อาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ ถ้าเราไม่นั่งเครื่องบินไปกินถึงปารีส ก็คงต้องใช้เวลาค้นหาร้านในบ้านเรากันนานหน่อย แล้วเอาเข้าจริงก็ไม่แน่ใจว่าร้านที่ว่าจะดั้งเดิมมากน้อยแค่ไหน
แต่ถ้าคุ้นชื่อ Brasserie 9 ที่เคยเปิดอยู่ที่เอเชียทีคมาหลายปี บรรดาแฟนคลับอาหารฝรั่งเศสพอจะรู้บ้างว่าร้านนี้เขาเด่นที่การปรุงอาหารฝรั่งเศสรสดั้งเดิม ตอนนี้ถึงเวลาย้ายสถานที่ให้สมกับความหรูหราและดูมีจริตตามวิถีฝรั่งเศส กับบ้านสีขาวหลังใหญ่สไตล์โคโลเนียลในซอยสาทร 6
ความโอ่อ่าตระการตาของบ้านสีขาวหลังนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าพระราชวังสมัยก่อน ภายในมีทางเดินที่ทอดยาวสู่โซนต่างๆ ใช้กระเบื้องสีขาวประดับตกแต่ง ประดับเฟอร์นิเจอร์วัสดุทองเหลือง และเครื่องหนังสีน้ำตาลกับโต๊ะไม้สไตล์วินเทจ ด้านซ้ายเป็นห้องโถงเพดานสูง มีมุมบาร์เครื่องดื่มไว้ให้บริการ ติดกันจะเป็นห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่มีไวน์ชนิดต่างๆ ให้เลือกมากกว่า 100 ชนิด และห้องซิการ์สำหรับสมาชิกเท่านั้น
ส่วนถ้าขึ้นบันไดไปชั้นสอง จะเป็นห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว และห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่รองรับคนได้ 50-200 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ไมโครโฟน โปรเจ็กเตอร์ โดยตั้งชื่อห้องตามชื่อเมืองชั้นนำในฝรั่งเศส เช่น Lyon, Bordeaux, และ Paris เป็นต้น นอกจากนี้บริเวณชั้นสองจะมีโซนอาหารทะเลที่จะนำสารพัดวัตถุดิบทางทะเลมาตั้งโชว์ความสดกันเป็นๆ กุ้งลอบสเตอร์ ปูอลาสก้า หอยนางรม และกุุ้งแม่น้ำ แต่ทางร้านจะนำออกมาช่วง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป
ลักษณะอาหารของที่นี่จะเป็นแบบไฟน์ไดน์นิ่ง คือเลือกสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า อาหารทะเลต้องสดใหม่ทุกวัน และมาจากแหล่งที่ดีที่สุดผสมกับวัตถุดิบท้องถิ่นในบ้านเราบ้าง หากแต่จะเน้นการปรุงอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม มีรายละเอียดในทุกจาน
โดยเชฟเคนนี่ คาร์ลสสัน เชฟประจำร้านก็มองว่าอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมค่อนข้างหารับประทานยาก เนื่องจากส่วนมากถูกนำมาทำให้เป็นสไตล์ฟิวชั่น และมีการปรับปรุงกระบวนการและวัตถุดิบบางส่วนเพิ่มเติม เขาจึงอยากนำเสนออาหารฝรั่งเศสแบบต้นตำรับ จึงเน้นการปรุงอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม ลงลึกในรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้อาหารจานพิเศษในสไตล์ต้นตำรับ ที่มีความคลาสสิก ผ่อนคลาย สบายๆ เหมือนอยู่ที่ฝรั่งเศสเลยทีเดียว
และไม่นานนักจานแรกเรียกน้ำย่อยก็อยู่ตรงหน้าเรา หอยเอสคาโกอบกับเนยกระเทียม 6 ชิ้น (Escargots – Oven Roasted Snails in Garlic Butter ราคา 380 บาท) หอยเอสคาโกคือหอยทากชนิดทานได้ซึ่งนิยมมากในฝรั่งเศส เมนูนี้เราจะได้กลิ่มหอมของเนยกระเทียมที่อบมา รสชาติหอยที่เคี้ยวกรุบกริบกำลังดี ทานคู่กับขนมปัง
เมนูต่อมาเป็น ฟัวกราส์ย่างเสิร์ฟพร้อมเนื้อลูกพีชเคลือบด้วยน้ำเชื่อมเมเปิ้ล มะนาวเหลืองหั่นเต๋าและราดด้วยเหล้ากลิ่นลูกพีช (Pan seared foie gras caramelized peach with maple syrup and diced lemon with a hint of peach Schnapps ราคา 620 บาท) ฟัวกราส์อย่างดีนำมาย่างให้สุกพอประมาณ ไม่มีกลิ่นคาว กินคู่กับลูกพืชที่ราดด้วยน้ำเชื่อมเมเปิ้ลทำให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป แถมเราได้กลิ่นหอมของเหล้ากลิ่นลูกพืชที่ราดมาในจานนี้อีกต่างหาก
จานถัดมาค่อนข้างอลังการเป็น จานรวมซีฟู้ด บราสเซอรี่ ไนน์ หอยนางรม แคนนาเดียนล็อปเตอร์ กุ้งลายเสือ กุ้งแลงกุสติน และปูอลาสก้าเสิร์ฟกับซอส 5 แบบ (Brasserie 9 – Cold seafood platter to share for two. Imported oysters, 1 canadian lobster, 4 tiger prawns 2 langoustine, 1 leg of king crab served with five different sauces ราคา 3,600 บาท ) เมนูซีฟู้ดรวมที่อยู่ตรงหน้าล้วนแล้วแต่คัดสรรวัตถุดิบมาจากแหล่งที่ดีที่สุดจากหลายประเทศในแบบสดใหม่ทุกวัน
เปลี่ยนจากทะเลมาเป็นเมนูเบาๆ อย่าง อกเป็ดซอสส้มเสิร์ฟกับกระหล่ำแดงและมันฝรั่งอบ (Duck breast from France on orange sauce with red cabbage and gratin dauphinoise ราคา 680 บาท) ถ้าดูหน้าตาอย่างเดียวคงคิดว่าเป็นเมนูทั่วไปที่พอจะคุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่ถ้าได้ลองชิมจะพบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ อกเป็ดที่เชฟหั่นมาได้สัดส่วนพอดีคำ มีมันติดอยู่บ้าง ทำให้เวลาเคี้ยวนอกจากความนุ่มของเนื้อแล้ว ยังอร่อยไปกับไขมันที่ติดมาด้วย จานนี้มีกระหล่ำแดงและมันฝรั่งอบให้ทานเป็นเครื่องเคียง ถือว่าช่วยตัดความเลี่ยนออกไปได้เยอะทีเดียว
และของคาวจานสุดท้ายที่เราได้ทานคือ สเต็กเนื้อสันใน เสิร์ฟกับมันฝรั่งและหอมใหญ่ซอสเบอร์เนส หรือซอสพริกไทยอ่อน (Tenderloin – Grilled Wagyu A5 steak (200g) served with potato fondant, caramelized onion and kenya bean ราคา 1,900 บาท) จานนี้เป็นสเต็กเนื้อสันในที่นุ่มดีเหลือเกิน คล้ายกับมันกำลังละลายในปากเรา เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์เนสสีเหลืองอ่อน ซึ่งเป็นซอสที่นิยมทานคู่กับเนื้อ หากแต่อยากได้รสไทยๆ หน่อยก็เลือกเป็นซอสพริกไทยอ่อนได้ไม่ว่ากัน
อิ่มอร่อยกับของคาวไปแล้ว ก็เหลือพื้นที่ในกระเพาะให้กับของหวานบ้าง เมนูของหวานจานแรกไม่น้อยหน้า อลังการดีเหลือเกินกับ ช็อคโกแลตฟองดอง เสิร์ฟพร้อมโฮมเมดไอศครีมวนิลาและช็อคโกแลตรูปหอไอเฟล (‘The Last Dance’ a chocolate fondant served with homemade vanilla ice cream and chocolate Eiffle Tower ราคา 300 บาท) คิดดูว่าแค่บอกว่าเป็น ช็อคโกแลตฟองดอง ก็ต้องใช้เวลาทำไม่น้อยกว่า 15 นาที แต่เชฟยังต้องเนรมิตรช็อคโกแลตรูปหอไอเฟล ที่จำลองและเก็บรายละเอียดได้เหมือนจริงเอามากๆ ทานคู่กับไอศครีมวนิลา ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักขนมหวานจริงๆ
และของหวานจานสุดท้ายเป็นราสเบอร์รี่มิลเฟย เสิร์ฟพร้อมกับไอศครีมวนิลาและราสเบอร์รี่ (Raspberry mille feuille with vanilla cream & glazed raspberries ราคา 300 บาท) ขนมฝรั่งเศสระดับตำนาน ที่ด้านบนโรยด้วยผลราสเบอร์รี่ ความกรอบหวานของแผ่นแป้งมิลเฟยทานคู่กับผลราสเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยวหน่อยๆ ถือว่าเข้ากันดี เสริมความเย็นด้วยไอศครีมวนิลาและซอสราสเบอร์รี่ก็ทำให้เป็นการปิดท้ายมื้อนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับคนที่ชอบทานอาหารฝรั่งเศสรสชาติดั้งเดิม และได้บรรยากาศหรูหราตามสไตล์ฝรั่งเศสด้วยแล้ว Brasserie 9 ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่ควรมาลอง ในช่วงเวลาที่ร้านอาหารในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยเมนูฟิวชั่น จนฝรั่งเศสรสชาติดั้งเดิมหาทานไม่ได้ง่ายๆ นัก
Fact Box
Brasserie 9 Fine French Cuisine ตั้งอยู่บนอาคารเลขที่ 27 ซอยพิพัฒน์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพ เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.30 น ถึง 1.00 น. พร้อมบริการที่จอดรถมากถึง 30 คัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ทางโทรศัพท์ 02-234-2588 เว็บไซด์ www.brasserie9.com และ www.facebook.com/Brasserie9BKK/