ถ้าใครได้แวะมาแถวย่านอารีย์และเดินเข้ามาในอารีย์ซอย 1 คงได้สะดุดตากับอาคารสามชั้นสีขาวนวลที่ดูโดดเด่นจากอาคารรอบข้าง และหากได้เดินเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่จะเข้ามาทักทายก็คือกลิ่นหอมหวานของเค้กราชปะแตนที่เชฟกำลังทำสดๆ ที่เหมือนจะบอกโดยนัยว่าร้านเบญจมาศ อารีย์ ยินดีต้อนรับ
“ตอนแรกอยากทำเป็นคาเฟ่อย่างเดียว แต่ปรากฏว่าได้พื้นที่ใหญ่พอสมควร ก็เลยทำเป็นร้านอาหารและบาร์ด้วยครับ ไอเดียเริ่มต้นคืออยากเปิดร้านน้ำชาที่มีขนมไทย เพราะเรามองว่าเรามีชาจากทั่วทุกมุมโลก ชาอังกฤษ ชาญี่ปุ่น และชาอีกมากมายที่ทานกับขนมไทยได้ เราเลยคิดถึงยุครัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มมีนักเรียนนอก มีการนำวัฒนธรรมตะวันตก มีวัฒนธรรมอาฟเตอร์นูนทีเข้ามา คอนเซ็ปต์หลักจึงเป็นการพบกันระหว่างตะวันออกและตะวันตกครับ” คุณเบสท์-ณัฐธนนท์ สิทธิปัญญพัฒน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนของร้านเบญจมาศ (Benchamas) เล่าให้เราฟัง “พอบอกว่าเป็นร้านอาหารไทย บางคนอาจจะนึกไปถึงเป็นบ้านไม้ เรือนไทย ซึ่งก็มีเยอะแล้ว เราอยากนำเสนอมุมมองใหม่ๆ บ้าง”
เบสท์-ณัฐธนนท์ สิทธิปัญญพัฒน์
เมื่อเราเปรยว่าจริงๆแล้วอารีย์ก็มีคาเฟ่ขนมไทยอยู่หลายร้าน คุณเบสท์บอกเราว่าคอนเซ็ปต์ของขนมค่อนข้างจะแตกต่างจากที่อื่น “ตอนนี้เราเน้นขนมที่ทานคู่กับชาแล้วเข้ากัน จะเป็นแนวเค้กกับเพสทรี่เป็นหลัก แต่ก็มีกลิ่นอายความเป็นไทยทุกเมนู อย่างเช่นเค้กราชปะแตนหรือ coffee raisin cake หรือขนมไทยกลิ่นใบเตยอบควันเทียนที่นำมาทำเป็นขนมไทยสมัยใหม่ ส่วนขนมไทยแบบดั้งเดิมเราก็มีแผนจะทำอยู่เหมือนกันครับ เรามองว่าขนมไทยมีเสน่ห์นะ แค่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย” ซึ่งที่นี่นำเสนอเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีที่เสิร์ฟขนมไทยคู่กับชาที่ทางร้านเบลนด์เอง 4 รสชาติ โดยใช้ชาคุณภาพสูงจากทั่วโลก
ชาจากทั่วทุกมุมโลก
เฟตตูชินีเจ้าดารา
ส่วนอาหารของที่นี่นั้น คุณเบสท์นิยามว่าเป็นอาหารไทยประยุกต์ “แม้จะนำเสนอในมุมมองคนรุ่นใหม่ แต่อะไรที่ดีเราก็รักษาไว้ อย่างสถาปัตยกรรม เพลง หรือสุนทรียะ ในส่วนอาหารนั้นจะสะท้อนถึงความวิลิศมาหราของชาววัง มีความประดิดประดอย สมัยก่อนชาวบ้านจะกินแต่ผักต้ม ผักลวก น้ำพริก อาหารที่เป็นแกงจะอยู่ในวังหมดเพราะต้องใช้เครื่องเทศ ซึ่งก็หายากและราคาแพงครับ” อาหารของที่นี่อยู่ในความดูแลของเชฟเบนซ์ วีรเทพ อาจอาคม เชฟรุ่นใหม่ที่คลุกคลีอยู่กับการทำอาหารไทยมาตั้งแต่สมัยเรียน และเคยทำงานกับร้านอาหารไทยชั้นนำของกรุงเทพฯ มาแล้ว
เชฟเบนซ์ วีรเทพ อาจอาคม
“อาหารไทยของที่นี่มีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น ปรับรสชาติให้กลมกล่อม ทานง่ายยิ่งขึ้นครับ” เชฟเบนซ์กล่าว ก่อนที่จะเสริมว่าสูตรอาหารของที่นี่เป็นสูตรที่เขาสะสมมาตั้งแต่สมัยเรียน เก็บมาเรื่อยๆ มีทั้งจากหนังสือ ตำรา ไปจนถึงบุคคล ซึ่งเชฟก็นำมาปรับเป็นรสชาติที่เขาคิดว่าน่าจะเข้ากับยุคสมัย แต่แม้จะเป็นเมนูไหนก็ผ่านการคิดและคัดสรรมาอย่างดีแล้วทุกเมนู
ข้าวปรุงน้ำพริกเจ้าจอม
สำหรับอาหารที่เราได้ชิมวันนี้ ได้แก่เฟตตูชินีเจ้าดารา (320 บาท) ที่ใช้เส้นเฟตตูชินีคลุกกับน้ำซอสข้าวซอย ทานกับหอมแดง แครอตและมะเขือเทศดองในไวน์ขาว ทานกับกุ้งโสร่งพันด้วยบะหมี่ ส่วนเมนูข้าวปรุงน้ำพริกเจ้าจอม (350 บาท) เป็นน้ำพริกลงเรือตำรับเจ้าจอมรัชกาลที่ 5 มาปรับรสชาติให้ทันสมัยมากขึ้น โดยตำน้ำพริกแล้วเอามาคลุกกับข้าว ห่อใบตองแล้วปิ้งให้หอม เสิร์ฟคู่กับผักสด ผักต้ม ไข่ฝอย ปลาแซลมอนและซุปลูกรอก ตามด้วยของหวานอย่างหม้อแกงพิเศษ (180 บาท) เป็นหม้อแกงเผือก เสิร์ฟคู่กับไอศกรีม ครัมเบิลหอมเจียวและรสเปรี้ยวจากผลไม้สด และเมนูคลายร้อนอย่างส้มฉุนกรุ่นกลิ่นส้มซ่า (140 บาท) หนึ่งในของหวานที่ปรากฏในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เป็นการนำผลไม้รสเปรี้ยวมาแช่ในน้ำเชื่อม ท็อปด้วยมะม่วงเปรี้ยวซอย ขิงอ่อนซอย ผิวส้มซ่าและหอมแดง ซึ่งตอนนี้ นอกจากเมนูอาหารในช่วงกลางวันแล้ว ทางร้านเบญจมาศยังได้เริ่มมีอาหารค่ำบริการด้วย โดยมีทั้งอาหารจานเดี่ยวและอาหารแบบกับข้าว เหมาะสำหรับคนที่มองหาทางเลือกใหม่ๆ สำหรับอาหารไทย รวมทั้งคนที่มองหาที่สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย
หม้อแกงพิเศษ
ส้มฉุนกรุ่นกลิ่นส้มซ่า
นอกจากคาเฟ่และอาหารแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่ก็คือบาร์นภาลัยบนชั้นสามที่มีแพลนจะเปิดทำการเร็วๆนี้ โดยจะเน้นบรรยากาศสบายๆ และเสิร์ฟคราฟต์ค็อกเทลที่ใช้ชาที่ทางร้านเบลนด์เองและสมุนไพรไทยเป็นส่วนประกอบหลัก
Fact Box
- เบญจมาศ อารีย์ซอย 1 เปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น. โทร. 0-2279-8055 หรือเว็บไซต์ www.benchamas.co.th และ FB: www.facebook.com/bcmari2019