ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังฟื้นตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้า การศึกษาเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงกับเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติหลายล้านคน รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการในการบรรเทา ป้องกัน หรือฟื้นฟูที่เข้มข้นเพียงพอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะสูงขึ้น หรือมีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จึงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ในการสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา รวมพลังฟื้นฟูประเทศไทย จัดตั้งเครือข่าย ALL FOR EDUCATION พร้อมด้วยเครือข่ายอีกมากกว่า 16 องค์กรที่เข้าร่วม

โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การศึกษาเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงกับเด็กและเยาวชนอนาคตของชาติหลายล้านคน

“รัฐบาลต้องมีมาตรการในการบรรเทา ป้องกัน หรือฟื้นฟูที่เข้มข้นเพียงพอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะสูงขึ้นหรือมีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเงินเยียวยาผู้ปกครองและนักเรียน ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน จำนวน 10.8 ล้านคน รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในสถานการณ์โควิด-19”

ปฏิรูประบบเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ยั่งยืน คือการทำให้เกิดการปฏิรูประบบได้อย่างแท้จริง ซึ่งหนึ่งในกลไกสำคัญคือ การพัฒนางานร่วมกับ กสศ. ริเริ่มระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เรียนต่ออย่างเต็มศักยภาพ ไม่หลุดออกนอกระบบ โดยมีตัวอย่างมาตรการสำคัญคือ โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขของโรงเรียนสังกัด สพฐ. เพื่อให้เกิดผลลัพธ์มุ่งตรงกลุ่มเป้าหมายที่ยากจนที่สุด 15% ของประเทศ

ในภาคเรียนที่ 1/2564 ที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. จำนวน 1,208,367 คน ไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษา และยังมีมาตรการพิเศษ เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนช่วยเหลือนักเรียนทุนเสมอภาคช่วงชั้นรอยต่อ (อนุบาล 3, ป.6, ม.3) ในสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้ศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น จำนวน 294,454 คน

พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อดูแลและส่งต่อนักเรียน

นอกจากการปฏิรูประบบ กสศ. ยังพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อดูแลและส่งต่อนักเรียน ครอบคลุมทุกมิติ เชื่อมโยงการทำงานอย่างมีส่วนร่วม รวมถึงระบบดูแล เฝ้าระวัง และส่งต่อเด็กวัยเรียนในครัวเรือนยากจน และด้อยโอกาสให้คงอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งจะดำเนินการครบวงจร ครอบคลุมทั้ง 225 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศในปีการศึกษา 2565

“ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นเป็นปัญหาขนาดใหญ่ และการแก้ปัญหาที่อาศัยกลไกภาครัฐแต่เพียงลำพังย่อมไม่สามารถจัดการให้หมดไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ด้วยแนวคิด ‘ปวงชนเพื่อการศึกษา’ หรือ ‘All for Education’ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมแบ่งปันความเชี่ยวชาญ  ประสบการณ์และทรัพยากรที่มีร่วมกัน เพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กยากจนด้อยโอกาส เพราะในวันนี้เราไม่สามารถทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลังได้อีกแล้ว และนี่คือเวลาของการปฏิรูปเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา” นางสาวตรีนุชกล่าว

เครือข่าย ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า รัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในวิกฤตโควิด-19 ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้น เป็นบาทแรก จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเกิดขึ้นของเครือข่าย ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาจากความร่วมมือของทั้ง 16 องค์กร ทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคม

“กสศ. ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา Information System for Equitable Education หรือ iSEE เชื่อมโยงระบบสารสนเทศของเด็กเยาวชนรายบุคคลมากกว่า 10 ล้านคน จากสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. กระทรวงมหาดไทย กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และ กสศ. เพื่อแสดงข้อมูลสารสนเทศให้สังคมมองเห็นสถานการณ์ความเสมอภาคทางการศึกษาในรายพื้นที่ ครอบคลุมสถานศึกษามากกว่า 30,000 แห่ง ใน 3 สังกัดทั่วประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการชี้เป้าและการรายงานผลการสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยทรัพยากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน เพื่อยกระดับการทำงานจากการเยียวยา สู่การจัดการเชิงระบบที่ยั่งยืน เพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาจากพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน”

การบ่มเพาะเด็กให้เติบโตอย่างมีศักยภาพคือหน้าที่ของทุกคน

มีคำกล่าวหนึ่งจากภูมิปัญญาของชาวแอฟริกาว่า “It takes a village to raise a child” หรือ “การสร้างเด็กคนหนึ่งต้องอาศัยคนทั้งหมู่บ้าน” สะท้อนให้เห็นความจริงที่เป็นสากลว่า การบ่มเพาะให้เด็กคนหนึ่งเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมที่จะเข้ามาช่วย ในฐานะที่เขาเป็นอนาคตของประเทศ โดย กสศ. เชื่อมั่นว่า ด้วยข้อมูลและความร่วมมือที่ดี จะทำให้การช่วยเหลือระยะสั้นขยับตัวเป็นเรื่องการพัฒนาระบบ มีความยั่งยืนมากขึ้น จนสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘หลักประกันโอกาสทางการศึกษา’ ที่แม้แต่เด็กนอกระบบการศึกษาก็สามารถเข้าถึงระบบการเรียนรู้ได้

“ผมเชื่อว่าแนวทางนี้เป็นหนทางที่ดีที่สุด ที่จะนำไปสู่การแก้โจทย์เชิงโครงสร้าง แก้ปัญหาความยากจนข้ามชั่วคน” ดร.ประสารกล่าว

จากข้อมูลล่าสุดภาคเรียนที่ 1/2564 ประเทศไทยมีเด็กยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน โดยในตัวเลขนี้พบว่ามีเด็กช่วงชั้นรอยต่อ จำนวน 43,060 คน ที่ยังไม่พบข้อมูลว่าได้กลับเข้ามาเรียนต่อในภาคเรียนที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่อยู่ในรอยต่อระดับ ม.3 ขึ้น ม.4/ปวช. ซึ่งจากการรายงานของสถานศึกษาในช่วงเปิดเทอม 1/2564 ที่ผ่านมานี้ ชี้ถึงสาเหตุที่เด็กกลุ่มนี้ไม่เรียนต่อ เนื่องจากต้องช่วยผู้ปกครองทำงาน หารายได้เป็นเสาหลัก เลี้ยงครอบครัว โดย กสศ. ได้ประสานงานร่วมกับ สพฐ. ในการส่งต่อข้อมูลเด็กช่วงชั้นรอยต่อกลุ่มนี้ เพื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงกับรายชื่อผู้ที่รับเงินเยียวยาผู้ปกครองและนักเรียน ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ จำนวน 2,000 บาท และทำงานร่วมกับเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตทั่วประเทศในการติดตามเพื่อให้กลับมาเรียนต่อในภาคเรียนที่ 2/2564 นี้

ความร่วมมือของสังคมคือกำลังสำคัญ

แม้คณะรัฐมนตรีจะมีนโยบายเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะเยาวชนและครอบครัวไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่เด็กที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือเด็กที่สูญเสียผู้ปกครองไปเพราะโควิด-19 เด็กกลุ่มนี้จึงต้องถูกให้ความสำคัญและได้รับการสนับสนุนจากสังคม โดยรัฐมนตรีทั้งสามท่าน ได้แก่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงร่วมสละเงินเดือน สมทบผ่านแคมเปญ ‘ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันทางการศึกษา’ เพื่อช่วยเหลือ 3 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 1. เด็กเยาวชนผู้ด้อยโอกาสจำนวนมากกว่า 1,612 คน ที่ศึกษาและอาศัยอยู่ใน 14 โรงเรียนพักนอนในพื้นที่ยากลำบากที่สุดในประเทศไทย 2. เด็กกำพร้าที่สูญเสียผู้ปกครองจากโรคโควิด-19 จำนวน 399 คน ให้ได้ศึกษาต่อไปในระบบการศึกษา และ 3. เด็กพิการจำนวน 103 คน ในศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)

ส่วน ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การบริจาคให้แก่ กสศ. เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นตั้งใจของทั้ง 3 รัฐมนตรี ในการทุ่มเทเพื่อผลักดันการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมาย เด็กเปราะบางที่มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่มีศักยภาพและแรงใจเต็มเปี่ยม เพราะเชื่อมั่นว่าเราสามารถสนับสนุนให้เด็กๆ กลุ่มนี้พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ เพราะทุกคนถือเป็นกำลังสำคัญต่อประเทศชาติในอนาคต

ข้อมูลเพิ่มเติม

เครือข่าย ‘ALL FOR EDUCATION ร่วมสร้างหลักประกันทางการศึกษา’ ตั้งต้นจำนวน 16 องค์กร ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, มูลนิธิพุทธรักษา และมูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์, มูลนิธิยุวพัฒน์, มูลนิธิก้าวคนละก้าว, มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิไทยพีบีเอส, มูลนิธิเอสซีจี, มูลนิธิเสริมกล้า, เคพีเอ็มจี ประเทศไทย, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), กลุ่มธุรกิจ TCP และบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

Tags: , ,