอ่าน ไปคุยกับเจ้าของหนังสือ ก็คุยกับศรีดาวเรือง, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, ชาติ กอบจิตติ และลาว คำหอม เพราะการได้คุยกับเจ้าของเรื่องน่าจะดีที่สุด นิยาย คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ สะท้อนสังคมไทยได้ดีที่สุด ผมชอบมาก อ่านเป็นฉบับเป็นภาษาไทยก่อนฉบับภาษาอังกฤษ
และตอนผมเรียนมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ก็อ่านงานของ คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะอ่านง่าย เข้าใจง่าย เห็นภาพเมืองไทยชัด
ส.ศิวรักษ์ เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ส่งอิทธิพลต่อความคิดคุณไม่น้อย
งานของ ส.ศิวรักษ์ ที่ผมประทับใจคือ พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (engaged Buddhism) เป็นพุทธที่เข้าร่วมกับสังคม มีบทบาทในสังคม ไม่ใช่พุทธศาสนาที่แยกตัวออกจากสังคม แต่บทบาทของ ส.ศิวรักษ์ ก็ไม่เหมือนคนอื่น จำแนกยากว่าเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา เป็นอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น บอกยาก เหมือนมีสองคนในคนเดียว สุลักษณ์คนหนึ่งก็เป็นนักวิชาการของชนชั้นสูง เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมไทย ชอบกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนสุลักษณ์อีกคนหนึ่งก็เห็นใจกับความทุกข์ยากของคนรากหญ้า
ยอมรับว่าบางครั้งผมก็รู้สึกผิดหวังกับเขา แต่ทุกวันนี้ ถ้าไปกรุงเทพฯ ผมก็ยังไปพบเขาที่บ้านและดื่มไวน์กันได้อยู่
จากที่คุณศึกษามา เคยคิดไหมว่าปี 2564 แล้วจะยังมีการจะใช้มาตรา 112 ปิดปากผู้คนในทางการเมืองอีก
ก่อนปี 2548 มักจะใช้กฎหมายนี้กับคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำ หรือเป็นนักการเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี 2549 มันเริ่มขยายมาเป็นคนธรรมดามากขึ้น ผมก็เป็นห่วง อย่างเช่น กรณีอากง นอกจากนี้มันขยายถึงวิธีการตีความซึ่งมีปัญหามากขึ้น เช่น พูดคำว่าจ้าก็โดนแล้ว แชร์ข้อความก็โดน เหมือนโรคระบาดชนิดหนึ่ง
ถ้าดูในอดีต พระมหากษัตริย์ของเยอรมันเขาสั่งให้หยุดใช้ เพราะเขารู้ว่ายิ่งใช้ยิ่งแย่ ต้องใช้วิธีการอย่างอื่น และปรับภาพพจน์ของสถาบันฯ ให้คนรู้สึกชอบ แม้แต่อานันท์ ปันยารชุน ในปี 2554 ก็เริ่มออกมาพูดว่าเขาสนับสนุนให้มีสถาบันกษัตริย์ แต่ถ้าฝ่ายขวาบังคับให้ใช้ ม.112 มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันจะทำลายตัวสถาบันฯ เองในระยะยาว แต่วันนี้จะเห็นได้ว่ามีคนใช้สถาบันฯ จัดการคนเห็นต่างอยู่ ในการทำให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดการเคลื่อนไหว
เพื่อนผมที่เรียนปริญญาโทเคยเยาะเย้ยผมว่า ทำไมถึงดูกฎหมายเก่าๆ ที่ไม่มีใครสนใจแล้ว ที่เมืองไทยมันชัดตอนที่สนธิ ลิ้มทองกุลกับทักษิณเริ่มใช้จากการด่ากัน จนในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องออกมาพูดให้หยุดใช้ เดี๋ยวจะทำให้สถาบันฯ มีปัญหา หลังจากนั้นก็เริ่มมีคดีเยอะ ถึงตอนนี้ก็มากขึ้นจนหยุดไม่ได้แล้ว
คิดว่าวันนี้สังคมไทยพร้อมหรือยังในการพูดเรื่องมาตรา 112
มันต้องมีคนแบบ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่พอเกิดเหตุการณ์คนรักสถาบันฯ ในขอนแก่นมาบุกหาเรื่องในงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่ปิยบุตรก็เป็นคนที่ทำให้คนกลุ่มนั้นเย็นลง และพยายามรักษาบรรยากาศการพูดคุยเพื่อจะช่วยทุกฝ่าย มันต้องมีคนแบบนี้ถึงจะเปิดเวทีได้ เป็นคนอดทน ใจกว้าง
คนไทยอาจจะต้องพัฒนาคนแบบนี้ให้มากขึ้น ผมมองว่าประเทศไทยยังไม่มีกลไกให้คนที่เห็นต่างมาพูดคุยกัน และมองคนเท่ากันว่าเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งเป็นมนุษย์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหมาป่าที่ทำให้คนอื่นเงียบ
คำถามคือ ผู้มีอำนาจจะปล่อยให้กลุ่มอนุรักษนิยมทำลายคนรุ่นใหม่ของประเทศเหรอ จะทำลายพวกเขาเหรอ จะทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้เหรอ แทนที่จะเปิดเวที เขากลับเลือกใช้ ม.112 ปิดปาก
สำหรับคุณ ถือว่าตัวเองเป็นคนไทยได้หรือยัง คุณอยากฝากอะไรถึงบ้านนี้เมืองนี้ ในภาวะที่หลายคนอยากย้ายประเทศ
มันย้อนกลับไปตอนผมเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องการสร้างความเป็นไทยโดยลบล้างความเป็นลาว ผมไม่ได้คิดจะกลับมาเมืองไทย แต่อยากเขียนวิทยานิพนธ์ให้เสร็จเลยกลับมาสี่เดือนเพื่อใช้หอจดหมายเหตุฯ
ผมยังไม่อินกับประเทศไทย และไม่อยากเป็นคนที่อยู่สหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญด้านเอเชีย ผมไม่ได้สนใจว่าจะอยู่ที่ไหน ผมสนใจขบวนการต่างๆ ทางสังคม ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนในโลก แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนที่ไหน ผมเป็นมนุษย์ก่อนอย่างอื่น ไม่ได้เป็นคนอเมริกันก่อน ในฐานะเป็นมนุษย์ ผมก็มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะช่วยสังคมที่ผมอยู่ได้ เปิดเวทีให้คนคุยกันได้โดยไม่ก้าวร้าวหรือประณาม
ในฐานะประเทศไทย ในสังคมหนึ่งก็ต้องคุยกัน วิธีคือการฟัง แล้วก็หาทางที่จะตกลงกัน ไม่ใช่การขับไสออกจากประเทศ
คุณคิดว่าเมืองไทยเต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม มีกฎระเบียบอะไรในเมืองไทยที่ควรยกเลิกได้แล้ว
ผมไม่มีจุดยืนในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของใคร แล้วแต่ว่าใครอยากบูชาอะไร บูชาแบบมีเหตุผลก็ได้ เช่น การผูกแขนในอีสาน ที่อาจจะทำให้ขวัญมาหรือไม่มาก็ไม่รู้ แต่คนก็ทำกัน ผมมองว่ามันไม่มีข้อเสียอะไร แต่การบูชาแบบไม่สร้างสรรค์ทำให้คนใจแคบลง แบบนั้นไม่ดี
ยกตัวอย่างเรื่องโทษประหาร ผมเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่คนนับถือศาสนาพุทธ น่าจะมีความเห็นใจคนอื่นเยอะ แต่จากการรณรงค์ของแอมเนสตี้ เคยมีตัวเลขว่า มีคน 93% เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต ผมก็งงว่าเป็นไปได้ยังไง มันดูขาดความเป็นมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน
ในเมืองไทย เรามักพูดถึงภาพพจน์ตลอด แต่ไม่ได้พูดถึงเนื้อหา มีช่วงหนึ่ง พจนานุกรม Longman นิยามกรุงเทพฯ ว่าเป็นสถานที่ที่มีวัดสวยและมีผู้หญิงบริการเยอะ คนโกรธมาก ทำไมไปนิยามกรุงเทพฯ แบบนี้ ดูถูกคนไทย มีการถกเถียงในหนังสือพิมพ์หลายวัน แต่ก็ไม่มีการยอมรับว่ามันเป็นความจริง เขาสนใจภาพพจน์มากกว่าเนื้อหา ถ้าอยากให้สบายใจขึ้น คุณก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่ภาพพจน์ที่คุณสร้างขึ้นเอง สังคมที่ไม่รู้สถานการณ์จริงๆ ก็แก้ไขยาก
สิ่งที่คนในวัยคุณยังสนุกกับมันอยู่
ผมอยากให้อีสานเรคคอร์ดเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงของคนทำงาน หน้าที่ของผมคือพยายามติดต่อกับต่างประเทศเพื่อที่จะหาลูกค้าใหม่ หรือหาความสัมพันธ์ต่างๆ ที่จะให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ของเขาและของเรา
ผมมีหนังสือที่เขียนค้างไว้ยังไม่เสร็จ อยากเขียนให้มันออกจากสมองผมไปเสียที มีงานวิชาการ ความเป็นมาของการใช้เชื้อชาติในการสร้างสังคมอีสาน อันที่สองคือหนังสือที่เขียนเกือบเสร็จแล้ว เกี่ยวกับความเป็นมาของสถาบันพระมหากษัตริย์ และการใช้มาตรา 112 ที่บอกว่าไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย แต่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังมี แม้แต่ประเทศอื่นที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ยังใช้หลักการเดียวกัน เพราะใช้หลักการ Lèse-majesté หลักเดียวกันในการปกป้องประมุขเป็นพิเศษ ผมหวังว่าจะทำให้เสร็จในเร็วๆ นี้
Fact Box
- 3 พฤษภาคม 2564 เดวิด สเตร็คฟัสส์ ได้รับการต่ออายุวีซ่า 1 ปี โดยใช้เอกสารการเป็น ‘ผู้ประสานงานระหว่างประเทศ’ ของบริษัท บัฟฟาโล่ เบิร์ด โปรดักชั่นส์ ซึ่งดูแลสำนักข่าว The Isaan Record ยื่นเป็นหลักฐาน ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อที่เมืองไทยอย่างน้อยหนึ่งปี ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรอีกบ้างในอนาคต
- งานศึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขา ‘The Poetics of Sub-version: Civil Liberty and Lese-Majeste in the Modern Thai State’ ที่พัฒนาต่อยอดเป็นหนังสือชื่อ Truth on Trial in Thailand: Defamation, Treason, and Lèse-majesté ส่งผลให้เดวิดเป็นที่รู้จักในฐานะนักวิชาการต่างชาติคนแรกๆ ที่ศึกษาเรื่องการใช้กฎหมายความมั่นคงและกฎหมายอาญาของไทย โดยเฉพาะมาตรา 112 และมาตรา 116
- นอกจากการเป็นผู้จัดหาทุนให้สำนักข่าว The Isaan Record ที่เพิ่งได้รับเลือกจากหอสมุดแห่งชาติสหรัฐฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลบันทึกประวัติศาสตร์โลก ปัจจุบัน เดวิด ยังมีงานบทความการเมืองเผยแพร่ในเว็บไซต์สื่อต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง