นับแต่วันที่ 11 กันยายน 1973 ชีวิตของผู้คนในชิลีเปลี่ยนแปลง เพราะหลังจากทหารระดับนายพลก้าวขึ้นอำนาจ การปกครองถูกปรับเข้าสู่ระบอบเผด็จการยาวนานถึง 16 ปี

กองกำลังทหารของนายพล ออกุสโต ปิโนเชต์ (Augusto Pinochet) เคลื่อนพลเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐสภา ขณะที่ซัลบาดอร์ อาเญนเด (Salvador Allende) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การทำรัฐประหารครั้งนั้นทหารได้วางระเบิดลา โมเนดาอาคารทำเนียบประธานาธิบดี ใจกลางกรุงซานเตียโก เมืองหลวงของชิลี อีกทั้งยังทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายสังคมนิยม และฝ่ายตรงข้ามของปิโนเชต์

จากตรงนี้ไปจนถึงสุสาน ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ลี้ภัยอาเญนเดเคยกล่าวครั้งเริ่มเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อสามปีก่อนหน้านั้น หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารหนึ่งวัน ปรากฏข่าวและภาพซัลบาดอร์ อาเญนเดทำอัตวินิบาตกรรม ศพของเขาถูกหามออกจากทำเนียบประธานาธิบดี และในช่วงเวลาเดียวกันเอสตาดิโอ ซาซิโอนาลซึ่งปกติเป็นสนามฟุตบอล แต่คราวนั้นกลับถูกใช้เป็นสถานกักกัน ผู้คนราว 40,000 คนถูกควบคุมตัวอยู่ที่นั่น หลายพันคนถูกทรมาน และสังหาร

เสรีภาพและการพัฒนาของประเทศชิลีปัจจุบันเกิดขึ้นได้เพราะนายพล ออกุสโต ปิโนเชต์และรัฐบาลทหารของเขานั่นเป็นมุมมองจากมูลนิธิปิโนเชต์ ในกรุงซานเตียโก แม้ว่าหลังจากที่นายพลก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะต้องเสียชีวิตหรือลี้ภัยไปต่างแดนก็ตาม

…..

ออกุสโต ปิโนเชต์ เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1915 ที่บัลปาราอิโซ เมืองท่าตอนกลางของประเทศ เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวพี่น้องหกคน เข้าเรียนในโรงเรียนศาสนา สอบผ่านมาได้ด้วยคะแนนปานกลาง เมื่ออายุครบ 18 เขาสมัครเข้าเป็นกำลังพลในกองทัพ รับราชการอยู่นับสิบปีก่อนจะไต่เต้าขึ้นสู่การเป็น ผู้บังคับบัญชากองพัน และเป็นครูสอนหนังสือในสถาบันทหาร และระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพันนั้น เขามีโอกาสได้พบกับซัลบาดอร์ อาเญนเด ซึ่งเดินทางไปเยือนค่ายทหารในฐานะตัวแทนจากรัฐสภา

ปลายเดือนสิงหาคม 1973 ประธานาธิบดีอาเญนเดแต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ด้วยความหวังว่า การดึงเอากองกำลังทั้งสามเหล่าทัพเข้าสู่รัฐบาลจะสามารถสลายความขัดแย้งของกลุ่มหัวรุนแรงแต่ละกลุ่มได้ แต่เขาคาดการณ์ผิด

ออกุสโต ปิโนเชต์กลายเป็นผู้นำรัฐประหาร และก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของชิลี เขามีต้นแบบคือนายพลของสเปน ฟรานซิสโก ฟรังโก (Francisco Franco) เมื่อปี 1986 เขารอดพ้นจากการถูกลอบสังหาร ครั้งนั้นมีนายทหารองครักษ์ของเขาเสียชีวิตถึงห้าคน

บทบาทในฐานะบุคคลทางการเมืองของปิโนเชต์เริ่มตกต่ำลงเมื่อใกล้สิ้นสุดสงครามเย็น เดือนตุลาคม 1988 เขาแพ้การลงประชามติในการสืบต่ออำนาจ เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์มองว่าเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะนายพลผู้นี้ก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยวิธีการมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ท้ายที่สุดกลับออกแบบกติกาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ผิดแผกแตกต่างจากนักรัฐประหารหรือเผด็จการที่อื่นใด

และที่แปลกอีกอย่างคือ ในช่วงท้ายของเผด็จการทหารนั้นชิลีไม่ได้อยู่ในสภาวะวิกฤต ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือการเมือง เหมือนเช่นอาร์เจนตินาประเทศเพื่อนบ้าน หากเป็นประเทศที่แม้จะกรุ่นด้วยฝันร้าย ทว่ากำลังก้าวย่างไปข้างหน้า นายพลปิโนเชต์ยอมรับผลประชามติอย่างเป็นทางการ และส่งมอบอำนาจการปกครองให้กับปาตริซิโอ ไอลวิน (Patricio Aylwin) จากพรรคคริสเตียนเดโมแครตที่ชนะการเลือกตั้งเสรี เมื่อต้นปี 1999 และนับแต่นั้นระบอบการปกครองของชิลีก็กลับเข้าสู่หนทางของประชาธิปไตย

ปิโนเชต์ยังครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสืบต่ออีกแปดปี ก่อนเข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เขาเป็นฝ่ายร่างขึ้นเอง ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาหมายความถึงภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เขาต้องโทษใดๆ ที่จะมีผลตามมาหลังจากการทำรัฐประหาร

ถึงกระนั้น ออกุสโต ปิโนเชต์ก็ถูกศาลยุติธรรมของสเปนสั่งฟ้อง ในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดในการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และถูกส่งตัวไปกักบริเวณในกรุงลอนดอนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 1998 เป็นเวลา 500 วัน และแม้ว่าท้ายที่สุดรัฐบาลอังกฤษจะปฏิเสธคำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่อดีตผู้นำเผด็จการก็ไม่อาจพบความสงบสุขได้อีกเลยหลังจากที่เขาเดินทางกลับไปชิลีในต้นปี 2000 เนื่องจากรัฐบาลพุ่งเป้าจะเอาผิดกับเขาด้วยข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

การพิจารณาคดีดำเนินไปหลายครั้ง แต่ติดขัดปัญหาว่าเขาชราภาพเกินกว่าจะให้การ และมีอาการไม่อยู่กับร่องกับรอย คำตัดสินจึงแกว่งไปมา เดือนกรกฎาคม 2001 ศาลตัดสินว่าปิโนเชต์ไม่อยู่ในสภาพที่จะพิจารณาคดีได้ นั่นหมายถึงการยุติบทบาททางการเมืองในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วยเช่นกัน

กระทั่งปี 2004 สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาตรวจสอบพบว่า ปิโนเชต์ซุกซ่อนบัญชีเงินฝากไว้ในต่างประเทศหลายแห่ง เช่น เงินสินบนจำนวน 1.1 ล้านปอนด์ที่บริษัทบริติช แอโรสเปซ (BAe) จ่ายให้เขาระหว่างเดือนธันวาคม 2004 ถึงเดือนตุลาคม 2005 เงินรายได้จากธุรกิจค้าอาวุธที่มีหลักฐานการโอนต่างวาระกันจำนวน 14 ครั้ง และเงินอีกนับล้านดอลลาร์ที่ปิโนเชต์แอบเปิดบัญชีเก็บไว้ในต่างประเทศ คำชี้แจงจากปากทนายของเขาก่อนหน้าที่อ้างว่า สุขภาพของปิโนเชต์ไม่เอื้อให้ไปปรากฏตัวต่อศาล จึงฟังดูขัดกับความสามารถในการดูแลทรัพย์สินที่เขาปกปิดไว้

…..

เวลาสองนาฬิกาของวันที่ 3 ธันวาคม 2006 ออกุสโต ปิโนเชต์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากอาการหัวใจล้มเหลว หลังการผ่าตัดทำบายพาส อาการของเขายังไม่ดีขึ้น นอกจากนั้นเขายังมีอาการของโรคเบาหวานและปอด

ปิโนเชต์เสียชีวิตลงในวันที่ 10 ธันวาคม ขณะอายุ 91 ปี และปลอดจากโทษทัณฑ์ทางกฎหมายใดๆ ที่เขาก่อไว้ในช่วงการยึดอำนาจการปกครองประเทศ

อ้างอิง:     

https://www.nzz.ch/newzzEVJSOOEK-12-1.81993

https://www.dw.com/de/nach-der-flucht-putsch-diktatur-und-der-weg-zur-demokratie-in-chile/g-41414933

Tags: , , ,