งานวิจัยในวารสาร Child Development เมื่อเดือนมกราคม พบว่า วัยรุ่นตอนปลายและผู้ใหญ่ตอนต้นในสหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม-การเมือง ไม่ว่าจะด้วยการลงคะแนน เป็นอาสาสมัคร หรือร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหว จะมีโอกาสทางการศึกษารวมถึงรายได้ที่ดีขึ้นด้วยในอนาคต

ดร.พาริสสา เจ. บัลลาด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ชุมชนและเวชศาสตร์ครอบครัว แห่งมหาวิทยาลัยเวกฟอเรสต์ ในรัฐนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งเป็นผู้วิจัยหลักของงานชิ้นนี้ บอกว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมภาคพลเมืองช่วยเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน และสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยถึงผลกระทบต่อผู้เข้าร่วมเองตรงๆ  

การศึกษานี้ใช้การสุ่มตัวอย่างวัยรุ่นตอนปลายและผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 18-27 ปีในสหรัฐฯ จำนวน  9,471 ราย จากภูมิหลังทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยดูการมีส่วนร่วมภาคพลเมืองและผลลัพธ์หลังจากนั้นหกปี พบว่ากิจกรรมภาคพลเมืองส่งผลบวกต่อการศึกษาและรายได้ที่ดีขึ้นของเหล่าวัยทีนนี้ โดยไม่ต้องสนว่าสองปัจจัยที่มักจะส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคตอย่างผลการเรียนก่อนหน้านั้นหรือระดับการศึกษาของผู้ปกครองจะเป็นอย่างไร

การศึกษาดังกล่าวออกมาได้เหมาะเหม็งกับการนัดเคลื่อนไหวใหญ่เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 61 ใต้แคมเปญ #NationalSchoolWalkout ซึ่งชวนนักเรียนวอลก์เอาท์จากห้องเรียน ในเวลา 10.00 น. เป็นเวลา 17 นาที เพื่อประท้วงการเพิกเฉยของสภาคองเกรสต่อกรณีกราดยิงในโรงเรียนในเมืองปาร์กแลนด์ รัฐฟลอริดา ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 ราย เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา รวมถึงไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตด้วย  

ต่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ฝ่ายปกครองโรงเรียนมัธยมหลายแห่งออกมาเตือนว่า นักเรียนที่เข้าร่วมอาจมีปัญหา แต่สถาบันการศึกษาหลายแห่ง ตั้งแต่โรงเรียนรัฐ มหาวิทยาลัยกลุ่มไอวีลีก ต่างก็ออกมายืนยันว่า การลงโทษของโรงเรียนอันเนื่องมาจากการทำกิจกรรมโดยสงบและถูกต้องตามกฎหมายนั้นจะไม่มีผลกับการพิจารณารับเข้าเรียนต่อแต่อย่างใด

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม-การเมืองจะก่อให้เกิดประโยชน์เท่ากันหมด งานวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยการลงคะแนน หรือเป็นอาสาสมัคร จะมีสุขภาพจิตและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีกว่ากลุ่มที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวหรือเดินขบวน บัลลาดอธิบายว่า นักกิจกรรมมักจัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมนอกกระแสหรือแหกคอก ซึ่งอาจทำเรื่องเสี่ยงเป็นปกติ และคนหนุ่มสาวผู้เปี่ยมอุดมการณ์และใจร้อน อาจหมดหวังกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าเกินไป ทำให้หันไปจัดการความเครียดด้วยพฤติกรรมสุขภาพที่ย่ำแย่ อย่างการกินอาหารฟาสต์ฟู้ด สูบบุหรี่ และกัญชา

อย่างไรก็ตาม เธอแนะนำผู้ปกครองให้ช่วยให้กำลังใจเด็กๆ ให้ยังคงมีความหลงใหลในการทำกิจกรรม แต่ควรแนะให้พวกเขาจัดการความคาดหวังของตัวเองโดยแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น-ยาวด้วย

 

 

ที่มา:

Tags: , , , , ,