ตอนแรกที่เบรินเจอร์ร่อนจดหมายเชิญชิมไวน์มายัง The Momentum เรานึกว่าจะได้ลองชิมเบรินเจอร์วินเทจปี 2015 ถามว่าปีนั้นสำคัญยังไง ในแง่ดินฟ้าอากาศเราไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ปี 2015 คือปีแรกที่ไวเนอรี่อายุยืนยาวที่สุดแห่งนาปาวัลเลย์ ได้ต้อนรับทายาทเชื้อสายตรงรุ่นล่าสุดกลับสู่อาณาจักรของพวกเขา หลังจากออกไปท่องยุทธภพแห่งไวน์แคลิฟอร์เนียมานานถึง 15 ปี ในที่สุดเมื่อสองปีก่อน มาร์ก เบรินเจอร์ ก็กลับบ้าน.. เรียกว่าคฤหาสน์อาจจะเหมาะกว่า

แต่สรุปคือเราไม่ได้ชิมวินเทจ 2015 เพราะมันยังไม่ถึงเวลาเผยโฉม ทีมงานพาเบรินเจอร์ตระเวนเปิดตัวไปทั่วเอเชียครั้งนี้ พร้อมของดีที่สุดจากปี 2013-2014 จับคู่ด้วยแพริ่งงามๆ จากทีมเชฟแห่งแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ได้แก่

ไนท์วัลเลย์ คาเบอร์เนต์ โซวิญอง 2013 จับคู่กับแกะออสเตรเลีย (5 ดาว)

ฟาวเดอร์ส เอสเตท ชาร์ดอนเนย์ แคลิฟอร์เนีย 2014 จับคู่กับปูอะลาสก้า (4 ดาว)

ฟาวเดอร์ส เอสเตท แมร์โลต์ แคลิฟอร์เนีย 2014 จับคู่กับอกเป็ดไทย (4 ดาว)

ไพรเวท รีเซิร์ฟ คาเบอร์เนต์ โซวิญอง 2014 จับคู่กับชีสคอมเต, โรเกอฟอรต์ และอาบองดงซ์ (5 ดาว)

   (หมายเหตุ : ให้คะแนนโดยผู้เขียนที่ชื่นชอบไวน์แดง Full Body ฝาดสูงเป็นส่วนตัว)

มาร์กมีศักดิ์เป็น ‘ลื่อ’ (ลูกของเหลน) ของเจค็อบ เบรินเจอร์ ผู้อพยพชาวเยอรมันที่สร้างไวเนอรี่แห่งนี้ขึ้นมาเมื่อ 141 ปีก่อน และอยู่ยงมาจนเบรินเจอร์เป็นแบรนด์ไวน์เก่าแก่ที่สุดและกระดูกเบอร์ใหญ่สุดแห่งนาปา ทว่ามาร์กที่เติบโตมาในไร่องุ่นแห่งเบรินเจอร์ กลับไม่เคยทำงานให้เบรินเจอร์เลย หลังเรียนจบด้านการทำไวน์ (Enology) ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท มาร์กเริ่มงานแรกที่เซลลาร์ของตระกูลเบนซิเกอร์แห่งโซโนมาวัลเลย์ แล้วมาสร้างชื่อกับดั๊กฮอร์นในปี 1992 ไต่เต้าจนเป็นถึงรองประธานด้านการผลิตไวน์ของดั๊กฮอร์น จากนั้น ก็ยังไปดังต่อที่อาร์เทซานไวน์ ทั้งหมดล้วนเป็นไวเนอร์รี่ชั้นดีแต่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับอาณาจักรเบรินเจอร์ของเขา

“ผมอยากออกไปพิสูจน์ตัวเองและหาประสบการณ์จากที่อื่น ผมไม่อยากเป็นพวกจบปุ๊บก็ทำงานที่บ้าน” มาร์กเล่าด้วยท่วงท่าสุขุม ผสมความเหนื่อยล้านิดหน่อยจากการบินไปร่วมมื้ออาหารกับสื่อมวลชนในเอเชียวันละประเทศ

  ไวน์เบรินเจอร์มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบขึ้นตามกาลเวลา อะไรที่ดำเนินต่อเนื่องมาเกินร้อยปีได้ มันย่อมไม่ใช่ธุรกิจที่ครอบครัวทำกันเองอีกต่อไปแล้ว โลกของไวเนอรี่ก็เช่นเดียวกับโลกธุรกิจทั่วไป คือมันซับซ้อน เริ่มจากอุตสาหกรรมในครอบครัว ปลูกองุ่นหมักไวน์ถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ก็กลายเป็นอุตสาหกรรมท้องถิ่น และพัฒนาสู่อุตสาหกรรมระดับโลก

คาเบอร์เนต์โซวิญองปี 1986 ของพวกเขาได้รับยกย่องโดยไวน์สเปกเตเตอร์ให้เป็นไวน์แดงที่ดีที่สุดในปี 1990 ตามด้วยตำแหน่งเดียวกันกับชาร์ดอนเนย์ปี 1994 ทำให้เบรินเจอร์เป็นไวเนอร์รี่เดียวในประวัติศาสตร์ที่มีทั้งไวน์ขาวและไวน์แดงติดอันดับไวน์ที่ดีที่สุดในโลก หลังความสำเร็จยิ่งใหญ่ของพวกเขา ปี 2000 เทรเชอรี ไวน์ เอสเตท บริษัทยักษ์ที่มีแบรนด์ไวน์ระดับตำนานอย่างเพนโฟลด์สอยู่ในพอร์ต ก็เข้าซื้อกิจการเบรินเจอร์ ขยายอาณาจักรออกไปอย่างรวดเร็ว แตกไลน์เป็นบริษัทยิบย่อย ควบรวมกิจการไวน์เนอร์รี่ชั้นสูงกว่า 80 แห่งทั่วโลก ก่อนที่ไวน์ระดับกลางราคาไม่แพงจะเริ่มเข้ามาครองตลาด สั่นคลอนความยิ่งใหญ่จนเทรเชอรี ไวน์ เอสเตท ต้องขายไวน์เนอรี่ดังบางแห่งออกไปในราคาขาดทุนหลายล้านเหรียญ แถมยังเกือบต้องทำลายไวน์ร่วมหกล้านขวดที่ค้างตายอยู่ในสต็อกเพราะไวน์ราคาถูกแพร่กระจายในท้องตลาด จนพวกเขาไม่สามารถระบายสต็อกได้ สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทรเชอรี เอสเตท โยกไมค์ คลาร์ก มาดูแลเป็นผู้บริหารใหม่ ข่าวแว่วว่าพวกเขาไม่ต้องทำลายไวน์มากขนาดนั้นแล้ว คลาร์กทำได้ยังไง….

แน่นอน คลาร์กต้องหารายได้หลายทางจากสต็อกของเขา รวมถึงกลยุทธ์หาจุดขายใหม่ในการขายไวน์หรูหราเก่าแก่ในพอร์ต และหนึ่งในนั้น ก็คือการส่งเสริมรากเหง้าระดับตำนานของแบรนด์ในเครือให้เป็นที่รู้จัก เพราะในเมื่อเทคโนโลยีในการทำไวน์แพร่หลายและล้ำหน้า ทำให้ไวน์ราคาไม่แพงมีรสชาติที่ได้มาตรฐานระดับที่ดื่มแล้วไม่ถึงกับระคายลิ้น แถมราคาสบายกระเป๋าสตางค์คนหมู่มาก คำถามคือทำยังไงคนพวกนั้นจะยังอยากซื้อไวน์ดีที่ราคาสูงกว่าล่ะ คำตอบคือให้พวกเขาได้ดื่มประวัติศาสตร์ซะ ประวัติศาสตร์ยาวนานและทรงค่าของแบรนด์อย่างเบรินเจอร์จึงอาจกลายเป็นจุดต่างประการสำคัญ ที่จะชุบชูไวน์ระดับตำนานให้ยังมีชีวิตรอดในโลกธุรกิจต่อไป

Tags: , ,