ท่ามกลางการเติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคงของวงการก่อสร้างในประเทศไทย ยังคงเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และความต้องการวัสดุก่อสร้างสำหรับซ่อมแซมอาคารเก่าในเมืองใหญ่ แม้อัตราการเติบโตในภาพรวมจะไม่ได้พุ่งสูงแบบก้าวกระโดด แต่ก็มีทิศทางที่ชัดเจนและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในตลาดวัสดุก่อสร้างที่เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความยั่งยืน และนวัตกรรมมากขึ้น
รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคหลังยุคโควิด-19 และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นในหลายพื้นที่ ยังเป็นปัจจัยเร่งให้เจ้าของบ้าน ผู้รับเหมา และนักพัฒนาโครงการหันมาให้ความสำคัญกับวัสดุก่อสร้างที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความแข็งแรง ปลอดภัย และใช้งานได้ยาวนานมากกว่าเดิม ทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องปรับกลยุทธ์ให้เท่าทันกับความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้นในทุกมิติ
กลยุทธ์การรุกตลาดของ ‘จระเข้’
แม้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่เติบโตมากับยุคเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย แต่ในวันที่ตลาดเข้าสู่ภาวะชะลอตัวและปัจจัยแวดล้อมแปรปรวนมากขึ้น บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กลับสามารถรักษาอัตราการเติบโตในครึ่งปีแรกของปี 2568 ไว้ที่ 9.5% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาจากบริบทตลาดที่มีแรงกดดันรอบด้าน ทั้งต้นทุนการผลิตที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยสูง และดีมานด์ภาคเอกชนที่หดตัวต่อเนื่อง
เบื้องหลังตัวเลขที่ดูเป็นบวกนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กรเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนวิธีคิดและกลยุทธ์การขยายตลาดของแบรนด์จระเข้ในยุคที่วัสดุก่อสร้าง ไม่ใช่เพียงเรื่องของความทนทาน แต่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน สุขภาวะ และการรับมือกับภัยพิบัติ
สิ่งที่บริษัททำได้ดีคือ การตอบสนองต่อเทรนด์การซ่อมแซม ที่เพิ่มขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในภูมิภาค ซึ่งไม่เพียงกระตุ้นยอดขายระยะสั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้กับสินค้ากลุ่มเคมีก่อสร้างที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าเดิม โดยเฉพาะวัสดุที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและคุณสมบัติทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน ซึ่งผู้ว่าจ้างในปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้น
ด้านโครงสร้างตลาด แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปีนี้จะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย แต่โครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก เช่น รถไฟความเร็วสูง โครงสร้างพื้นฐานใน EEC และท่าเรือใหม่ๆ ซึ่งช่วยพยุงดีมานด์ในบางเซกเมนต์ และกลายเป็นฐานสำคัญให้บริษัทวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถรักษารายได้เอาไว้ได้
จระเข้ก็อาศัยจุดแข็งในฐานะเจ้าตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนว (ที่มีมูลค่าตลาดรวมราว 5,500 ล้านบาท) พร้อมขยายบทบาทในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ที่กำลังเติบโตเฉลี่ย 5.5% ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2573 กลุ่มนี้ถือเป็นตลาดใหม่ที่สร้างโอกาสระยะยาว แม้การแข่งขันจะยังเข้มข้นจากทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ
การขยายตลาด CLMV โอกาสที่ต้องลงมือจริง
ขณะที่หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเน้นการป้องกันความเสี่ยงจากตลาดในประเทศด้วยการกระจายพอร์ตไปยังตลาด CLMV แบรนด์จระเข้เองก็เร่งขยายไปยังภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเวียดนามที่กลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน รวมถึงเมียนมา ที่ความเสียหายจากภัยธรรมชาติกระตุ้นความต้องการวัสดุก่อสร้างจากไทย ทั้งนี้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่เพียง 10% แต่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 16% ภายในไม่กี่ปี ผ่านเครือข่ายพันธมิตรในท้องถิ่นและตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่
อีกหนึ่งยุทธศาสตร์หลักของจระเข้คือ การเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายคู่ค้าในประเทศ โดยเฉพาะ ‘จระเข้ช็อป’ ซึ่งทำหน้าที่มากกว่าร้านค้าทั่วไป แต่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์กับผู้ใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือ ผู้รับเหมา ไปจนถึงนักพัฒนาโครงการอสังหาฯ โมเดลนี้ช่วยให้จระเข้ควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าตลอดห่วงโซ่การใช้งาน พร้อมสร้างระบบนิเวศของแบรนด์แบบครบวงจร
ปัจจุบันจระเข้มีจุดจำหน่ายกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะจระเข้ช็อปที่ผสานบทบาททั้งศูนย์จัดจำหน่ายและศูนย์ให้ความรู้กับผู้ใช้ปลายทาง ถือเป็นการสร้างความได้เปรียบทั้งด้าน Loyalty และ Expertise ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คู่แข่งจะลอกเลียนได้ง่าย ยิ่งในยุคที่แนวโน้มการตัดสินใจซื้อเปลี่ยนจากผู้รับเหมา มาอยู่ในมือผู้ใช้งานจริง และตลาด DIY เติบโตต่อเนื่อง กลยุทธ์นี้จึงมีความสำคัญในเชิงโครงสร้างระยะยาว
‘Green Demand’ ไม่ใช่กระแส แต่เป็นกลยุทธ์
ขณะเดียวกันภายใต้นโยบาย Sustainable Building Innovation บริษัทได้เร่งพัฒนาและวางตำแหน่ง Green Products อย่างจริงจัง ปัจจุบันมีสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 63% พร้อมตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 กลยุทธ์นี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ แต่ยังสอดรับกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้นในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาว
กลยุทธ์ด้าน Green Products ไม่ได้เป็นเพียงการทำตามกระแส แต่สะท้อนถึงการวางรากฐานธุรกิจที่รองรับบริบทสิ่งแวดล้อมใหม่ และเป็นเครื่องมือสร้างความแตกต่างที่แข็งแรงในระยะยาว
แม้จระเข้ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้มั่นคง แต่ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าไม่ได้จำกัดแค่เรื่องยอดขาย แต่เป็นการรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของตลาดแรงงาน ผู้บริโภค และข้อกำหนดสิ่งแวดล้อมในยุคหลังโควิด-19 หากไม่สามารถปรับระบบให้รับกับโจทย์ใหม่เหล่านี้ได้ทันท่วงที ก็อาจต้องแลกกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการรักษาความแข็งแรงของแบรนด์
ความสำเร็จของจระเข้ในปีนี้จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขรายได้ แต่เป็นการพิสูจน์ว่า แบรนด์ไทยสามารถยืนอยู่แถวหน้าในอุตสาหกรรมได้ หากวางกลยุทธ์บนฐานข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์โลก และความร่วมมือในเชิงระบบอย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศและภูมิภาค
Tags: Business, Jorakay, Construction, ธุรกิจก่อสร้าง, กาวยาแนว, กาวซีเมนต์, Jorakay Corporation