บทเรียนจากการฟ้องปิดปาก ภายใต้คำว่า SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) กลับมาเป็นวาทกรรมในสังคมไทยทุกครั้งที่เกิดการฟ้องร้องเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสาธารณะ หลายฝ่ายหยิบคำว่า SLAPP ขึ้นมาใช้ เพื่อสร้างภาพว่าผู้ถูกฟ้องกำลังถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ

แต่คำถามสำคัญคือ ทุกคดีที่อ้างว่าเป็น SLAPP จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องการฟ้องปิดปาก เป็น SLAPP จริงหรือหรือไม่

จริงๆ แล้ว หัวใจของ SLAPP อยู่ที่การใช้กระบวนการยุติธรรมกดทับเสียงวิจารณ์เชิงสาธารณะ โดยเฉพาะเสียงที่ตั้งอยู่บนข้อมูลจริงและการตรวจสอบโดยสุจริต ตัวอย่างเช่น กรณีนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ถูกบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฟ้องคดีหมิ่นประมาททั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จากกรณีที่นักวิชาการดังกล่าวออกมาเขียนวิพากษ์วิจารณ์ ธุรกิจการผูกขาดการผลิตพลังงานไฟฟ้ากับผลประโยชน์มหาศาล

ก่อนหน้านี้ในคดีเดียวกัน บริษัทดังกล่าวที่ดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมด้วย ยังมีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ และบรรณาธิการสื่อหลายคน ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจและเผยแพร่เรื่องการบริหารดาวเทียมของบริษัทดังกล่าว เรียกค่าเสียหายเฉลี่ยรายละ 100 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้ฟ้องรวมทั้งสิ้น 7 คดี ทั้งที่ล้วนเป็นการใช้สิทธิทางการเมืองและวิชาการ เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ

ส่วนอีกคดีหนึ่งคือเรื่อง ‘ปลาหมอคางดำ’ ซึ่งถูกตั้งคำถามว่า เป็นรูปแบบการ SLAPP หรือไม่

สำหรับการฟ้อง SLAPP สิ่งสำคัญคือ ‘เจตนา’ การฟ้อง SLAPP นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกดดัน ทำให้ผู้ถูกฟ้องต้องเสียเวลา เสียเงิน และกดดันให้ลดการวิพากษ์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตาม หากผู้ถูกฟ้องใช้ข้อมูลเท็จ ภาพประกอบบิดเบือน หรือสื่อสารในลักษณะที่ทำให้สังคมเข้าใจผิด การฟ้องร้องในลักษณะนี้เป็นการปกป้องสิทธิและชื่อเสียงที่เสียหาย ไม่ใช่ปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์บนฐานข้อมูลจริง หรือนำเสนอข้อมูลเท็จ เป็นเส้นแบ่งที่สำคัญ

จากสิทธิในการวิพากษ์ไปสู่ความรับผิดชอบจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ซึ่งในสังคมประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นหลักการที่ต้องปกป้อง

แต่เสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าใครก็สามารถนำ ‘ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน’ มาเผยแพร่โดยไม่ต้องรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ การวิพากษ์ที่สุจริตต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ใช่การใช้ภาพเท็จ หรือข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อสร้างกระแส

ดังนั้นการฟ้องร้องในกรณีที่มีการกล่าวอ้างด้วยภาพหรือข้อความเป็นเท็จ จึงไม่ใช่การปิดปากสังคม แต่คือการใช้สิทธิทางกฎหมาย เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี และพิทักษ์ความเป็นจริง และปกป้องสิทธิของผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยสังคมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในวันนี้ เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น

อย่างไรก็ตามการวิพากษ์วิจารณ์อย่างพร่ำเพรื่อ หรือปล่อยให้วาทกรรม SLAPP ถูกใช้พร่ำเพรื่อโดยไม่แยกแยะ ส่งผลให้สังคมสับสนระหว่าง ‘การวิพากษ์ที่สุจริต’ กับ ‘การบิดเบือนข้อเท็จจริง’ ซึ่งท้ายที่สุดผู้ที่เสียหายคือทั้งผู้ประกอบการที่ถูกใส่ร้าย ไม่ใช่ทุกการอ้างสิทธิในการแสดงออกจะเป็นเกราะกำบังต่อความรับผิดชอบได้

Tags: , ,