*มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์

พอโตขึ้น เราจะลืมเรื่องราวในอดีตได้จริงๆ หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นความผิดที่เคยสร้าง ความดีที่เคยทำ ความสับสนที่เคยเกิด หรือแม้แต่ความตายของใครบางคน เราจะแสร้งว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีผลกระทบ และปล่อยผ่านไปเหมือนสายน้ำที่ไม่เคยย้อนกลับได้อย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณอาจดูถูกความทรงจำมากเกินไป เพราะเมื่อมีอะไรมากระตุ้น ภาพวันวานจะกลับมาโดยที่คุณไม่ต้องร้องขอต่อสิ่งใดเลย

Better Days (2019) เปิดมาด้วยยามบ่ายของปัจจุบัน เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมคำถามที่ว่า was กับ used to be ต่างกันอย่างไร ทั้งสองคำมีความหมายถึงอดีต แต่อดีตที่ว่าเป็นแบบไหน…? เฉินเหนียนถามนักเรียนของเธอแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะถามหาคำตอบเอาจากเราที่นั่งดูอยู่ด้วย

“This was our playground” – “This used to be our playground” แค่สองประโยคง่ายๆ นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เรามองเห็นทิศทางของภาพยนตร์ สิ่งที่เฉินเหนียนต้องเจอตามรายทางของชีวิตคงไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่คงเป็นสนามเด็กเล่นที่ผุพัง และพร้อมจะฝังเธอให้จมลงดิน

พรุ่งนี้จะดีขึ้นกว่าวันนี้ (?)

Better Days เป็นภาพยนตร์สัญชาติจีนที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อดังเรื่อง In His Youth, In Her Beauty บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาววัยมัธยมปลายกับเด็กหนุ่มอันธพาลที่โคจรมาพบกัน เนื้อหาสะท้อนให้เห็นปัญหาของวัยรุ่นและสังคม มุ่งไปยังประเด็นเรื่องการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ซึ่งนับวันมีแต่จะรุนแรงขึ้น เติบโตขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ยับยั้งได้อย่างเห็นผล เพราะหลายครั้งมันถูกผลักให้เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แค่เรื่องสนุกขำๆ ชั่วครู่ชั่วยามที่เด็กๆ จะเบื่อกันไปเอง ซึ่งสำหรับเหยื่อที่ถูกกระทำมันไม่เป็นแบบนั้น 

มันไม่ใช่แค่บาดแผลบนร่างกาย แต่ยังลุกลามไปจนถึงจิตใจ การกลั่นแกล้งนำไปสู่ความก้าวร้าว การเลิกนับถือตัวเอง ภาวะซึมเศร้า คิดวิตกกังวล ไปจนถึงการคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งหลายรายก็ทำได้สำเร็จ และการกลั่นแกล้งก็ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับความตาย แต่จะมีเหยื่อคนที่สอง คนที่สาม และคนต่อๆ ไปอย่างไม่จบไม่สิ้น หากเราไม่ตระหนักสักทีว่าความเสียหายมันกระจายเป็นวงกว้างแค่ไหนแล้ว

การกลั่นแกล้งที่ว่านี้กำลังเกิดขึ้นกับเฉินเหนียน เด็กสาวที่มีความใฝ่ฝันว่าจะไปเรียนปักกิ่ง ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่มากนักในการทำความฝันให้เป็นจริง เพราะการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เธอที่ต้องพยายาม นักเรียนทุกคนต่างพยายามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โรงเรียนแทบจะกลายเป็นโรงงานนรก เด็กๆ ก้มหน้าก้มตาท่องหนังสืออย่างหนัก ทุกวินาทีมีค่า อย่ามัวเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ เพราะการสอบเกาเข่าไม่เคยปรานีนักเรียนคนใดทั้งสิ้น ซึ่งแค่เรื่องเรียนก็หนักพอจะทำให้สภาพร่างกายบวกกับจิตใจอ่อนล้าอยู่แล้ว แต่เฉินเหนียนยังต้องมาตกเป็นเหยื่อของเพื่อนร่วมห้องอีก

ตลอดมาเฉินเหนียนก็เป็นแค่นักเรียนทั่วไปๆ เธอไม่ได้โดดเด่น ไม่มีเพื่อนมาก ชีวิตทางบ้านก็ลุ่มๆ ดอนๆ เธอกับแม่อยู่ในอพาร์ทเม้นต์ซ่อมซ่อที่ประตูหน้าบ้านปิดตายตลอดเวลา เนื่องจากแม่โดนเจ้าหนี้และลูกค้าตามมาราวีถึงบ้าน (แม่ขายสินค้าไร้คุณภาพ และบอกว่าเธอเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกันที่ซื้อมา) ด้วยเหตุนี้เฉินเหนียนจึงตั้งความหวังกับการสอบอย่างมาก เพื่อที่เธอและแม่จะได้หลุดพ้นจากตรงนี้เสียที ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้น แม่เธอก็ระหกระเหินไปตายเอาดาบหน้าและทิ้งให้เธออยู่ตามลำพังกับขี้ปากชาวบ้าน

แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิด นักเรียนหญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตาย ทุกคนแทบจะรู้ในทันทีว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ก็ไม่มีใครพูดมันออกมา มันไม่ใช่แค่ความกดดันจากการเรียน แต่สิ่งที่ผลักให้เธอไปอยู่ปากเหวคือการโดนเพื่อนรวมหัวกลั่นแกล้ง ซึ่งเพื่อนในชั้นจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งคือพวกที่ร่วมด้วย และสองคือพวกที่นิ่งเฉย เฉินเหนียนคือพวกที่สอง

ถ้าการกลั่นแกล้งนับว่าเป็นอาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง สิ่งที่เฉินเหนียนทำก็คือการปล่อยให้อาชญากรรมเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้วปล่อยให้มันดำเนินไป การทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น วงจรอุบาทว์ไม่สามารถหยุดได้เอง หากเราไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อความกลัวมีอำนาจกว่าความกล้า ความตายของเพื่อนสาวจึงส่งไม้ต่อให้เธอกลับกลายเป็นเหยื่อเสียเอง

ความเชื่อมั่นไม่ใช่สิ่งที่ขอกันได้ด้วยคำพูด

หลังการสูญเสียครั้งนี้ เฉินเหนียนถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ แม้เธอจะไม่ได้ปริปากพูดอะไรไป แต่ใครจะสนเล่าว่าเธอพูดหรือไม่พูด เพราะแค่การโดนเรียกไปแบบนั้นก็พอจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนปากสว่าง ดังนั้นเหยื่อคนถัดไปจะเป็นใครไปได้นอกจากเธอ มันเริ่มจากเรื่องที่ทำให้เธอขายขี้หน้าไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย เฉินเหนียนต้องระแวงทุกครั้งที่เดินกลับบ้าน ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องแย่ๆ ในที่สุดเลือดนักสู้ในตัวเธอก็เดือดพล่าน เธอหวังจะยุติทุกอย่างจึงเปิดปากพูดกับตำรวจเรื่องเพื่อนที่ฆ่าตัวตาย แต่ช่องว่างทางกฎหมายก็เปิดช่องโหว่ให้การกลั่นแกล้งยังคงดำเนินไปได้ ตำรวจบอกว่าจะปกป้องเธอ คุณครูบอกว่าจะปกป้องเธอ แต่ท้ายที่สุดแล้วมีใครปกป้องเธอได้? บางทีสิ่งเดียวที่ปกป้องเธอได้ก็คงเป็นความตายเช่นกัน

ปัจจุบันกระทรวงศึกษาของจีนประกาศแผนป้องกันการกลั่นแกล้งในโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นย้ำว่าสถานศึกษาไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือออนไลน์ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย ตามแนวทางนี้นักเรียนที่ประพฤติตัวไม่ดีอาจถูกไล่ออกและถูกส่งไปโรงเรียนอีกแห่งเพื่อปรับทัศนคติ ส่วนกรณีที่ร้ายแรงนักเรียนจะได้รับการจัดการโดยตรงจากเจ้าหน้าที่กฎหมาย แต่เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษทางอาญา ในทางกลับกันพ่อแม่หรือผู้ปกครองของพวกเขาจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด

ในช่วงปี 2017 มีเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงในโรงเรียนเกือบ 800 คดี โดยเกือบครึ่งเป็นนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 16-18 ปี เดือนมกราคมมีเด็กหญิงอายุ 13 ปี ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากอาคารเรียน หลังถูกเพื่อนร่วมชั้นทุบตี และในเดือนกรกฎาคมชายคนหนึ่งถูกตัดสินประหารชีวิต หลังแทงนักเรียน 9 คนที่โรงเรียนเก่าของเขาด้วยความโกรธแค้น เนื่องจากเขาเคยมีประสบการณ์การโดนกลั่นแกล้งเมื่อตอนเป็นเด็ก 

ถ้ามีเธอ ฉันคงไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

ระหว่างทางกลับบ้านในค่ำวันหนึ่ง เฉินเหนียนเห็นคนกำลังรุมทำร้ายกัน เหยื่อเป็นเด็กผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับเธอ ความจริงเฉินเหนียนจะเดินผ่านไปก็ได้ เมินเฉยสิ่งตรงหน้าแบบที่ผ่านๆ มา เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่โดนลูกหลง แต่เธอก็ทำสิ่งตรงกันข้ามโดยการโทรหาตำรวจ แต่การกระทำนั้นไม่หลุดรอดสายตาไปได้ เธอจึงถูกลากตัวมาร่วมด้วย การพบกันของเฉินเหนียนกับเสี่ยวเป่ยเริ่มต้นที่ตรงนั้น เด็กหนุ่มไร้อนาคตที่จะเป็นคนปกป้องอนาคตของเธอ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ดีนักในตอนแรก ในสายตาเธอ เสี่ยวเป่ยก็แทบไม่ต่างอะไรจากเด็กเหลือขอที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อาศัยในบ้านโทรมๆ ที่แม้แต่ประตูห้องน้ำก็ยังไม่สามารถปิดให้มิดชิดได้ แต่เขาเป็นคนเดียวที่เธอพอจะพึ่งพิง ในวันที่เฉินเหนียนโดนตามมารังควานถึงบ้าน เธอจึงทำได้แค่วิ่งหนีมาหาเขา เพราะบ้านนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีแม่ ไม่มีความปลอดภัย ไม่มีใครให้หันหน้าไปขอความช่วยเหลือ เธอเลยหันไปหาเขา คนที่เคยมองดูด้วยสายตาหวาดหวั่น

เฉินเหนียนขอให้เสี่ยวเป่ยคุ้มครองเธอจนกว่าจะถึงวันสอบเกาเข่า สิ่งที่เขาทำคือการเดินไปรับ-ส่งเธอที่โรงเรียนทุกวัน ตามไปขู่แก๊งนักเรียนหญิงต้นเรื่อง เพราะถึงพวกเธอโดนพักการเรียน แต่ก็ยังไม่วายที่จะสร้างวีรกรรม ชีวิตของเฉินเหนียนจึงค่อยๆ ดีขึ้น เธอกลับมามีสมาธิกับการอ่านหนังสือได้อย่างเคย ไม่ต้องหวาดระแวงตอนเดินบนถนน ไม่ต้องกลัวว่าใครจะพุ่งมาทำร้าย เธอมีเสี่ยวเป่ยอยู่ทั้งคน… แต่คงไม่ใช่ตลอดไป

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตขึ้นจากจุดนั้น ช่างเดียงสาจนเรานึกอิจฉา ราวกับว่าโลกนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน ความไว้ใจที่ให้ ความเชื่อใจที่มี ความรักที่มอบโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน พวกเขาให้กันได้แม้กระทั่งชีวิต เฉินเหนียนและเสี่ยวเป่ยไม่หวังว่าจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ขอแค่ให้ความฝันที่วาดหวังไว้ถึงฝั่งฝันเท่านั้นก็พอ ดังนั้น เมื่อมีอะไรมากระทบกระแทก ทั้งคู่จึงยึดมั่นกันและกันไว้ในใจ ไม่หวั่นไหวไปตามแรงเหวี่ยง ไม่สับสนไปตามแรงคน ไม่เสียใจไปกับการตัดสินใจ ความรักของพวกเขาช่างต่างจากความรักของผู้ใหญ่ แล้วในเมื่อทั้งสองเป็นแสงสว่างในชีวิตให้แก่กัน ทำไมพวกเขาจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมันไว้ล่ะ จริงไหม

พรุ่งนี้ของเรา

Better Days เป็นภาพยนตร์ที่เชือดเฉือนใจ และแฝงไว้ด้วยความรุนแรง เราไม่เพียงเห็นทุกอย่างที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องทุกข์ทน แต่เราเห็นว่าความเจ็บปวดของพวกเขาถูกเมินเฉยโดยคนอื่นๆ การทรมานนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะต่อว่าด้วยคำพูด การทำร้ายทุบตี และการเยาะเย้ยในสังคมออนไลน์ ซึ่งดูเหมือนว่าเฉินเหนียนนั้นไม่มีทางหนีได้เลย ดังนั้น เมื่อความทรมานของเธอถูกหยุดยั้งด้วยเสี่ยวเป่ย ภาพยนตร์จึงดึงดูดเราเข้าไปอีกโลกหนึ่ง โลกที่มีความรักมาช่วยปลอบประโลม พวกเขาเยียวยาบาดแผลในใจของกันและกัน ใบหน้าของทั้งสองจะไม่ต้องแต่งแต้มไปด้วยความฟกช้ำอีกแล้ว แต่พวกเขาจะแต่งแต้มมันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่านานเท่าไรก็จะไม่มีวันลืม

ในทางหนึ่งความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ตั้งคำถามในวงกว้างถึงการทำงานของรัฐและกระบวนการทางกฎหมายด้วย อะไรเป็นเหตุผลให้เฉินเหนียนหันไปพึ่งเสี่ยวเป่ยมากกว่าจะหันหน้าหาตำรวจ ในเมื่อพวกเขาเอาผิดอะไรกับคนทำผิดไม่ได้ และเธอยังโดนรังแก นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าระบบยังคงเว้นที่ว่างไว้ให้ผู้กระทำผิดเสมอ เฉินเหนียนจึงต้องดิ้นรนในแบบของตัวเอง และในภายหลังที่ทั้งสองเข้าไปพัวพันกับเหตุฆาตกรรม เฉินเหนียนจึงกลายเป็นเหยื่อให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกครั้ง แต่ก็เหมือนว่าช่องว่างนั้นเองก็คุ้มครองเธอไว้เช่นกัน แม้จะต่างในกรณี ความรักระหว่างเธอกับเสี่ยวเป่ยจึงมีค่ามากในภาวะเช่นนี้ ในวันที่ไม่เหลืออะไรให้เชื่ออีกแล้วนั่นแหละ

ทิ้งท้าย ว่าด้วยเรื่อง ‘เกาเข่า’

ไม่ใช่แค่เฉินเหนียนเท่านั้นที่ฝากอนาคตของตัวเองไว้กับการสอบเกาเข่า นักเรียนทุกคนของจีนต่างก็มุ่งมั่นที่จะสอบผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่แค่เพราะหลังจากสอบเสร็จพวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม แต่เพราะการเรียน ถือเป็นเส้นทางที่จะช่วยเปลี่ยนสถานะทางสังคมและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เด็กหลายล้านคนจึงฝากความหวังไว้กับการสอบเกาเข่า สนามสอบที่ติดอันดับหินที่สุดในโลก

ในปี 2019 มีผู้สมัครสอบกว่า 10 ล้านคน  รวมสนามสอบ 7,500 แห่ง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีจำนวนผู้เข้าสอบมากก็คือเด็กซิ่ว ที่เข้ามาสอบอีกครั้งเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีกว่าเดิม รวมถึงคนที่สอบไม่ผ่านแล้วกลับมาสอบใหม่ก็มีมากเช่นกัน

การสอบเกาเข่าสำเร็จเป็นเหมือนหลักประกันของความสำเร็จในชีวิต แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นก็เต็มไปด้วยความกดดันไม่น้อย ไม่ใช่แค่จากตัวเอง เพื่อนรอบข้าง หรือครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีแรงกดดันจากสังคมอีกด้วย เพราะเอกชนจีนมักรับนักศึกษาที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งก่อนเป็นอันดับแรก โดยไม่สนใจความสามารถที่แท้จริงของผู้สมัคร ทำให้ผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้น 2 หรือ 3 หมดโอกาสที่จะคว้างานไป แรงกดดันทั้งหมดจึงตกมาที่ตัวนักเรียน แล้วเมื่อแบกรับความคาดหวังไว้มากๆ บางคนก็ทนไม่ไหวพอจะก้าวเดินต่อ พวกเขาจึงหล่นลงไปในหุบเหว และทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนี่คือราคาที่เราต้องจ่ายให้กับชีวิต